Black Ariel ทำลายความฝันแฟนๆ หรือเปิดกว้างสู่จินตนาการรูปแบบใหม่?

43 15

การเปิดตัวเงือกน้อย Ariel ผิวดำจากตัวอย่างหนัง The Little Mermaid อันแรกได้แบ่งแยกปฎิกิริยาตอบรับหลายรูปแบบจนกลายมาเป็นdebate ที่ดุเดือด   แต่ละฝ่ายงัดเอาเหตุผลมาหักล้างกันว่า นักแสดงผู้ถ่ายทอดบทบาท  Arielในหนัง live action จะต้องเป็นเด็กสาวผิวขาวผมแดงตาสีฟ้าตรงตาม  animation ที่ตรึงตราใจแฟนๆในปี 1989  หากนางเอกไม่ได้มีรูปลักษณ์ดังนี้ย่อมเป็นการเหยียบย่ำจิตใจของแฟนๆที่วาดหวังจะได้ชมผลงาน live action ,มาแสนนาน  หรือแท้จริงแล้วว่า Disney  ตัดสินใจถูกต้องด้วยการก้าวสู่ทิศทางใหม่เพื่อสนับสนุนการสร้างภาพตัวแทนชาติพันธุ์กั (representation) ด้วยการคัดเลือกนักแสดงในรูปแบบ Color-blind casting
 ?

กระแสต่อต้าน NotMyAriel ก่อตัวมาตั้้งแต่จุดเริ่มต้นเมื่อ Disney เปิดตัวนางเอกที่จะได้รับบทสำคัญ และผู้ที่ก้าวเข้ามาปกป้องการตัดสินใจ casting ครั้งนี้คือ Freeform ช่องเคเบิลในเครือ Disney–ABC Television Group ซึ่งพวกเค้าได้จั่วหัวข้อไว้ว่า
'จดหมายเปิดผนึกถึงบรรดาผู้ที่มีใจอันไร้ที่พึ่งพา' (เพลงประจำตัวของ Ursula ผู้ร้ายกาจ) ที่มีใจความว่า


  • แม้นักประพันธ์ต้นฉบับเงือกน้อยจะเป็นชาว Danish   แต่เงือกน้อย Ariel ได้อาศัยในท้องทะเลเปิด   หากเธอมีเชื้อชาติ Danish  ก็คงไม่แปลกที่เธอจะเป็นเงือกเชื้อสายผิวดำได้ เพราะคน Danish ก็มีเชื้อสายผิวดำได้เช่นกัน   ดูอย่างเจ้าปู  Sebastian  ที่เป็นปูเชื้อสาย Jamaican     และตามหลักพันธุกรรมคน Danish เชื้อสายผิวดำก็สามารถมีผมแดงได้เช่นกัน 
  • ตัวละคร Ariel เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ  หากพูดถึงขนาดนี้แล้วยังไม่สามารถเปิดใจยอมรับนางเอกผู้งดงามและเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่าง Halle Bailey เพียงเพราะเธอไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวการ์ตูน ก็คงเป็นเรื่องของอคติส่วนตัว




แต่กระแสต่อต้าน Color-blind casting ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ Disney ได้ปล่อยตัว trailer แรกออกมา ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ยอดเข้าชมได้วิ่งฉิวไปเกิน15 ล้านครั้ง และมียอดกด Likes สูงเกิน 680,000* แต่มีรายงานจากสื่อว่า ยอด Dislikes นั้นพุ่งไปถึง 1.9 ล้าน ซึ่งช่องว่างของกระแสตอบรับในแง่ลบในสวนทางกับอีกหนึ่งผลงานที่นำเสนอ representation จาก The Walt Disney Company นั่นคือ Black Panther: Wakanda Forever ที่ถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อเดือนก่อน และมีผู้กด dislike เพียง 140,000 ครั้ง และเชื่อว่า ชาวเน็ทที่เกาะติดดราม่า Black Ariel ก็คงเสพข้อมูลจากแทบทุก platform ดัง ตามมาด้วยความเห็นพร่างพรูราวกับกระแสคลื่นในมหาสมุทรที่โต้แย้งกันไม่จบสิ้นว่า การไม่เปิดใจรับ Black Ariel คือพฤติกรรมแบ่งแยกทางสีผิว หรือเป็นสิทธิ์ของแฟนๆที่จะเรียกร้องไม่ให้ผู้สร้างทรยศความฝันของพวกเค้า!

