Feminine แล้วไง? หนุ่มคนดังโชว์ความเริ่ดด้วยสไตล์ไร้เพศ

33 12

ภาพชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบผู้หญิงหรือที่ถูกเรียกว่า androgynous style (ไร้เพศ) ได้กลายมาเป็นความเคลื่อนไหวทางfashion ที่ได้จุดกระแสความสนใจฮือฮาในสังคม   จากในยุคอดีตที่มีความเชื่อแรงกล้าว่า  เครื่องแต่งกายผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ชายhetrosexual   โดยเฉพาะสังคมที่ต่อต้านเพศทางเลือก เพียงแค่คิดจะลองจับชุดมาทาบกับตัวก็ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดที่ชอบเรียกร้องความสนใจ   บ้างก็ยัดเยียดข้อกล่าวหากับผู้ชายที่นิยม style นี้ว่าเป็นพวกต่อต้านบรรทัดฐานของคนในสังคมส่วนใหญ่     จนกระทั่งทุกวันนี้  ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่มีอคติว่า นี่คือพฤติกรรมไม่ปกติและไม่สมชายอย่างแรง

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพของชายผู้โด่งดังดังระดับ top star เลือกแต่งกายแบบ feminine ตามสถานที่ต่างๆได้กลายมาเป็นหัวข้อให้คนในสังคมถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง   มีทั้งฝ่ายที่ยึดมั่นกับการปลดแอกตัวเองให้แสดงออกทางfashion ได้อย่างเสรีโดยก้าวข้ามเส้นแบ่งเรื่องเพศ  และฝ่ายที่ยืนกรานค้านหัวชนฝา     แต่สำหรับสังคมที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า     ทำให้หลายคนหันมายอมรับว่า ผู้ชายที่แสดงออกแบบ feminine  ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือสมควรกับคำดูหมิ่นแต่อย่างใด       

ผู้ชายใส่เดรส/กระโปรง ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ต้องแตกตื่น
หลายฝ่ายหันมาวิเคราะห์ว่า เหตุใด  บรรดาชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจึงหยิบกระโปรงและเดรสมาใส่แบบไม่แคร์จะถูกจับผิด  หรือนี่จะเป็น normใหม่เหมือนในช่วงยุค 70s ที่เทรนด์กางเกงขาบานฟิตเปรี๊ยะและรองเท้าเสริมส้นสูงปรี๊ดกวาดความนิยมจากกลุ่มหนุ่มสาว  มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มันอาจจะเป็นการแสดงออกเพื่อสนับสนุนผู้ที่นิยามตัวเองว่าอยู่ในกลุ่ม gender fluid     หรืออาจจะพฤติกรรมของเหล่าหัวขบถที่ต้องการจะแสดงอุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อต่อต้านแนวคิดเกี่ยวกับภาวะความเป็นชายเป็นพิษ ( toxic masculinity)   และมันไม่ใช่เรื่องที่แหวกแนวสร้างความตกตะลึง  เราเคยได้เห็นศิลปินระดับตำนานอย่าง  David Bowie  ในลุคนี้บ่อยซะจนจนได้รับฉายาว่า the father of androgyny      หรือจะเป็นสมาชิกวง Nirvana  ที่ใส่ชุดผู้หญิงแบบสบายอกสบายใจ (โดยเฉพาะ Kurt Cobain ผู้ล่วงลับ)  แม้ว่าแฟนๆดนตรี  grunge ยุค 90s อาจจะไม่ได้จินตนาการถึงภาพนักดนตรีชายในชุดกระโปรงมาก่อน   แต่มันก็ดูจะไม่เป็นปัญหาที่ฉุดรั้งความนิยมของพวกเค้าแต่อย่างใด
เป็นไปได้ไหมที่แค่อยากจะใส่ ไม่ได้แฝงนัยะอื่น?

"ผมชอบใส่เดรสเพราะมันใส่สบายครับ" Kurt Cobain fashion icon แห่งยุค 90s ได้ให้เหตุผลเรื่อง style ที่โดดเด่นไว้อย่างเรียบง่าย

"ไม่มีอะไรที่ใส่สบายไปกว่าชุดลายดอกพวกนั้น ใส่เดรสแล้วทำให้รู้สึกสะดวกสบาย เซ็กซี่และมีอิสระ มันสนุกดีน่ะครับ"

หลายคนพยายามเชื่อมโยงตัวเลือกทาง fashion ของ Kurt ในแง่ politic ว่า นี่เปรียบเหมือนการยกนิ้วกลางให้กับแนวคิด macho man หรือผู้ที่ภาคภูมิใจกับความเป็นชาย และสื่อความห้าวหาญมาดแมนออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรงที่ถูกปลูกฝังจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า Kurt อาจจะมีทัศนคติที่ไม่แตกต่างจาก Iggy Pop ศิลปินที่ยกให้เป็นเจ้าพ่อแห่งดนตรีPunk ที่ยืนหยัดนำเสนอ femine style ตั้งแต่หนุ่มจนเข้าสู่วัยชรา เพราะเขาไม่คิดว่า ความเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายที่สมควรให้ถูกประนามเหยียดหยาม

ทุกวันนี้ ผู้คนในสังคมได้กันมายอมรับว่า ไม่ควรสนับสนุนการใช้ term ที่แสดงความเป็นหญิงมาใช้โจมตีผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมอีกต่อไป การเหมารวมว่า 'สำออกเหมือนผู้หญิง' 'หน้าตัวเมีย' 'ใจตุ๊ด' หรือไล่ให้'ไปเอากระโปรงมาใส่' ดูจะเป็นสิ่งที่ล้าสมัย และอาจจะถูกย้อนถามกลับว่า ความเป็นผู้หญิงนั้นเสื่อมเสียจนต้องเอามาเปรียบกับเรื่องแย่ๆขนาดนั้นเลยหรือ?

ในขณะเดียวกัน เมื่อชายผู้มีชื่อเสียงหันมาเชิดชู feminine style กันมากขึ้น ก็เริ่มทำให้มีการทบทวนว่า นี่คือพฤติกรรมบ่อนทำลายของแนวคิดภาคภูมิใจในความเป็นชาย หรือมันได้แสดงถึงการก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อความเป็นชายนั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่พวกเค้าสวมใส่ แต่เป็นเนื้อในดีงาม




ความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรม

ย้อนไปร้อยกว่าปีก่อน    สังคมตะวันตกเคยตั้งแง่กับกลุ่มผู้หญิงเพียงหยิบมือเดียวที่พยายามเข้าถึงความสะดวกสบายด้วยการใส่กางเกงไว้ใต้เดรส เพราะต้องเหน็ดเหนื่อยกับเครื่องแต่งกายใหญ่เทอะทะ   ชนชั้นสูงที่ได้ไปเยือนเมืองอุตสาหกรรมถึงกับตกตะลึงเมื่อได้พบเห็นหญิงชนชั้นแรงงานใส่กางเกงเพื่อให้สะดวกต่อการทำงานแบกหามในเหมืองและบรรยายว่า นี่คือสัญลักษณ์ผีห่าซานตานที่เข้าสิงจนทำให้พวกเธอละทิ้งความเป็นกุลสตรีมาใส่กางเกงแบบบุรุษ  แต่วันเวลาที่ผ่านพ้นไป  ผู้หญิงก็ได้สัมผัสอิสระในการเลือกแต่งกายด้วยกางเกง และมีพัฒนาการไปสู่ masculine style    พวกเธอสามารถตัดผมสั้นกุดและใส่สูทผูกไทด์โดยไม่ถูกประนามว่าเป็นพวกวิปริตผิดเพศ  

หากเปรียบเทียบกันแล้ว    พัฒนาการดังกล่าวอาจจะกำลังเกิดขึ้นกับเพศชายเช่นเดียวกัน   ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ในวันข้างหน้า พวกเราก็คงไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกแล้วว่า   การแต่งกายแบบใดบ้างที่คู่ควรเหมาะสมกับเพศใดเพศหนึ่ง   แต่ตราบใดที่ไม่ได้ไปล่วงละเมิดและสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น    มนุษย์เราควรมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกทาง fashionได้ตามใจปรารถนา โดยสังคมไม่ควรพิพากษาพวกเค้าเพียงเพราะแสดงออกอย่างแตกต่าง  


Androgynous Style เป็นแค่  Fad  ที่หลายคนอินขึ้นมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราวหรือเป็นการทลายกำแพงแบ่งแยก?
หากเป็นเมื่อก่อน พวกเราอาจจะนึกภาพไม่ออกว่า  พระเอก hetrosexual ชื่อดังที่มีfanbase เป็นผู้หญิงจะปรากฏกายในเทศกาลภาพยนตร์ในชุดเสื้อคล้องคอสีสดใสเปลือยแผ่นหลังนวลเนียน  

แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้  Timothée Chalamet   ได้ก้าวเข้าสู่พรมแดงเทศกาลหนัง Venice ด้วยลุคที่เรียกเสียงฮือฮาทั้งงาน  รวมถึงปฏิกิริยา break the internet  ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า  เขาได้ยกมาตรฐาน androgynous fashion ไปที่ขั้นใหม่

รูปลักษณ์ของชายหนุ่มเจ้าสำอางและบุคลิกท่าทางที่นุ่มนวลมักทำให้หนุ่มคนดังถูกตั้งคำถามเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศอยู่บ่อยครั้ง ชาวเน็ทหลายคนแสดงความมั่นใจในเรื่อง 'เกย์ดาร์'ของตัวเองด้วยการฟันธงว่าใครแอบซ่อนตัวตนที่เป็นชายรักชาย ดังที่เกิดขึ้นขึ้นกับ popstarโด่งดังอย่าง Harry Styles และ Shawn Mendes ในอดีตการที่ต้องเป็นข่าวพัวพันกับรักร่วมเพศนั้นดูจะเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนาของดาราศิลปินชาย ส่วนบางคนที่เป็นเกย์ก็ถูกกดดันให้ปกปิดตัวตนไว้เพราะต้องเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเสีย fanbase ที่เป็นผู้หญิง และถูกกลุ่มเหยียดเกย์รุมต่อต้านจนกระทบต่อความนิยม (เซเลบที่เป็นเกย์บางคนเลือกเปิดเผยตัวตนอย่างเป็นทางการหลังจากผ่านพ้นช่วงที่กำลัง peak ด้วยเหตุผลนี้)

แต่สำหรับ Timothee ที่ก้าวมาเป็นขวัญใจแฟนๆด้วยหนัง LGBT จนได้รับฉายา Straight Prince of Twinks หรือที่มีความหมายว่า เจ้าชายstraight ขวัญใจกลุ่มเกย์หนุ่มหน้าใส เขาไม่ได้แสดงท่าทีปกป้องตัวเองหรือวางตัวห่างไกลจาก status นี้ และยอมรับว่า เป็นเรื่องที่โชคดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้รับเลือกให้รับบทนำในหนัง Call Me by Your Name เขาก็หวังว่าจะสามารถนำเสนอรูปแบบของความรักที่ถูกว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มและยังมีคนไม่เข้าใจ สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการร่วมสร้าง Call Me by Your Name ก็คือ ในวันข้างหน้า จะมีคนเข้ามาบอกว่า หนังเรื่องนี้มีความหมายกับพวกเค้ามากแค่ไหน



Timothée ไม่ได้ครองสถานะ Straight Prince of Twinks  เท่านั้น   แม้จะมีเสียงจิกกัดว่า เขาเป็นหนุ่มหน้าสวยรูปร่างผอมดูห่างไกลจากความมาดแมนแบบดั้งเดิม  แต่ก็ทำให้นางเอกสาวสุดเซ็กซี่ Jennifer Lawrrence ต้องเอ่ยปากว่า รู้สึกหวั่นไหวกับความ hot ของน้องซะเหลือเกิน ได้แต่นับวันนับคืนให้รีบโตเร็วๆ      หรือจะเป็นคำยืนยันจากผู้กำกับ Duneว่า   Timothée เป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวสำหรับบทพระเอกหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้  เพราะนอกจากเขาจะเป็นเด็กหนุ่มที่มาดแมนมาก แต่ก็มีลักษณะ feminine อยู่ด้วยซึ่งตรงกับ Paul Atreides ที่เขาต้องการ

สื่อบางเจ้าเปรียบให้ Timothée เป็นตัวแทนของการแสดงความมาดแมนในรูปแบบใหม่ เขาไม่ได้มีร่างกายกำยำและไว้หนวดเคราคมเข้ม แต่สะโอดสะองจนบางคนมองว่าดูอ้อนแอ้น เมื่อรวมกับบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนและfashion ไร้เพศอาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดความไม่พอใจ กล่าวหาเขาว่าเป็นผู้นำเทรนด์ให้ผู้ชายหันมาทำตัวหวานแหววไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย และแค่โชคดีที่โด่งดังมาได้ด้วยการเติมเต็มfantasy ของสาว Y แต่ชื่อเสียงความสำเร็จจากความสามารถทางการแสดงและชื่อเสียงของพระเอกภาพลักษณ์ที่สววยงามก็น่าจะพิสูจน์ชัดเจนว่า ด้านfeminine ของTimothée ไม่ได้เป็นข้อบกพร่อง แต่ในสายตาแฟนๆ  มันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาดูสมบูรณ์แบบต่างหาก






พระเอกสุด hot ตลอดกาลที่สนับสนุนผู้ชายใส่กระโปรง

ปฏิกิริยาจากสังคมเมื่อได้พบว่า  Brad Pitt  จับประโปรงมาใส่เดินพรมแดงแบบแมนๆนั้นดูปนเปกันไป   บรรดาสื่อดูจะชื่นชมกันพร้อมหน้าเลยทีเดียว  เพราะหากพระเอกระดับ Brad Pitt ประกาศว่า   summer ครั้งหน้า ผู้ชายจะใส่กระโปรงกันเป็นเรื่องธรรมดา    ก็น่าจะชักจูงใจหลายคนให้หันมามองข้อดีของการใส่กระโปรงแล้วโยนกฎการแต่งกายสุดมาดแมนทิ้งไป   สำหรับคนที่ไม่สามารถทำใจให้อินไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  แต่ถ้าหากอยากลอง 'รับลมสบาย' แบบที่ Brad นำเสนอ  ก็ไม่ต้องจำกัดตัวเองอีกต่อไป

หลายฝ่ายมองว่า ลุคบนพรมแดงครั้งนี้ของ Brad เป็นตัวเปลี่ยนเกมเรื่องมุมมองของผู้คนที่มีต่อ androgynous style เขาคือพระเอกระดับ top ที่ครองชื่อเสียงเรื่องความเซ็กซี่มาดแมนมาเนิ่นนาน สาวๆมากมายยอมรับว่า เขาคือ first crush ของพวกเธอ (Bradเคยทำให้ Kendall Jenner เขินจนเสียจริตไปไม่เป็นตอนที่ได้พบกัน) และถ้าเขาใส่กระโปรงโดยไม่มีทีท่าจะหวั่นไหวกับคำครหาแม้แต่นิด มันก็เหมือนกับการส่ง message ว่า ผู้ชายคนไหนก็ทำได้

ก่อนหน้านี้  Sean Penn พระเอก Oscar  จากบทนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวเพศทางเลือกได้สร้างความไม่พอใจจากโลกออนไลน์ เมื่อเขาดูหมิ่นผู้ชายที่หันมาใส่กระโปรงว่า เป็นพฤติกรรมที่สื่อให้เห็นพันธุกรรมความขี้ขลาด    ก็ยากที่จะเดาว่า หากเขาได้พบหน้ากับ  Brad อีกครั้ง จะทักทายเพื่อนด้วยคำพูดแบบเดียวกันนี้หรือไม่  (ทั้งสองเคยร่วมงานแสดงและเป็นเพื่อน  hang out กัน)

กระโปรงของ Brad อาจจะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะลองเพื่อสัมผัสความแปลกใหม่ แต่สำหรับ Oscar Isaac มันคือไอเท็มที่เขาคุ้นเคย ไม่เพียงแต่จะใส่กระโปรงไปเปิดตัวซีรีส์ Moon Knight ก็ยังมีคำบอกเล่าจากสไตลิสต์ว่า Oscar ชื่นชอบกระโปรงแบละอยากจะใส่มันออกงานมานานแล้ว ดังที่ปรากฏภาพเขาใส่กระโปรงในขณะเล่นกับลูกชายที่บ้านและไปร่วมรณรงค์เพื่อแก้ไขปัญหา climate change




จริงหรือที่วงการ hip hop ที่ถูกมองว่าเต็มไปด้วย  toxic masculinity กำลังเปิดใจรับ rapper ชายใส่กระโปรง


ศิลปินพ่ออย่าง Kanye West, Jay Z และ P. Diddy เคยถูกเยาะเย้ยราวกับตัวตลกเมื่อใส่กระโปรงแสดงบนเวที แฟนhip hop หลายคนมองว่า เสื้อผ้าพวกนี้เป็นสัญลักษณ์ความอ่อนปวกเปียกไม่สมกับเนื้อเพลงดุดันเชิดชูความมาดแมน แม้จะมีเสียงทักท้วงว่า เพลง rap จำนวนไม่น้อยมีเนื้อหาวนเวียนอยู่กับการเหยียดเพศหญิงและเกย์ แต่แทนที่สังคมจะมีปัญหากับเนื้อเพลงที่พูดถึงกดผู้หญิงเป็นเครื่องมือระบายความใคร่ หนักกว่านั้นคือการบรรยายถึงพฤติกรรมรุนแรงอย่างการบีบคอ ชกหน้าหรือแม้แต่ฆ่าผู้หญิงด้วยความแค้น กลับกลายเป็นว่าเรื่องกระโปรงของ rapper ชายจะสร้างความหงุดหงิดให้กับแฟนเพลงมากกว่า เหมือนกับตลกร้ายที่ Chris Brown เจ้าของวีรกรรมทำร้ายร่างกายRihannaจนฉาวโฉ่ ออกมาแดกดันKanye ว่า "ต่อไป เจ้านี่คงใส่รองเท้าส้นสูงแน่ๆ"




แต่สำหรับศิลปินhip hop ยุคใหม่หลายคน ดูเหมือนว่าพวกเค้าจะไม่ได้ใส่ใจเสียงดูถูกดูแคลนเรื่องความเป็นชาย และเดินหน้าทำสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบด้วยความมาดมั่น

ดังกรณีของ Kid Cudi ที่สร้างเสียงตอบรับเกรียวกราวจาก androgynous style มาแล้วหลายครั้ง เขาใส่เดรสลายดอกแสดงดนตรีในรายการ SNL เพื่อรำลึกถึง Kurt Cobain และถูกแฟน hip hop โจมตีอย่างหนัก

"ผมตัดสินใจจะทำเรื่องนี้มาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว และมันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะผมสามารถจุดประกายความมั่นใจให้กับเด็กๆด้วยการบอกพวกเค้าให้เป็นตัวของตัวเอง และจงทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ"

ส่วนเรื่องที่style ของเขาจะไปยั่วโทสะใคร Kid ยืนยันว่า ไม่แคร์!

"ผมเป็นประเภทที่จะตอบรับว่า ทำไมพวกนี้ถึงเหวี่ยงอะไรกันนัก ก็ช่างมันดิ ผมไม่ใช่คนที่จะมาสนใจกระแสต่อต้าน ไม่แคร์ว่าใครจะคิดแบบไหนกับตัวผม ผมรู้อยู่แล้วว่า ถ้าแต่งตัวแบบนี้จะทำให้คนพวกหนึ่งโมโหโกรธา แต่มันทำให้ผมชอบแฮะ เพราะว่าวงการ hip hop น่ะมักตั้งแง่กับอะไรแบบนี้"

"ผมเห็นคนทำวีดีโอบน Youtube วิพากษ์วิจารณ์ผมที่ใส่เดรสตัวนี้ ผู้ชายผิวดำที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แสดงท่าทางโกรธเกรี้ยว บอกว่าผมเป็นบ่อนทำลายผู้ชายและความมาดแมนสมชาย แล้วผมก็แค่คิดว่า โยว่ นี่มันฮาว่ะ ที่ผมไปกระตุกต่อมโมโหพวกนี้ได้มันสนุกดี"






Young Thug เป็นศิลปิน hip hop ยุคโมเดิร์นอีกคนที่พยายามออกนอกกรอบด้วยลุคแบบไร้เพศ เขาใส่เดรสถ่ายโฆษณา Calvin Klein ใส่เสื้อ crop และกระโปรงถ่ายแบบ magazine เขายืนยันว่า jeans ของผู้หญิงนั้นใส่สบายสุดๆ และ 90%ของตู้เสื้อผ้าของเขาเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง แต่ในขณะที่มีเสียงชื่นชมว่า เขาเป็นตัวแทนคนยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสรี ก็ถูกตราหน้าว่า ทำให้วงการ hip hop ต้องตกต่ำแปดเปื้อนด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่มาดแมน

แม้ VOGUE จะยกให้ A$AP Rocky เป็นผู้ตั้งมาตรฐานใหม่ของ Menswear แห่งยุคโมเดิร์นที่ก้าวหน้าหลังจากที่เขาใส่กระโปรงหนังเดินเตร่ในเมืองใหญ่ รวมถึงนิตยสาร GQ และ W ที่ฟันธงว่าเขาดูเจ๋งเท่โดยไม่ต้องพยายาม แต่ที่ผ่านมา เขาเคยต้องเจอกับคำดูถูกเมื่อใส่เดรสและกระโปรงมาก่อน

"ตอนที่ผมไปช็อปเสื้อผ้า ผมจะไปแผนกผู้หญิงเพื่อหาของดีๆ  เพราะผมรู้ว่า พวกผู้ชายจะไม่มีของแบบนี้  โค้ทThe North Face x Gucci    แจ็กเก็ตทรงพอง  เค้าทำเสื้อผ้าพวกนี้เพื่อผู้หญิงและไม่มีผู้ชายคนอื่นเลือกมันมาใส่ออกไปไหน"

เขาบรรยายความรู้สึกว่า เมื่อได้ใส่ kilt ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งมากขึ้น และแนะนำว่าจงแต่งตัวในแบบที่ชอบ มันเป็นแนวคิดแบบ punk นั่นเอง

ตอนที่ผูกผ้าพันคอGucciประดับผมแบบคุณยายออกงานจน internet ต้องพร่างพรูไปด้วยreaction หลากหลายอารมณ์   Rocky ก็ประกาศอย่างมั่นใจเกินร้อยว่า   ลุคนี้ช่างไร้ที่ติ และยิ่งใส่แว่นดำเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหล่อเหลา  และขอให้ผู้ชายทุกคนจับผ้าพันคอมาใส่แนวbabushka (คุณยาย) เหมือนกัน


เขาผู้นี้เองที่ได้พิชิตใจ Rihanna superstar สวยแซ่บที่เป็นนางในฝันของหนุ่มมากมาย Rocky ได้ชี้ถึงความสองมาตรฐานเรื่องการแสดงความสร้างสรรค์ทาง fashion ของชายหญิงไว้ว่า Rihanna สามารถยืมเสื้อผ้าของเขาไปใส่ได้โดยไม่มีใครคอยจับผิด





ผู้ชายที่เริ่ดจนถูกเลือกให้รับหน้าที่ Face Of Yves Saint Laurent Beauté 

หนุ่มๆชื่อดังที่แต่งกายแบบ androgynous style ที่เรากล่าวถึงในเบื้องต้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ฉุดรั้งให้ลูกผู้ชายที่แท้จริงต้องเสื่อมเสีย แต่สำหรับศิลปินผิวดำที่เปิดเผยตัวจนชัดเจนว่าเป็นเกย์ ก็ต้องเผชิญกับความแรงกดดันที่หนักหนาขึ้นไปอีก Lil Nas X ได้ปล่อยผลงานขายดิบขายดีฉีกหน้าคนที่ปรามาสเขาว่าเป็นได้แค่ศิลปิน one hit wonder ที่ใช้จุดขายเรื่องรักร่วมเพศมาสร้างกระแส ความสำเร็จที่หลั่งไหลเข้ามาได้เปิดโอกาสให้เขาก้าวมาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อชาวเพศทางเลือก แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยง cyberbullying ไปได้เลย

Boosie Badazz แร็พเพอร์ที่เคยต้องโทษจำคุกจากการก่อคดีฆาตกรรมเคยtweet ไล่ให้เขาไปฆ่าตัวตาย "นายจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกมากเพราะไม่มีใครอยากให้นายมาอยู่ตรงนี้" คำพูดนี้อาจจะทำให้ เรื่องที่50 Cent เยาะเย้ยเมื่อเขาแต่งตัวเลียนแบบ Nicki Minaj ในเทศกาล Haloween ฟัง soft ลงมาทันที

Lil Nas X ต้องเจอกับ internet trolls ตามจองเวรจนเขาจนรู้สึกเคยชิน มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เสียงโจมตีเหล่านี้จะสร้างความเจ็บปวดร้าวลึกจริงๆ เขาหันมาให้ความสำคัญกับพลังสนับสนุนจากแฟนๆแทนที่จะวิตกจริตกับแรงเกลียดชัง








อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหยื่อ bully โดยไม่ตอบโต้ วันๆหนึ่งเขาต้องเจอกับข้อกล่าวหาว่าชักจูงให้ผู้ชายหันมาเป็นเกย์แล้วติดเชื้อจนป่วยเป็นโรค Aids และเป็นตัวอย่างย่ำแย่สำหรับหนุ่มสาวรุ่นใหม่จากการแสดงบนเวทีที่สื่อเรื่องเพศจนฉาวโฉ่เกินรับ แต่เขาก็ชี้ให้เห็นความสองมาตรฐาน เพราะ haters เหล่านั้นไม่ได้ตามจิกกัดศิลปินชายที่สร้างชื่อเสียงด้วยเพลงrapโอ้อวดเรื่องหลับนอนกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ศิลปินเกย์อย่างเขากลับถูกตราหน้าว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเพราะการแสดงออกทางเพศ หรือกรณีที่ชาวเน็ทวิจารณ์ว่า MV ของเขานำเสนอภาพลักษณ์ผู้ชายผิวดำที่ดูfeminineจนน่าเกลียด ถือเป็นการดูหมิ่นผู้ชายผิวดำอย่างแรง เขาก็สวนกลับว่า อีกฝ่ายต่างหากที่ดูหมิ่นความเป็นหญิงว่าแสดงถึงความบกพร่องอ่อนแอ ส่วนการยึดติดกับความมาดแมนสมชาย ก็เป็นเพราะว่า หากไร้สิ่งนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ยกมาข่มใส่ได้




และความ fierce นี้เองที่ทำให้เขาได้รับทาบทามให้มารับหน้าที่ brand ambassdor เพื่อ Yves Saint Laurent Beauté


หากตั้งข้อสงสัยว่า ambassadorเพศชายจะช่วยกระตุ้นยอดขายผลิตภัณฑ์อย่างลิปสติกและมาสคาร่าได้จริงรึเปล่า?

YSLได้อธิบายว่า นี่เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่เล็งไปถึงอนาคตของอุตสาหกรรมความงาม เพื่อสนับสนุนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกนอกกรอบเดิมๆ  แสดงความโดดเด่น ความกล้าหาญ และไม่ต้องรู้สึกผิดกับความเป็นตัวของตัวเอง  และยังยกย่องLil Nas X ที่มุ่งมั่นจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการเปรียบให้เขาเป็นผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการทางสังคมที่แท้จริง     partnership ครั้งนี้จึงมาพร้อมกับความหวังที่จะปลุกพลังใจให้กับแนวคิดทางความงามสำหรับคนรุ่นใหม่







candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE