คิดยังไงเมื่อมีคนบอกว่า ถ้าเพิ่มวันหยุดลาคลอดแล้ว เดี๋ยวมีคนท้องบ่อยๆ?

37 14
เห็นมีคนออกมาสนับสนุนให้เพิ่มวันหยุดลาคลอดเพิ่ม จาก 90 วัน เพิ่มเป็น 180 วัน ซึ่งความจริงแล้วตามกฎหมาย สิทธิลาคลอดของลูกจ้างหญิงอยู่ที่ 98 วัน คือรวมช่วงฝากครรภ์หรือตรวจครรภ์ไปด้วย และจะได้รับค่าจ้าง 45 วันเท่าเดิม อีก 8 วันที่เพิ่มมาก็แล้วแต่บริษัทว่าจะจ่ายให้ไหม


แต่ก็นั่นแหละค่ะ ทำให้มีคนออกมาบอกว่า
เพิ่มวันลาคลอดให้เดี๋ยวก็มีคนท้องบ่อยๆ (?) จนเหล่าแม่ๆ ที่ผ่านประสบการณ์การมีลูกกันมาแล้ว ออกมาอธิบายว่า การมีลูกสักคน อย่างน้อยก็ต้องอุ้มท้อง 270 วัน เลี้ยงลูกจนกว่าจะเข้าอนุบาลอีก 1,095 วัน ไหนจะค่าฝากท้องเกือบแสน ค่าผ้าอ้อมอีกหลักหมื่น นอกจากค่าใช้จ่ายอันมากมายแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูอีก คิดได้ไงว่าเดี๋ยวคนไปท้องเล่น!

(แปลสั้นๆ ได้ว่า ใครมันจะไปมีลูกเพื่อวันหยุดลาคลอดกันละโว้ยย)

ค่าเสียหายของคุณแม่

Anyway, เราเองก็ยังไม่เคยเป็นแม่คน ยังไม่ได้มีประสบการณ์นั้นก็อาจจะตอบไม่ได้ว่าการเลี้ยงลูกต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากขนาดไหน แต่จากการติดตามแม่ๆ หลายคน ก็เห็นถึงการใช้ชีวิตและความเปลี่ยนแปลงมากในเรื่องความงามการดูแลตัวเอง

รูปร่าง

หลังจากคลอดลูกแล้ว ร่างกายของผู้หญิงก็จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาจากการให้สารอาหารลูกน้อย และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกลับมาลดน้ำหนักให้เหมือนเดิมได้ ไหนจะต้องเลี้ยงลูก ที่ตื่นทุก 3 ชั่วโมง และมีงานบ้านอีก เวลานอนยังหายาก จะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกาย

เสื้อผ้าเดิมๆ ก่อนมีลูกใส่ไม่ได้อีกต่อไป ก็ต้องซื้อเสื้อผ้าไซซ์ใหม่ และยังมีเสื้อให้นมลูกอีก นี่ยังไม่รวมทุกชุดของลูกน้อยเลยนะเนี่ย

ผิวกาย

ช่วงที่ท้องฮอร์โมนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก บางคนอาจทำให้ผิวแห้ง คัน ระคายเคืองง่ายมากขึ้น ต้องหาบอดี้แคร์หรือโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้น ที่ใช้แล้วจะไม่กระทบกับลูกในท้อง

และเมื่อคลอดแล้วของแถมที่ได้มาอีกอย่างก็คือท้องแตกลาย ต้องทาครีมบำรุงไว้ล่วงหน้าหลายเดือนเป็นประจำ หรือหลังคลอดแล้วก็ยังต้องทาต่อเนื่อง

ผิวหน้า

สกินแคร์สำหรับผิวหน้ายิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเปลี่ยนแทบยกแผง ต้องใช้แต่อันที่ไม่มีสารที่ซึมเข้าผิว แล้วมีผลต่อทารกในท้อง เช่น ห้ามใช้สกินแคร์ที่มีวิตามินเอเป็นส่วนประกอบเด็ดขาด อาจจะกระทบต่อระบบประสาทของลูกได้ เป็นต้น
การมีลูกสักคน แม้จะมีเมื่อพร้อมจริงๆ แล้ว มันก็ยังมีราคาที่คนนอกมองไม่เห็นอยู่มาก ถึงมันจะเป็นค่าใช้จ่ายที่คุณแม่เต็มใจที่จะแบกรับ แต่จะดีกว่าไหมถ้าสังคมมีความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น และให้คุณค่าต่ออาชีพแม่มากกว่านี้

คุณแม่คนไหนอยากเล่าประสบการณ์การเป็นแม่ ก็มาร่วมแชร์กันได้นะคะ ^^


sweetsong13

sweetsong13

A dreamer who loves to write
www.sweetsong13.com
sweetsong13@gmail.com

FULL PROFILE