ความไม่พอใจของชาวเน็ทได้สั่งสมจนถึงขั้นมีผู้ปล่อยข่าวว่า ใครบางคนกำลังเตรียมการใช้เทคโนโลยี AI เปลี่ยนแปลงใบหน้าของนางเอก'woke'(Halle Bailey) เป็นสาวผิวขาวหัวแดง และจะสามารถแก้ไข race ให้เงือกน้อยในหนังเต็มเรื่องได้ทันทีที่หนังถูกปล่อยตัวออกมา (account ดังกล่าวถูกระงับไปแล้ว)

*ตัวเลขกด Like ของ The Little  Mermaid Trailer สูงลิ่วเมื่อเปรียบเทียบกับ live action เรื่องอื่น  แต่จำนวน Dislikes  นั้นไปไวมากจนทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า  นี่จะเป็นตัวแปรที่จะชี้ความสำเร็จ  ของหนังหรือไม่?

การโต้เถียงไปไกลจนนักวิชาการเข้ามาร่วมวิเคราะห์ว่า หากเงือกเป็นสิ่งมีชีวตใต้ท้องสมุทรจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเงือกผิวสีเข้มและผมแดง รวมถึงผู้ที่ชี้ว่า ความเชื่อเรื่องนางเงือกปรากฏอยู่หลายทวีปทั่วโลก การเจาะจงว่าเงือกน้อยที่ดูน่าเชื่อจะต้องเป็นเงือกผิวขาวผมแดงจึงฟังไม่ขึ้น เพราะในแต่ละประเทศย่อมจินตนาการรูปลักษณ์นางเงือกที่ใกล้เคียงกับเชื้อชาติของตัวเอง

แต่ถึงชาวเน็ทจะถกเถียงกันไม่รู้จบเรื่องAriel ควรจะมีรูปลักษณ์เช่นใด แต่ยังมีหลายเสียงที่ประท้วงอย่างหนักแน่นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้หลักการใดๆมาอธิบาย  พวกเค้าเพียงต้องการ Ariel ที่ถอดออกมาจากตัวการ์ตูนเท่านั้น  ไม่ต่างจากการคัดเลือกนักแสดงมาสวมบทบาทนี้ใน Fantasy parade  หรือการแสดง Disney On Ice  ที่ผู้คนคุ้นเคยกับสาวผิวขาวผมแดง   และไม่ว่าใครก็รู้ดีว่านี่คือตัวละครที่ดัดแปลงมาจากเรื่องเล่าขานสืบต่อมา   ไม่ได้เรียกร้องหาความสมจริงให้ตรงกับตำนานใดทั้งนั้น  แต่วาดหวังจะได้เห็นAriel แสนน่ารักที่ตราตรึงในความทรงจำมีชีวิตขึ้นมา  


ข้อกล่าวหา Ariel ที่ไม่ตรงกับต้นฉบับการ์ตูนทำลายความฝันของ loyal fans  จนย่อยยับ

หลายปีก่อน เมื่อDisneyประกาศชื่อ Emma Watson เป็นนางเอกผู้รับบท Belle แห่ง Beauty And The Beast แฟนๆ Animation ต่างถูกอกถูกใจและเห็นพ้องต้องกันว่า ทั้งรูปลักษณ์และบุคลิกของเธอนั้น 'ตรงปก' ราวกับเกิดมาเพื่อบทนี้ แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทักษะการขับร้องว่าพึ่งพา auto tune มากเกินไป แต่หลายคนต่างประทับใจในตัว Belle ที่เป๊ะสุดๆ หนังก็ประสบความสำเร็จล้นหลามด้วยรายได้เกิน 1,200ล้าน และยอด Dislikes จาก Trailer ก็มีเพียง 12,000 เท่านั้น หรือแม้แต่ Naomi Scott จาก Aladdin ที่ในช่วงแรกก็ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้าน NotMyJasmine เช่นเดียวกัน (เธอถูกกล่าวหาว่ามีรูปลักษณ์ไปทางคนขาวมากเกินไป ไม่ตรงใจผู้ที่อยากเห็นJasmine ที่เป็นสาวอาหรับ) อย่างไรก็ตาม live action เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของDisney เพราะกวาดรายได้ไปเกินพันล้าน ส่วนวีดีโอเพลงเพลงSpeechless ที่สร้างขึ้นมาให้เข้ากับJasminที่ถูกตีความให้แสดงถึงการ empowerเจ้าหญิง disney ก็ประสบความสำเร็จอย่างดงาม ได้รับไปถึง 3.4ล้าน Likes

และนั่นอาจจะทำให้แฟนๆ Little Mermaid ยืนหยัดกับแนวคิดว่า ไม่สมควรจะใช้ Color-blind casting เพื่อสร้าง live-action remake เพราะผู้ชมต่างคาดหวังจะได้เห็น Ariel ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวที่ถูกสร้างขึ้นมากลายขึ้นมาเป็นคนตัวเป็นๆที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และมีรูปลักษณ์ตรงกับเงือกน้อยในดวงใจของแฟนๆทุกประการ

และในอดีตนั้น  Disney ก็เคยคัดเลือก Sierra Bogges  นางเอก broadway  ผู้มากความสามารถที่เป็นสาวผมแดงธรรมชาติให้มาแสดงใน The Little Mermaid musical จนประสบความสำเร็จขายตั๋วหมดติดต่อกันหลายโชว์มาแล้ว

นางเอกผมแดงที่โชว์ฝีมือการแสดงจากบท Ariel ได้แสดงความเห็นต่อกระแสต่อต้านเงือกน้อยผิวดำว่า

"ฉันตื่นเต้นมากที่ Halle Baileyได้รับเลือกให้รับบทนี้ ฉันทำใจเชื่อไม่ได้เลยว่ามีกระแสต่อต้านมากมายขนาดนี้ ฉันเชื่อนะคะว่าพวกเราต่างมีตัวตนที่เป็นคนดีอยู่ภายใน มันก็เหมือนกับผลงาน South Pacific เราสมควรจะได้รับการชี้แนะอย่างรอบคอบ ไม่มีใครเป็นพวกเหยียดผิวมาตั้งแต่เกิด หลายคนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนและแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตัวละครนี้ เธอเป็นนางเงือกนะคะ ในบทไม่มีตรงไหนที่ระบุเลยว่า Ariel ต้องเป็นสาวผิวขาวผมแดง เราต่างรู้ดีว่าrepresentation มีความสำคัญและเมื่อได้นึกถึงเหล่าเด็กหญิงที่ไม่เคยเห็นตัวตนของพวกเค้าผ่านผลงานเหล่านี้ก็ทำให้ฉันต้องเสียน้ำตา นี่คือโลกที่ Ariel อยากจะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวด้วย โปรดอย่ากีดกันเธอเลยค่ะ"



เรื่องความสำคัญของ representation ที่ Sierra Boggess ได้หมายถึงบรรดาเด็กๆรวมถึงคนจากกลุ่มต่างๆที่อาจจะไม่ได้เห็นภาพของเจ้าหญิง Disney ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับพวกเค้า และฝ่ายที่สนับสนุน Black Ariel ก็แสดงความเชื่อมั่นว่า นี่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้สังคมลดละอคติจากรูปลักษณ์ภายนอกและความแตกต่าง และหันมาให้ความสำคัญกับความดีงามภายใน เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้เชื่อว่า ไม่ว่าใครก็เป็นเจ้าหญิงได้



Adelia Chaiyakul Tiktoker ที่แชร์ภาพลูกสาวที่ชม trailer ตัวนี้ด้วยความปลื้มปริ่มได้อธิบายถึงสาเหตุที่หนังเรื่องนี้มีความหมายต่อเธอมากมายไว้ดังนี้

"พวกเราเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการติดตามชมเจ้าหญิงผิวขาวเยอะแยะไปหมด  เราจึงต้องหัดปรับตัวเพื่อจินตนาการภาพตัวเองจากเจ้าหญิงเหล่านั้น   และถึงเราจะเคยเห็น Brandi รับบท Cinderella ซึ่งที่จริงฉันชอบมากเลยนะคะ  แต่ฉันว่ามันถูกสร้างมาสำหรบเฉพาะกลุ่มคนดูผิวดำเท่านั้น   แต่เงือกน้อยในรูปแบบใหม่นี้ ฉันว่ามันเป็นผลงานที่สร้างมาสำหรับทุกคน   พอได้เห็นว่า ลูกสาวมองเห็นตัวของเธอจากเงือกน้อย ซึ่งเป็นตัวละครเจ้าหญิงคนโปรดของเธอ มันเป็นสิ่งที่งดงามมาก ฉันปลื้มใจจนน้ำตาไหล"
ย้อนไปเมื่อปี 1997  Disney สร้าง Cinderella  musical ที่สร้างเสียงฮือฮาจากนางเอกและนางฟ้าแม่ทูนหัวผิวดำ  โดยศิลปินชื่อดังแห่งยุค  Brandy  และ Whitney Houston นำแสดง  ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่รับบทเจ้าชายก็คือ Paolo Montalbán  พระเอกเชื้อสาย Filipino  ในยุคนั้น ผู้คนอาจจะยังไม่รู้จักการใช้แฮชแทก แต่แน่นอนว่า ย่อมมีผู้ไม่เห็นด้วยกับ casting ที่ยึดความหลากหลายทางเชื้อชาติ   แต่มันกลับดึงดูดยอดผู้ชมได้สูงลิบลิ่ว และทำลายหลายสถิติของวงการโทรทัศน์ในยุคนั้น เบียดแย่งความนิยมจาก show ชื่อดังอย่างSeinfeld และER ครองอันดับหนึ่งเรตติ้งสูงสุ  ดไปได้หลายสัปดาห์   และแฟนๆยังเรียกร้องให้ studio จัดจำหน่าย home video และสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในช่วงนั้น เพียงสัปดาห์แรกก็ขายได้ถึงล้าน copiesและว่ากันว่า ความสำเร็จของผลงานเรื่องนี้ได้ผลักดันให้ผู้สร้างเชื่อมั่นเรื่องการเลือกเงือกน้อยผิวดำ  เห็นได้ชัดเจนจาก Rob Marshall   ที่เคยรับหน้าที่ออกแบบท่าเต้นให้กับ Cinderella เวอร์ชั่น Brandy ถูกเรียกตัวมากำกับ The Little Mermaid  ที่ถูกกล่าวขวัญอย่างอื้ออึง




Disney เคยสร้างความสำเร็จในวงการ TV ด้วย Black Cinderella  โดยที่นางเอกไม่ได้เปลี่ยนสีผมให้เป็นสีบลอนด์และใส่ contact lens สีฟ้า แต่นำเสนอเอกลักษณ์โดดเด่นของคนดำด้วยผมbox braids รอบศีรษะ  แต่นั่นอาจจะไม่ได้เปลี่ยนใจแฟนๆผู้สนับสนุน casting ตรงตามต้นฉบับ animationต่างยืนยันว่า   สถานะเจ้าหญิง Disney ไม่ได้มีไว้เพื่อสาวผิวขาว  แต่ได้สร้างตัวละครหลากหลายเชื้ออชาติอย่าง Mulan, Pocahontas, Moana, Jasmine   และแน่นอนว่ายังมี Tiana เจ้าหญิงผิวดำจากNew Orleans  ผู้เป็นตัวแทนของ black community      และหาก Disney สร้าง  live action ด้วยการเปลี่ยนแปลง race ของตัวละครที่โด่งดังเหล่านี้  ก็ย่อมเกิดกระแสต่อต้านไม่ต่างกัน  แล้วเหตุใดจึงต้องมองการเปลี่ยน Ariel ให้เป็นเจ้าหญิงผิวดำ?!


Asian Ariel

นี่ไม่ใช่ดราม่าครั้งแรกที่เกิดขึ้นจาก casting นักแสดงเจ้าหญิง Disney ไม่ตรงกับต้นฉบับ Diana Huey ที่ถูกยกให้เป็นนางเอก non-white คนแรกที่ได้รับเลือกจาก Disney ให้รับบท Ariel ก็เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกระแส NotMyAriel เช่นกัน แม้ว่า scale ของผลงาน The Little Mermaid Broadway tour จะไม่ถือเป็นผลงาน live action ฟอร์มยักษ์ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ของนางเอกอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นก็แรงจนเธอต้อหยุดพักการใช้ social media และพยายามย้ำเตือนตัวเองว่า เธอได้รับผลกระทบจากพลังงานด้านลบจากคนเพียงส่วนน้อย แต่ยังมีคนอีกมากมายที่เข้ามาให้กำลังใจและแสดงความปลาบปลื้มที่เธอได้เป็นตัวแทนของที่ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้โลกได้รับรู้ถึงความสำคัญของของdiversity และมันมีความหมายต่อพวกเค้าแค่ไหน

"ตอนที่ฉันเข้าร่วมทดสอบบทเงือกน้อย ฉันก็มีแต่ความตื่นเต้นที่จะได้ขับร้องเพลง Part Of Your World กับนักดนตรีแบบสดๆเท่านั้นค่ะ ฉันไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสคว้าบทเพราะฉันเป็นคนเอเชียน เมื่อได้ย้อนคิดกลับไปก็ทำให้รู้สึกเศร้ามากค่ะ ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรจะรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอเพราะสีผิวของพวกเค้า หรือรูปทรงของดวงตาหรือสิ่งใดก็ตามที่อยู่ภายนอกของตัวตนที่แท้จริง"



" สิ่งArielได้ถ่ายทอดออกมาไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อค้นหาตัวตนของเธอหรอกเหรอคะ? จุดยืนที่เธอสามารถเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริงและทำให้เธอได้รู้สึกเติมเต็มและเป็นที่ยอมรับ Halle จะถ่ายทอดความเป็น Arielที่มีวามงดงาม ทรงพลัง และสร้างแรงบันดาลใจ ฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่จะคอยติดตามชมเธอเปลี่ยนโลกด้วยความสามารถทางการแสดงไปพร้อมกับการสนับสนุนให้โลกของเราปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ยอมรับความแตกต่าง และเปิดกว้างให้มากกว่าเดิม"



Native Hawaiian Ariel

หากพูดถึง Auli’i Cravalho แฟนหนังอาจจะไม่คุ้นเคยเธอมากเท่ากับบทบาทนักแสดงผู้ให้เสียง Moana เธอเป็นหนึ่ง casting แบบตรงปกเป๊ะ เพราะแม้จะเป็นผลงานการพากย์ เธอก็ทำหน้าที่ตัวแทนนำเสนอวัฒนธรรมPolynesian จากหมู่เกาะ Hawaii ด้วยพื้นเพสาวชาวเกาะแท้ๆ (แม่เธอมีเชื้อสายNative Hawaiian) ผลงานนี้เองที่ทำให้เธอก้าวสู่วงการในฐานะดาวรุ่งที่เฉิดฉkยด้วยพรสวรรค์การขับร้องด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้ง ถึงตอนนี้เพลง How Far I'll Go มียอดเข้าชมบน Youtube เกินพันล้านครั้ง เธอได้ร่วมแสดงหนัง Netflix และ Hulu และยังเคยถูกABC ดึงตัวมารับบทนางเอก The Wonderful World of Disney Presents The Little Mermaid Live!, ซึ่งเป็น television special ที่เรียกเรตติ้งราวๆ  9.01 ล้านและได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย โดยเฉพาะฉากแหวกว่ายน้ำประกอบเพลง Part of Your World ที่เธอต้องโหนตัวด้วยสลิงกลางอากาศให้สวยงามใกล้เคียงกับกับการเคลื่อนไหวของเงือกน้อย แต่ก็ไม่ได้เอาชนะใจนักวิจารณ์ได้อย่างถ้วนหน้า ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ปลื้ม production และการแสดงของเธอ แต่ก้าวใหม่ของ Auli’i จากการให้พากย์เสียง Moana มารับบทเงือกน้อยสุด iconic ด้วยวัยเพียง 18ปีนั้นไม่ได้พบกับแรงกดดันจาก social media มากนัก   

ฝ่ายต่อต้านเชื่อ: Disneyเป็นบ่อนทำลายตัวเองเพราะยัดเยียดเรื่องความหลากหลายจนแฟนหนังหันมา  boycott

ตัวเลข dislikes จาก Official Teaser Trailer ที่พุ่งพรวดเป็นล้านในเวลารวดเร็วนั้นเริ่มทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมั่นใจว่า Color-blind casting ไม่ต่างจากบ่อนทำลายตัวเองของ studio ยักษ์ใหญ่ เพราะยัดเยียดวิถีความ woke จนเสี่ยงต่อการสูญเสียความนิยมหรือที่พวกเราได้ยินคำเปรียบเปรยติดหูว่า Get Woke Go Broke

แต่ The Little Mermaid จะกลายเป็นผลงานสุดแป้กของ Disney จริงหรือ? มีแค่เพียงเวลาเท่านั้นที่จะเฉลยความสงสัยนี้ได้


ตอนนี้เรารู้เพียงแต่ว่า สังคมมนุษย์นั้นก็ไม่ต่างจากคำแนะนำของเจ้าปู Sebastian เลยจริงๆ
The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE