ทัศนคติสุดเริ่ดจากเซเลบสาวงามรุ่นใหญ่

46 14
จากครั้งที่แล้วเราได้พูดคุยถึงปัญหา 'การเลือกปฏิบัติจากอายุ' ที่ส่งผลร้ายต่อผู้หญิงที่ก้าวผ่านพ้นวัยสาว      และหลายคนคงได้ประจักษ์แล้วว่า  ช่วงเวลาที่เรียกว่า prime time ของเรานั้นช่างแสนสั้น      แต่เมื่อคุณผ่านวัยผู้ใหญ่เข้าสู่วัยกลางคน แล้วค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นผู้สูงอายุ   นั่นต่างหากที่เป็นเส้นทางยาวไกลกินเวลาหลายทศวรรษ   แต่ผู้หญิงจำนวนมากมายต้องถูกบีบคั้นให้ท้อใจจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  ไม่ว่าพวกเธอจะดูแลตัวเองใส้ดูสวยงาม สุขภาพดี  มีชีวิตที่ดูเลิศเลอและประสบความสำเร็จมากแค่ไหน  ก็ต้องถูกด้อยค่าด้วยคำว่า 'แก่'

ดูเหมือนว่าสังคมไม่ได้เปิดทางให้กับสาวรุ่นใหญ่มากนัก หากคุณเลือกยอมรับความชราที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาด้วยการยึดคติ ''งามตามวัย' โดยปล่อยไปตามธรรมชาติ ก็อาจจะต้องพบกับสายตาจับผิดว่าปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตัวเองให้ดูสวยอ่อนกว่าวัย

แต่ก็เหมือนกับตลกร้าย เมื่อผู้หญิงใช้ตัวช่วยจากมีดหมอหรือกระบวนการต่างๆเพื่อชะลอความแก่ หากผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงใจกับนักวิจารณ์ในสังคมออนไลน์ ก็ต้องพบกับคำพูดเย้ยหยันให้เจ็บปวด


แน่ล่ะว่า หากเมื่อเข้าสู่วัยห้าสิบแล้ว ได้มีผิวเรียบเนียนเต่งตึงเหมือนกับ Halle Berry มันคงทำให้เรารู้สึกยอดเยี่ยม หรือวันใดที่มีคนทายอายุของเราน้อยกว่าตัวเลขจริงไปหลายปี ก็คงทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน

แต่ถ้ามันได้เป็นเช่นนั้นล่ะ?   เราต้องถูกบีบให้รู้สึกผิดและต้อยต่ำเพราะความชราจริงๆหรือ?

เมื่อไม่นานมานี้ Kristin Devis ต้องระบายอย่างคับแค้นใจ เมื่อบรรดาชาวเน็ทและสื่อแทบลอยด์เย้ยหยัยรูปลักษณ์ของเธอที่ปรากฏในซีรีส์ And Just Like Thai... (ภาคต่อของ Sex And The City) หลายคนโจมตีเธอว่าฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์จนหมดคราบความสวย

ส่วน Victoria Beckham ที่เข้าร่วมให้สัมภาษณ์ในรายการ Good Morning America ก็ถูกสื่อพาดหัวโจมตีว่า แฟนๆทั้งช็อคและไม่พอใจกับริมฝีปากอวบอิ่มและ'หน้าใหม่' ที่แทบจะไม่ขยับบ้างก็ดึงตัวผู้เชี่ยวชาญมาสาธยายว่า เพื่อที่จะยื้อไม่ให้ดูแก่ เธอได้ทำอะไรกับหน้าไปบ้าง ถึงขนาดมีฝ่ายที่ปล่อยข่าวว่า เธอทุ่มทำหน้าเพื่อเยียวยาใจตัวเองที่ต้องทุกข์ใจเพราะธุรกิจแฟชั่นที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังห่างเหินกับสามีและลูกๆที่เคยใช้ชีวิตอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา รวมถึงการตั้งข้อสันนิษฐานว่า แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นคนที่ขาดความมั่นใจ เมื่อได้เห็นสามีดูแลตัวเองจนได้รับเสียงชื่นชม ก็รู้สึกกว่าจะน้อยหน้าไม่ได้จนต้องใช้โบท็อกซ์และฟิลเลอร์เป็นตัวช่วย




