ทริคดูแลผิวคุณแม่ตั้งครรภ์ให้สวยโกลว์อย่างปลอดภัย

35 10
คุณแม่มือใหม่ย่อมมีความกังวลเรื่องวิธีดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรง และปลอดภัยกับลูกน้อยที่สุด หลายคนอาจจะสงสัยว่านอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทานอาหารและไลฟ์สไตล์แล้ว จะยังสามารถใช้สกินแคร์แบบเดิมได้อยู่มั้ย หรือมีส่วนผสมอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงรึเปล่า เพราะถึงจะท้องแต่ผู้หญิงอย่างเราก็คงไม่อยากปล่อยตัวเองให้ดูโทรมไม่สดใสจนดูไม่ได้ เราเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงผิวที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพื่อเป็นไอเดียในการเทคแคร์ผิวให้เป๊ะปังแต่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยมาไว้ให้ที่นี่แล้วค่า

การเปลี่ยนแปลงของผิวช่วงตั้งครรภ์


บางคนเมื่อท้องแล้วอาจมีผิวโกลว์ ดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี ไม่มีปัญหาผิวอะไรเลยจนกระทั่งคลอด แต่สำหรับหลายๆ คนอาจไม่ได้โชคดีแบบนั้นเสมอไป การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อผิวในด้านที่แตกต่างกัน ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในคนท้องมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลยค้า
ฝ้า (Melasma/Chloasma)

มีคุณแม่จำนวนมากที่มีฝ้าขึ้นช่วงตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เคยมีฝ้ามาก่อน ซึ่งเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเกิดฝ้าขึ้นตามใบหน้า ส่วนวิธีที่จะป้องกันการเกิดฝ้าได้ดีที่สุดก็คือการทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 อย่างเคร่งครัดเป็นประจำทุกวันและทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และควรเลือกใส่เสื้อผ้าหรือ Accessory เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานทุกครั้ง แต่ถ้ามีฝ้าขึ้นมาแล้วก็อาจเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 10% ซึ่งทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เพื่อช่วยลดเลือนจุดด่างดำให้จางลงได้อย่างอ่อนโยน และไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หากใช้ไม่บ่อยจนเกินไป
ผิวแตกลาย (Stretch marks)

ผิวแตกลายคือริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง เมื่อผิวหนังและเนื้อเยื่อมีการขยายตัวหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้อีลาสตินและคอลลาเจนในผิวหนังชั้นในถูกยืดออก ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิวหนังขยายตัวตามไม่ทัน และหลังคลอดเมื่อมีการลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว สำหรับปัญหานี้อาจควบคุมและป้องกันได้ 100% ค่อนข้างยาก แต่ก็มีวิธีที่สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดผิวแตกลายได้ นั่นก็คือการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยการทาโลชั่นหรือน้ำมันสูตรเข้มข้นเป็นประจำทุกวันทันทีหลังอาบน้ำตอนที่ผิวยังหมาดๆ อยู่ พยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำทั้งระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด ซึ่งไม่ควรให้น้ำหนักขึ้นหรือลดลงมากกว่า 2 กิโลกรัมต่อเดือน และเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแตกลายได้ค่า
สิว (Hormonal acne) 

การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจนในช่วงไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์อาจไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันในผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผิวเกิดการอุดตันและเป็นสิวได้ง่ายกว่าปกติ เนื่องจากส่วนผสมที่ใช้ในยารักษาสิวส่วนใหญ่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการซื้อยารักษาสิวมาใช้เอง และเลือกใช้วิธีทางธรรมชาติในการรักษาสิวจะดีกว่า ส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยให้สิวลดน้อยลง ได้แก่ ธาตุเหล็ก วิตามินเอ และน้ำผึ้ง

ธาตุเหล็ก

มีงานวิจัยที่จัดทำขึ้นกับคน 200 คน พบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างปริมาณธาตุเหล็กที่สูงกว่าและการเป็นสิวที่รุนแรงน้อยกว่า คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จึงอาจลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก หรือเลือกกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กสูง ไม่ว่าจะเป็น หอยนางรม เนื้อสัตว์รวมถึงเนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่ สัตว์น้ำเปลือกแข็ง ถั่วชนิดต่างๆ และโยเกิร์ต เป็นต้น

วิตามินเอ

โดยทั่วไปแล้ววิตามินเอชนิดทาหรือเรตินอยด์เป็นส่วนผสมที่มีการวิจัยมาแล้วว่าช่วยลดและปกป้องปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากการใช้วิตามินเอในขณะตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ เราจึงแนะนำให้กินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอแทน เช่น เนื้อไก่ ไข่ ปลา รวมถึงปลาทูน่าและปลาแซลมอน ผักหลากชนิด เช่น ผักโขม บร็อคโคลี่ มันหวาน และแคร์รอท ผลไม้ เช่น แคนตาลูป และแอปริคอต และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรียซึ่งอาจช่วยในการรักษาสิวได้ อาจนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นสิวโดยตรงหรือจะนำมาใช้เป็นมาสก์พอกผิวทิ้งไว้ซัก 20-30 นาทีก็ได้
 ผิวระคายเคืองง่าย 

คุณแม่หลายๆ คนเมื่อตั้งครรภ์อาจพบว่าสภาพผิวของตัวเองเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยมีผิวสุดสตรองใช้อะไรก็ไม่แพ้ กลายเป็นคนผิวแพ้ระคายเคืองง่ายไปซะทุกอย่าง แม้แต่กับสกินแคร์ที่เคยใช้อยู่ก่อนหน้าแล้วไม่เคยมีอาการแพ้ก็ตาม เพราะฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสในการแพ้ควรเปลี่ยนไปใช้สกินแคร์ที่ระบุว่าอ่อนโยนต่อผิว ไม่ใส่สารเคมีที่อาจทำอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ และไม่มีน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ นอกจากนั้นก่อนจะเริ่มใช้สกินแคร์ตัวใหม่ควรลองผลิตภัณฑ์ที่บริเวณข้อมือหรือหลังหูทุกครั้งก่อนใช้ เพื่อทดสอบว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่

ส่วนผสมที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระวัง


จากที่เราได้เกริ่นไปบ้างก่อนหน้าแล้วว่า บางส่วนผสมในสกินแคร์อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทำให้ทารกที่คลอดออกมาพิการหรือไม่สมบูรณ์ได้ เนื่องจากส่วนผสมบางชนิดอาจดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผิวหนังและส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ได้โดยตรง เชื่อว่าเมื่อรู้อย่างนี้แล้วคุณแม่ทุกคนย่อมมีความกังวลใจเป็นพิเศษว่าส่วนผสมที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้มีอะไรบ้าง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่า
กรดวิตามินเอ หรือเรตินอยด์ (Retinoids)

กรดวิตามินเอหรือเรตินอยด์เป็นส่วนผสมตัวเทพที่ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมทั้งช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ริ้วรอย และรอยตีนกาต่างๆ ลดการอุดตันของรูขุมขน และยังช่วยปรับสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น แต่เมื่อไรที่รู้ตัวว่าท้องควรเลิกใช้เรตินอยด์ทันทีเพราะมีการวิจัยออกมาแล้วว่ามีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีความผิดปกติโดยกำเนิดได้

ทั้งนี้กรดวิตามินเอสามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Accutane (Isotretinoin), Retin-A (Tretinoin), Adapelene, Retinoic Acid, Retinol, Retinyl Linoleate และ Retinyl Palmitate ซึ่งควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมเหล่านี้โดยสิ้นเชิงในช่วงตั้งครรภ์เพื่อความปลอดภัยต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ทางที่ดีควรหยุดใช้กรดวิตามินเอทั้งแบบกินและแบบทาประมาณ 1-2 เดือนก่อนการตั้งครรภ์
กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) 

กรดซาลิไซลิกเป็น Beta Hydroxy Acid (BHA) ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นกรดสังเคราะห์ที่ช่วยลดการอักเสบของผิวและลดการอุดตันของรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว เป็นส่วนผสมที่พบมากในสกินแคร์รักษาสิวทั่วไปในท้องตลาด การวิจัยเปิดเผยว่ากรดซาลิไซลิกในปริมาณสูง เช่น ในยากินและในทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีเข้มข้น ส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของทารกในครรภ์ และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามกรดซาลิไซลิกแอซิดในปริมาณต่ำที่พบได้ในผลิตภัณฑ์ทั่วไปตามท้องตลาด หรือที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 2% ค่อนข้างมีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายถ้าใช้ไม่บ่อยจนเกินไปค่า
เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)


ส่วนผสมที่มีคุณสมบัติในการรักษาสิว ช่วยจัดการแบคทีเรีย ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อุดตันรูขุมขน และลดความมันส่วนเกิน เหมาะสำหรับใช้รักษาสิวอักเสบ ถึงแม้จะยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ในคนท้อง แต่มีการทดลองกับสัตว์และพบว่าทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ จึงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าส่วนผสมนี้จะปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ของมนุษย์หรือไม่ รวมถึงในช่วงให้นมเช่นเดียวกัน เพราะสารนี้อาจดูดซึมผ่านผิวหนังคุณแม่เข้าสู่น้ำนมได้ ทางที่ดีเราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารชนิดนี้ไปก่อนจะดีกว่าค่ะ
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)


ส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาว มีคุณสมบัติในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง เช่น ครีมรักษาฝ้าหรือจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าไฮโดรควิโนนส่งผลให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่หรือทารกในครรภ์ แต่เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมสารนี้เข้าไปในปริมาณมากถึง 25-35% เมื่อเทียบกับส่วนผสมอื่นๆ เพื่อความสบายใจก็ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนี้ไปก่อนในขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือถ้าต้องการใช้จริงๆ อาจปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำก่อนใช้จะดีที่สุดค่า
ทาเลท (Phthalates) 

สารทาเลทเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่พบได้มากในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น น้ำหอม ครีมทาผิว สบู่ ยาสระผม โฟมล้างหน้า น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม ยาทาเล็บ และเครื่องสำอาง เป็นสารที่รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Disruptor) และจากการศึกษากับสัตว์พบว่าส่งผลต่อระบบเจริญพันธุ์และทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ทำงานอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสให้เกิดภาวะมีบุตรยาก และตัวอ่อนไม่เจริญเติบโตได้ สารทาเลทที่พบได้มากที่สุดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีชื่อว่า ‘Diethylphthalate’ หรือ DEP ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานยืนยันถึงผลข้างเคียงในมนุษย์ แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารตัวนี้จนกว่าจะมีการยืนยันออกมาว่าไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอนจะชัวร์ที่สุดค่า
ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)


ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะแทบไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารกันเสียและสารฆ่าเชื้อแล้ว เพราะเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากและทำให้แท้งได้ อย่างไรก็ตาม เมคอัพบางตัวก็ยังมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมา ซึ่งเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามเราแนะนำให้ศึกษาฉลากอย่างละเอียด และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัยค่ะ


  • Bronopol
  • DMDM hydantoin
  • Diazolidinyl urea
  • hydroxymethylglycinate
  • Imidazolidinyl urea
  • Quaternium-15
  • 5-bromo-5-nitro-1,3-dioxane
กันแดดแบบดูดซับรังสี (Chemical Sunscreens)


การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันมีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะช่วงตั้งท้องที่ฮอร์โมนต่างๆ อาจกระตุ้นให้ผิวเกิดฝ้า กระได้ง่าย แต่เพื่อความปลอดภัยควรเลือกกันแดดแบบสะท้อนรังสี (Physical Suncreen) เพราะจะเคลือบอยู่บนผิวหนังและดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังน้อยมาก และควรหลีกเลี่ยงครีมกันแดดแบบดูดซับรังสี (Chemical Sunscreen) เพราะสารกันแดดชนิดนี้จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากันแดดตัวนั้นๆ มีส่วนผสมของ Oxybenzone ก็แนะนำว่าควรหยุดใช้ไปก่อนในช่วงตั้งครรภ์จะดีที่สุด


Oxybenzone เป็นสารกันแดดที่นิยมนำมาใช้ในกันแดดแบบดูดซับรังสีเพราะมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จากการศึกษาในสัตว์พบว่าสาร Oxybenzone ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของต่อมน้ำนมและทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างถาวร จึงควรหยุดใช้ในระหว่างตั้งท้องเพื่อป้องกันไว้ก่อนค่า

ส่วนผสมที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และลูกน้อย 


ถึงแม้ว่าจะมีส่วนผสมหลายตัวที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีส่วนผสมอีกมากมายที่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราได้หยิบยกตัวอย่างส่วนผสมบางชนิดที่คุณแม่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยแทนสารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงตั้งครรภ์เพื่อเป็นไอเดียให้นำไปเลือกใช้กันค่า
รักษาสิวและจุดด่างดำ 

นอกเหนือจากเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์และกรดซาลิไซลิกแล้ว กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 10% และกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ที่มีความเข้มข้น 15-20% ยังสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดเลือนจุดด่างดำ ปรับผิวให้ดูสว่างกระจ่างใสขึ้น และยังช่วยรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ดีไม่แพ้กับสารทั้งสองตัวที่ควรหลีกเลี่ยงเลย ทั้งยังปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์อีกด้วย
ชะลอวัยและริ้วรอย

ถึงแม้ว่าคุณแม่จะไม่สามารถใช้เรตินอยด์ในขณะตั้งครรภ์ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้วิตามินซี ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลัง ทำหน้าที่ในการเสริมภูมิคุ้มกันของผิวและต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกป้องผิวจากการทำร้ายจากแดด ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และสิว และยังช่วยรักษาระดับคอลลาเจนในผิว ช่วยให้ผิวคงความยืดหยุ่นอ่อนเยาว์ไว้ได้ยาวนาน
ให้ความขุ่มชื้นและป้องกันผิวแตกลาย 

นอกจากฮอร์โมนที่แปรปรวนอาจส่งผลให้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินจนผิวมันเป็นสิวแล้ว ก็อาจทำให้คุณแม่บางคนผิวแห้งกว่าปกติได้ด้วย ซึ่งวิธีแก้ก็คือการดื่มน้ำให้มากขึ้นและเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นสูงเป็นพิเศษ อย่างน้ำมันมะพร้าว โกโก้บัตเตอร์ เปปไทด์ และกรดไฮยาลูรอนิก ที่ต่างให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้อย่างล้ำลึกและยังปลอดภัย อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองง่ายอีกด้วย
ปกป้องจากแสงแดด

เนื่องจากสารกันแดดแบบดูดซับรังสีอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ เพื่อลดโอกาสของการดูดซึมของสารกันแดดเข้าสู่ผิวหนัง เราแนะนำให้เลือกใช้สารกันแดดแบบสะท้อนรังสีที่มีส่วนผสมของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ที่มีค่า SPF30 เป็นอย่างต่ำ เพราะนอกจากสารกันแดดชนิดนี้จะปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยแล้ว ยังช่วยลดการเกิดสิวและอาการระคายเคืองต่อผิวอีกด้วย จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ทุกสภาพผิวเลยละค้า 
คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแน่ใจได้ว่าส่วนผสมไหนบ้างที่ปลอดภัยต่อร่างกายและลูกในท้อง เชื่อว่าคุณแม่มือใหม่คงจะมีคำถามและความกังวลอยู่เต็มไปหมด เราหวังว่าข้อมูลที่เรารวบรวมมาในวันนี้จะช่วยไขข้อข้องใจให้หลายๆ คนทั้งคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และใครที่กำลังวางแผนจะมีน้องในเร็วๆ นี้ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้าเป็นไปได้เราแนะนำให้ปรึกษาคุณหมอถ้ามีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความสบายใจของคุณแม่ทุกคนค่า ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเคยมีประสบการณ์การตั้งท้องและมีทริคในการดูแลตัวเองยังไงบ้างก็มาแชร์กันได้เลยนะค้าา

References 


wararatlw

wararatlw

FULL PROFILE