หากพูดถึงแรงกดดันว่าหนักหนาแค่ไหน ลองพิจารณาจากกรณีของ Eva Mendes ที่ก้าวเข้าสู่ช่วงปลายของวัยสี่สิบ เธอไม่ปิดบังเรื่องทรีทเมนท์ชะลอความแก่ในรูปแบบต่างๆ ดังในภาพที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันดี มันคือการร้อยไหมคอลลาเจนกระชับผิวนั่นเอง และบอกเลยว่า ผลลัพธ์ของการดูแลตัวเองและทรีทเมนท์ที่เธอใช้นั้นได้ผลชัดเจน เธอดูสดใสอ่อนกว่าวัยจนดูน่าอิจฉา ยามไปไหนมาไหนกับครอบครัว ก็เน้นลุคธรรมชาติโชว์ผิวglow แต่ช่วงหลังๆ ก็เริ่มถอยห่างจาก social media จนทำให้แฟนตั้งคำถามว่า เธอหายหน้าหายตาไปไหน แต่กลับมาชาวเน็ทอีกคนมาให้คำตอบแทนว่า เธอไปทำหน้ามา แต่รู้สึกแย่กับผลลัพธ์ที่ออกมา จึงต้องเก็บตัว ไม่เปิดเผยหน้าใหม่ในโลกออนไลน์ การจับผิดนี้ทำให้เธอต้องออกมาชี้แจงว่า เพราะลูกๆประท้วงที่เธอหมกมุ่นกับหน้าจอโทรศัพท์ จนทำให้คิดได้ว่าควรถอยมาใช้เวลากับพวกเค้าอย่างเต็มที่ ส่วนประเด็นทำหน้านั้น เธอจะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่ใจปรารถนา แต่เธอไม่ได้เก็บตัวซ่อนหน้าใหม่อย่างที่ถูกพาดพิงแต่อย่างใด




สังคมออนไลน์โหดร้ายกับผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ถึงขนาดที่คนดังที่ดูสวยเปล่งประกายและอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอย่างEva ก็ยังถูก troll จิกกัดว่าดูแก่     หากมีคนแปลกหน้ามาทิ้งคอมเมนท์ไว้ใต้ภาพว่าคุณช่างดูแก่แค่ไหน ก็คงสร้างความรู้สึกไม่น่าอภิรมย์นัก  แต่ดูเหมือนว่าภูมิคุ้มกันการเหยียดแก่ของนักแสดงสาวละติน่าจะสูงมากพอที่จะตอบกลับแบบสวยๆว่า...

Madonna:  "อย่าปล่อยให้สังคมมากำกับว่าคนวัยคุณควรทำอย่างไร"


 

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่แข็งแกร่งมากพอรับมือคำพูดว่าร้าย โดยไม่รู้สึกรู้สา แม้แต่ Madonna ที่ถูกยกให้เป็นiconหัวขบถท้ากฎเกณฑ์สังคม ก็เคยแนะนำเพื่นอร่วมวงการไว้ว่า
"อย่าได้แก่ตัวลงเป็นอันขาด เพราะความแก่คือตราบาป คุณจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ คุณจะถูกใส่ร้ายป้ายสี แล้วคลื่นวิทยุก็จะไม่เล่นเพลงของคุณ"


กระแสโจมตี Madonna เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอก้าวสู่วัยหกสิบ ชาวเน็ทรุมเย้ยหยันว่าเธอเป็นประเภท 'ไม่ตรงปก' เพราะใช้รีทัชเป็นตัวช่วยลบร่องรอยแห่งวัยเพื่อโชว์ภาพบน Instagramที่ดูเด็กลงหลายสิบปี แทบลอยด์มักพาดหัวจิกกัดว่าเธอมีพฤติกรรมกระชากวัยจนต้องอายแทน ภาพ before - after ของเธอถูกแชร์เกลื่อน internet


"ผู้คนพยายามหาข้ออ้างมาบีบให้ฉันนิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฉันสวยไม่พอ ฉันร้องเพลงดีเก่งไม่พอ ฉันมีพรสวรรค์ไม่พอ ฉันไม่ได้มีสถานะแต่งงานมากพอ คราวนี้ก็มาถึงคิวข้ออ้างที่ว่า ฉันไม่สาวพอ"

"ฉันกำลังต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติจากอายุ และฉันถูกพิพากษาลงโทษเพราะอายุหกสิบ"






Madonna สร้างsurprise เปิดงาน VMAs ด้วยการประกาศศักดาถึงความเป็นตัวแม่ที่ยืนหนึ่งคู่เวทีนี้มาตั้งแต่ยุค 80s และบั้นท้ายของเธอก็กลายเป็น viral โดยไม่ต้องสงสัย แต่ในขณะที่ผู้ชมในงานและชาวเน็ทแสดงความตื่นเต้นว่าซุปตาร์วัย 63 ดูดีมากแค่ไหน แต่ก็มีคนตั้งแง่กับเธอว่าทำตัวไม่สมวัย ยัดเยียดให้คนเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู หรือจะเป็นสัมภาษณ์ใน Late Night Show กับ Jimmy Fallon ที่กลายเป็นข่าวฮือฮา เมื่อเธอหันหลังให้ผู้ชมแล้วเปิดกระโปรงโชว์บั้นท้ายแล้วปีนไปบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระ หากเป็นในอดีต อาจจะมีเสียงโจมตีว่าเธอดูแรงไม่แคร์โลก แต่มันก็คือความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แฟนๆจำนวนมาก แต่เมื่อเธออายุมากขึ้น การแสดงออกที่ถูกมองว่า 'ช่างสมกับความเป็นMadonna' แปรเปลี่ยนมาเป็นคำพูดเหน็บแนมว่า เธอแก่เกินไปแล้วที่จะโชว์ความแสบซ่าเหมือนเดิม

ในการให้สัมภาษณ์กับ The New York Times เมื่อนักข่าวหญิงจี้จุดเรื่องอายุมากๆเข้า Madonna จึงสวนกลับว่า


"ฉันว่าคุณหมกมุ่นกับเรื่องการแก่ตัวมากไปหน่อย ฉันว่าคุณเอาแต่คิดถึงเรื่องอายุมากไปนิด ฉันว่าคุณควรจะหยุดคิดถึงมันได้แล้ว เลิกคิด แล้วก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่ อย่าปล่อยให้สังคมครอบงำความคิดว่าอายุมากแล้วจะต้องคอยคำนึงถึงอะไร หรือควรแสดงพฤติกรรมเช่นไร"


แแม้ว่าจะถูกดักไว้ก่อน นักข่าวสื่อดังใช้เวลากลั่นกรองถ้อยคำอยู่นานเพื่อนำเสนอบทสัมภาษณ์ที่เน้นไปเรื่องความแก่ชราของศิลปินระดับตำนาน นอกจากจะพาดหัวดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านว่า 'Madonna ในวัยหกสิบ' และเนื้อหาบทความก็ไม่ทำให้เจ้าตัวพอใจแต่อย่างใด เธอปรี๊ดจัดจนประกาศโจมตีผ่าน social media ว่า เสียดายเวลาที่ให้สัมภาษณ์ และเปิดโอากาสให้นักข่าวหญิงผู้นี้เข้าถึงโลกส่วนตัว แต่กลับมุ่งให้ความสำคัญกับสิ่งฉาบฉวย และวนให้ความเห็นเรื่องอายุของเธอไม่มีสิ้นสุด สัมภาษณครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกแย่ราวกับถูกข่มขืน หากเธอเป็นศิลปินชาย สื่อไม่มีทางจะวิจารณ์เรื่องอายุเช่นนี้ และประนามNYT ว่าเป็นผู้เชิดชูชายเป็นใหญ่ระดับตัวพ่อ และลงท้ายด้วยการประกาศกร้าวว่า จะไม่มีวันหยุดต่อสู้เพื่อกำจัดลัทธิชายเป็นใหญ่ออกไปจากสังคม








Monica Bellucci  "สังขารเสื่อมลง แต่จิตวิญญาณยิ่งเติบโต"


จากบทบาทนักแสดงรับเชิญใน Call My Agent ซีรีส์ดังจากฝรั่งเศส ก็พิสูจน์อย่างแจ่มแจ้งว่า สื่อเมืองน้ำหอมเชิดชูเสน่ห์อันร้อนแรงของ Monica Bellucci มากแค่ไหน(นักเขียนบทอวยยศเธอแบบให้ทั้งใจ) จากทัศนคติของคนประเทศนี้ที่ถูกปลุกฝังให้เปิดใจยอมรับเรื่องรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงจากความแก่ ดูเหมือนว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร Monica ก็คือสาวงามตลอดกาลสำหรับแฟนๆ

ถึงกระนั้น เธอก็เคยถูก shame เรื่องอายุมาแล้ว จากปีที่แล้วที่สื่อเผยภาพที่เธอไม่ได้แต่งหน้าทำผมแบบ full options ทำให้ชาวเน็ทรัสเซียรุมถล่มว่าเธอมีรูปลักษณ์ที่หย่อนยานราวกับหญิงชราวัย 70 ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึง 60:ซะด้วยซ้ำ หรือจะเป็นสื่อออนไลน์เกาหลีและจีนที่วิจารณ์ว่า ถึงเธอจะได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามแห่งศตวรรษ แต่ก็แก่ตัวจนแฟนๆต้องช็อค

ค่านิยมที่บีบให้ผู้หญิงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อให้ดูสาวกว่าวัยเป็นสิบปีกลายมาเป็นอาวุธทิ่มแทงคนที่ไม่ได้หน้าอ่อน พวกเธอถูกกดดันให้รู้สึกย่ำแย่ที่เป็นผู้หญิงวัยห้าสิบที่รูปลักษณ์ดูเหมือนวัยห้าสิบ และมันอาจฟังเป็นเรื่องรุนแรงราวกับก่ออาชญากรรม หากคนดังที่เข้าถึงทรีทเมนท์บำรุงบำเรอความงามและการผ่าตัดทำหน้าได้อย่างง่ายดายจะเผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่น


แต่ Monica คิดเช่นไรกับเรื่องนี้?
เมื่อไม่กี่วันก่อน Monica ในวัย57 ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า


"ฉันอยากจะแก่ตัวลงอย่างสงบสุขค่ะ"

"ผุ้หญิงมากมายหลายคนสามารถเลือกได้อย่างเสรีว่าจะแก่ตัวลงในรูปแบบใด"

"ชีวิตเราก้าวสู่ช่วงเวลาในชีวิตที่หลากหลาย สำหรับคนที่ยังอายุน้อย เรามีคำพูดเปรียบเปรยในฝรั่งเศสว่า la beauté du diable ความงดงามของปีศาจร้าย มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นความงดงามแห่งวัยหนุ่มสาว เป็นความงามของที่เกิดขึ้นจากระบบชีววิทยา เมื่อใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายก็เริ่มแก่ชรา เราจึงต้องรับมือกับมัน ไม่สามารถไปต่อต้านไปเลย แต่ในขธเดียวกัน ตัวเราที่แก่ลงก็นับว่าโชคดี แสดงว่า เรามีอายุยืนยาว สังขารอาจจะเสื่อมลงตามวัย แต่จิคใจจะยิ่งเติบโต"



Helen Mirren  "เชิดหน้าแล้วก้าวต่อไป คนเรามีแค่สองเส้นทาง  ตายไวกับแก่ตัวลง"



 

หลายสิบปีที่เปล่งประกายเจิดจรัสใน Hollywood ในฐานะนักแสดงชั้นนำ Helen Mirren คือแบบอย่างของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จที่ไม่ปล่อยให้ความชราทำลายออร่าอันสดใส ทุกครั้งที่ปรากฏตัวด้วยลุคสวยพริ้งบนพรมแดง เมื่อเธอสะบัดผมสีเงินและยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ เชื่อเลยว่าจะต้องมีคนคิดว่า 'หากฉันแก่ตัวเข้าวัยคุณยาย ก็อยากจะเริ่ดได้แบบนี้'

"แม่ของฉันเคยบอกว่า อย่ากังวลเรื่องจะแก่ตัวลงไป  แม่รู้นะว่า ตอนที่ลูกอายุ 25 ก็คงจะมองคนอายุ45 ว่า ให้ตายเถอะ มีใครมั่งที่อยากจะแก่  แต่มันน่าอัศจรรย์ใจมากที่เมื่อลูกกลายมาเป็นคนวัย 45 แล้วก็เรียนรู้ว่า ที่จริงมันเจ๋งจะตายไป แล้วก็ไม่อยากกลับไปเป็นสาวอายุ25 อีกแล้ว"


"บอกเลยว่ามันตรงกับที่แม่พูดเป๊ะ   ไม่ว่าจะอยู่วัยไหน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น   คุณจะค้นพบได้เองว่า คุณไม่อยากกลับไปในวัยสาว คุณอยากจะรักษาในสิ่งที่เป็นอยู่และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา"



"ความเป็นจริงก็คือ คุณมีแต่จะตายเร็ว หรือไม่ก็แก่ตัวลง และฉันไม่เคยอยากจะตายเร็วแต่อย่างใด ฉันอยากรู้อยากเห็นในเรื่องชีวิตมากเกินจะคิดเรื่องตาย"



"การแก่ตัวที่ดูงามสมวัยนั้นดีกว่าเยอะ   ทำใจกล้าหาญยอมรับมันเถอะ"

 

"ทุกชีวิตก็มีขึ้นมีลงทั้งนั้น คุณมีแค่สองทางให้ไป เปิดใจยอมรับให้ตัวเองแก่ลง มันเป็นเรื่องแห่งธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนบนโลกก็แก่ มันเป็นส่วนหนึ่งชองวิถีชีวิตมนุษย์ก็เท่านั้น"


Helen ยืนยันว่า  ผ่านวัยเจ็ดสิบแล้ว  เธอก็ยังดูแลสุขภาพร่างกายอย่างดี  ทั้งดูแลเรื่องอาหารและออกกำลังกาย  เรื่องความงามก็ไม่เคยหย่อนยาน   แต่เมื่อเข้าวัยสูงอายุก็จะโฟกัสเรื่องสุขภาพเพื่อให้ทั้งภายนอกและภายในดูกระชุ่มกระชวย


ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน Helen ในวัย 63 ก็ได้พบกับโมเมนท์ break the internet เมื่อ paparazzi จับภาพที่เธอสวมใส่บิกินี่สีแดงด้วยความมั่นใจ ดูดีถึงขนาดนี้ ก็เล่นเอาสื่อสิ่งพิมพ์หลายเจ้าตีพิมพ์ภาพของเธอสร้างความฮือฮาไปทั่ว ทั้งๆที่เธอเคยเข้าฉากnude และเล่น love scene สุดเผ็ดมาตั้งแต่วัยสาว แต่บิกินี่แดงชุดนี้ก็แจ่มซะจนกลายมาเป็นภาพในตำนานของเธอไปเลย จนเวลาผ่านไปอีกนาน เธอจึงออกมาอธิบายที่มาของภาพอย่างไม่อ้อมค้อมว่า กำลังแขม่วหน้าท้องให้สามีถ่ายรูปเก็บไว้เชยชม ตรงกับจังหวะที่ paparazzi ถ่ายภาพไว้พอดี ซึ่งมันเป็นการซูมถ่ายระยะไกลทำให้สามีไม่รู้เนื้อรู้ตัวแม้แต่น้อยว่ากำลังถูกติดตามอยู่

"ตัวจริงของฉันไม่ได้ดูเหมือนในภาพหรอกค่ะ"     



ถึงจะถ่อมตัวขนาดนั้น แต่กระแสบิกินี่แดงก็แรงมากจนหลานชายของ Helen หว่านล้อมให้เธอตอบรับข้อเสนอมูลค่าเป็นล้านจากนักลงทุนเพื่อใช้ตัวเองประชาสัมพันธ์สร้างยอดขายชุดว่ายน้ำ แต่เธอปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะไม่ต้องการสร้าง brand ด้วยวิธีนี้"



จากคำโปรยของนิตยสาร Allure พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า เธอคือคุณหญิงผู้ยืนหนึ่งเรื่องความแซ่บ


"ถ้ามีคนปฏิบัติกับฉันเหมือนกับเป็นผู้สูงอายุ ฉันจะรู้สึกเหมือนถูกสบประมาท ฉันไม่ชอบใจเลยที่มีคนสละที่นั่งให้ ไม่เอา ฉันไม่อยากได้ที่นั่งของคุณหรอกนะ"


แม้ว่า L’Oréal จะทุ่มงบเพื่อติดต่อ Helen มาเป็น brand ambassador เธอก็แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องการใช้คำโฆษณาผลิตภัณฑ์ และ L’Oréal ก็ตอบตกลงด้วยการนำเสนอคุณสมบัติของ skincare และ makeup ที่เหมาะกับผู้หญิงรุ่นใหญ่่แทน ทุกวันนี้เธอสามารถประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ด้วยการประกาศว่า ไม่สนับสนุน anti-aging

"สำหรับการใช้คำว่า anti-aging เนี่ย เรารู้กันอยู่แล้วว่า ยังไงทุกคนก็ต้องแก่ คุณก็เพียงอยากจะดูสวยและรู้สึกดีในการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น"

ย้อนไปในวัยสี่สิบ เธอเคยมีความเชื่อว่า หากใช้เครื่องสำอางเริ่ดๆ ก็จะทำให้ดูอ่อนเยาว์ราวกับสาววัยทีนได้ แต่ก็พบว่า ตัวเองช่างไม่รู้ประสา เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ การใช้moisturizer ก็ไม่ได้หวังผลสร้างความเต่งตึง แต่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกดีๆหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์แทน







Sharon Stone: "ฉันไม่ได้อยากเป็นสาวงามอมตะ  ฉันอยากจะเป็นผู้หญิงที่อายุมากขึ้นแล้วดูสวยเริ่ดที่สุดเท่าที่จะทำได้"

 

 



"ตอนที่อายุราวๆสี่สิบ ฉันก็จิตตกจนถึงขั้นที่หิ้วขวดไวน์ไปขังตัวเองในห้องน้ำ แล้วก็บอกตัวเองว่า หากยังไม่สามารถยอมรับร่างกายของตัวเองได้ ก็จะไม่ยอมออกมา"


 "ฉันเริ่มร้องห่มร้องไห้เมื่อเห็นสังขารที่แปรเปลี่ยนไปเพราะความแก่ ที่สะท้อนมนกระจก  แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะหมดหนทางไปซะทีเดียว    คุณสามารถชะลอความเปลี่ยนแปลงนั้นได้หากตั้งสติจัดการตัวเองซะใหม่ มีวินัยในการควบคุมอาหารและออกกำลังเป็นสำคัญ"




"แนวคิดที่กำหนดว่า ความอ่อนวัยเท่านั้นที่ถูกนับว่าดูสวยงามและดึงดูดใจไม่เป็นความจริงเลย    ฉันไม่ได้อยากเป็นสาวงามอมตะ  ฉันอยากจะเป็นผู้หญิงที่อายุมากขึ้นแล้วดูสวยเริ่ดที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้"





Salma Hayek:  "ฉันเลือกที่จะหน้าไม่เด็ก แต่ขอตัวตนภายในที่ยังดูเด็กอยู่จะดีกว่า



fact ที่สามีของ Salma Hayek คือมหาเศรษฐีผู้บริหารเครือธุรกิจแฟชันสุดหรูก็อาจจะทำให้มีคนฟันธงว่า  ชีวิตเลิศเลอขนาดนี้  ไม่น่าแปลกใจที่เธอดูไม่แก่ลงไปจากเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน   มันอาจจะดูยากจะเชื่อหากจะบรรยายว่า  นี่คือผู้หญิงที่เปิดใจเรื่องสายตาที่เสื่อมถอยและภาวะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน   ด้วยความงามอ่อนเยาว์จนดูไม่ออกว่า นับจากนี้ไปอีกแค่ห้าปีเธอก็จะอายุหกสิบแล้ว    แต่เธอก็ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเมื่อก้าวสู่วัยกลางคนไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่น     ในวัยสาว ก็เคยหวาดกลัวความแก่มาโดยตลอด เพราะมักได้รับคำเตือนว่า สำหรับวงการ Hollywood  นางเอกอายุเกินสามสิบจะถูกเขี่ยตกกระป๋อง   เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องรู้สึกเหนื่อยใจที่ผู้หญิงต้องเผชิญแรงกดดันหลายทิศทาง

" มันบ้ามาก    คุณต้องพยายามทำให้ได้ดีกว่าเพื่อนร่วมงานชาย แล้วยังต้องทำตัวเป็นภรรยาและแม่ที่ดี เท่านั้นไม่พอ ยังต้องผอมเพรียวอีก  พออายุสี่สิบ ก็ถูกคาดหวังให้ดูหน้าเด็กเหมือนสาวยี่สิบ"

"มันเกินไปค่ะ  เราต้องเลิกสร้างความคาดหวังอะไรที่สาหัสแบบนี้  ปล่อยให้ตัวเองหายใจหายคอบ้าง"

 




สิ่งที่โฉมงามละติน่าวัย 54 ยึดมั่นก็คือ หากตัวตนภายในรู้สึกเหมือนสาวๆ ก็จะเปล่งประกายความอ่อนเยาว์ที่ภายนอกด้วย


"จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณดูอ่อนเยาว์ แต่ภายในไม่ได้รู้สึกอ่อนเยาว์สักนิด มันเป็นเพราะว่าคุณเอาแต่วิตกหมกมุ่นที่จะทำให้ตัวเองดูหน้าเด็กรึเปล่า?     ฉันเลือกที่จะหน้าไม่เด็ก แต่ขอมีความรู้สึกกระชุ่มกระชวยแบบสาวๆจะดีกว่า  พอตัวตนภายในของคุณรู้สึกเด็กแล้ว  รูปร่างหน้าตาภายนอกก็จะดูเด็กไปด้วยนะ"



ในอดีต คำว่า 'ภาวะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน' อาจจะฟังไมชวนอภิรมย์ใจสำหรับหลายคน เพราะมันเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้จินตนาการถึงความเหี่ยวเฉาร่วงโรย หรือภาพผู้หญิงที่หมดไฟไร้สุข แต่แท้จริงแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ผู้หญิงมากมายทั่วโลกควรค่าจะยินดี ด้วยประสบการณ์ที่หล่อหลอมตัวตนให้แข็งแกร่งจากการใช้ชีวิตข้ามเวลาหลายทศวรรษ รูปลักษณ์ที่เปลียนแปลงไปอาจจะทำให้ท้อถอยไปบ้าง แต่ในที่สุดแล้ว เมือได้เปิดใจยอมรับว่า นี่คือกระบวนการธรรมชาตินี่เกิดขึ้นกับทุกคน (หากไม่ได้เสียชีวิตไปก่อนจะแก่ดัง Helen Mirren ได้ว่าไว้) ไม่ต่างกับการก้าวจากวัยเด็กมาเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่ แต่การเฝ้าจ้องหาข้อบกพร่องของตัวเองฟังดูน่าห่อเหี่ยวใจมากกว่าร่างกายที่แก่ชราเป็นร้อยเท่า เชื่อเถอะว่า ความงามและศักยภาพของคนเรานั้น ไม่ได้จบลงที่วัยหนุ่มสาวอย่างแน่นอน


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE