แชร์ประสบการ์ลองใช้ครีมบำรุง Mool Line จาก JUNGSAEMMOOL แล้วลองใช้รองพื้นตาม ผลลัพธ์ผิว Glass Skin !

สวัสดีค่ะทุกคนนนน เนื่องจากว่าเราได้ดูวิดีโอเทคนิคการแต่งหน้าจากแบรนด์ JUNGSAEMMOOL มา วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ และสรุปเทคนิค How to ที่ได้ดูมาฝากเพื่อน ๆ ทุกคนเลยค่ะ วันนี้เราจะมาพาทุกคนมาดูเทคนิคผิว Glass Skin ด้วยครีมบำรุง Mool Line แล้วลองใช้รองพื้นกัน !

อันนี้ผลิตภัณฑ์จาก JUNGSAEMMOOL ที่เราจะมาใช้ในวันนี้ค่ะ ตัวบำรุงจะใช้เป็น Mool Cream กับตัว Water Sun Base สองตัวเท่านั้นค่ะ

ขั้นตอนแรกคือการลงสกินแคร์ที่ผิวเราจะใช้ตัวบำรุงของ JUNGSAEMMOOL Essential Mool Cream Light เอสเซนต์บำรุงผิว สูตรนี้จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำ สุขภาพดี เนื้อเค้าบางเบา ซึมเร็วเลยค่ะ และจะตามด้วยลง JUNG SAEM MOOL Skin Setting Sun Base SPF50+/PA++++ เป็นเบสเมคอัพผสมรองพื้น เนื้อเกลี่ยง่าย ไม่เหนียว ไม่มีสีค่ะ

และในส่วนของเทคนิคที่เราจะมาแชร์วันนี้ เค้าจะเรียกว่า Thin & Thick ค่ะ เป็นเทคนิคการลงสกินแคร์ เบสเมคอัพ และรองพื้นตามโซนต่าง ๆ บนผิวหน้า เพื่อให้ได้ผิวแบบ Glass Skin สุขภาพดี มีทั้งหมด 3 โซนด้วยกัน เรามาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

V ZONE

เริ่มที่โซนแรก V ZONE อยู่ในโซน Thick เป็นโซนที่ผิวค่อนข้างหนา และมีพื้นที่เยอะกว่าบริเวณอื่น ๆ เราควรเริ่มลงสกินแคร์ และเบสเมคอัพในส่วนนี้ก่อนค่ะ ส่วนนี้สามารถลงสกินแคร์ เบสเมคอัพ และรองพื้น คุชชั่นต่าง ๆ ได้เยอะกว่าส่วนอื่น ๆ เลย

STAR ZONE

โซนต่อไปในส่วนของ Thin คือ STAR ZONE เป็นโซนที่ผิวบอบบาง มีริ้วรอยง่ายกว่าโซนอื่น ๆ จึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณน้อย เพื่อไม่ให้เนื้อผลิตภัณฑ์ไปกองกันเป็นคราบค่ะ ตำแหน่งคือกึ่งกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว ใต้ตาทั้งสองข้าง และร่องข้างปีกจมูกทั้งสองข้างค่ะ

T ZONE

T ZONE ยังคงอยู่ใน Thin โซนเช่นกันค่ะ ทีโซนจะเป็นบริเวณที่มีน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าส่วนอื่น ๆ ซึ่งผิวส่วนนี้จะมันมาก หรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย ส่วนนี้ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่น้อยเช่นกันค่ะ ถ้าเราใช่ปริมาณที่มากไป อาจจะทำให้เป็นคราบค่ะ

เมื่อเราบำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์ และลงเบสเมคอัพแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือปกปิดจุดบกพร่อง และลงรองพื้นค่ะ เราใช้รองพื้น JUNGSAEMMOOL Skin Nuder Foundation สี MEDIUM และคอนซีลเลอร์ JUNGSAEMMOOL Skin Nuder Concealer สี MEDIUM เช่นกัน

ปกติเราจะใช้พัฟที่เค้ามาพร้อมกับตัวรองพื้น แต่วันนี้เราจะมาลองใช้ตัว EASY-TAP BLENDER ของ JUNGSAEMMOOL เช่นกันค่ะ เค้าเป็นฟองน้ำที่สามารถใช้ได้ถึง 4 มุมด้วยกันเลย ถ้าเราใช้แบบไม่ชุบน้ำจะทำให้ผิวเรียบเนียน แน่น ถ้าใช้แบบชุบน้ำก็จะทำให้ผิวเนียน สวยโกลว์เป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ ซึ่งวันนี้เราจะใช้แบบชุบน้ำหมาด ๆ

เราจะเริ่มจากการลงคอนซีลเลอร์ปกปิดจุดบกพร้องก่อน ไม่ว่าจะเป็นใต้ตา หรือจุดดำ รอยต่าง ๆ บนผิวหน้า อันนี้เราจะใช้ตัวพัฟจิ๋วที่เค้ามีมาให้ค่ะ

หลังจากนั้นก็เริ่มลงรองพื้น โดยใช้หลักการเดียวกันกับตอนลงสกินแคร์ได้เลย ช่วงบริเวณ V ZONE อาจจะใช้ฟองน้ำที่ยังไม่ชุบน้ำเกลี่ยรองพื้นได้นะคะ เพื่อให้รองพื้นเราติดแน่น และปกปิดได้ดี ส่วนบริเวณ STAR ZONE และ T ZONE แนะนำให้ใช้รองพื้นแบบชุบน้ำหมาด เพื่อให้ผิวดูโกลว์ เนียนเป็นธรรมชาติ และไม่หนาจนเกินไปค่ะ

หลังจากลงรองพื้นเสร็จเรียบร้อย เทคนิคต่อไปของเราก็คือ Wet & Dry สร้างงานผิวดูเป็นธรรมชาติ แต่ยังคงความติดทน โดยเราจะปล่อยบริเวณที่เป็นผิวใส ฉ่ำวาว เช่นช่วงแก้ม โดยไม่ต้องปัดแป้งเพิ่ม เพื่อให้ผิวส่วนนี้ดูสุขภาพดีแบบ Glass Skin ค่ะ ซึ่งเทคนิคนี้จะเรียกว่า Wet

ในส่วนของผิวที่มีน้ำมันส่วนเกินอย่างช่วง T ZONE เราก็จะใช้แป้ง JUNGSAEMMOOL Skin Nuder Pact ในการเซ็ตผิว ไม่ให้ดูมันวาวเกินไป และช่วยเซ็ตให้ผิวเรา Long Lasting ด้วยค่ะ

เท่านี้เราก็จะได้ผิวสวยแบบ Glass Skin ไม่มันวาวจนเกินไป ไม่เยิ้มจนเกินให้ ผิวแบบสวยธรรมชาติ ดูสุขภาพดี แถมยังติดทนนานอีกด้วย เป็นเทคนิคที่เราดูและลองนำมาใช้ได้จริงเลยค่ะ ใครที่ชอบผิวสวยธรรมชาติ ดิวอี้ Glass Skin ลองนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้ได้นะคะ

แวบไปแต่งหน้ามาแปปนึง ผิวสวยมากกกกกก สวยสุขภาพดี Glass Skin สุด ๆ จริง ๆ พวกงานผิวพวกนี้ เราต้องใส่ใจต้องแต่ขั้นตอนการลงสกินแคร์เพื่อเตรียมผิวหน้าเลยนะคะ เพื่อให้ผิวเราแต่งหน้าติดทน ชุ่มชื้น ทำให้พวกเครื่องสำอาง รองพื้นติดผิวดี ไม่หลุด ไม่แคร็กค่ะ

ถ้าเรามีเทคนิคอะไรดี ๆ จะมาบอกต่อทุกคนอีกน้าาาาา

ท้าแดดให้ดูเลยจ้า อันนี้เราไม่ได้ปัดแก้ม กับทาไฮไลท์เพิ่มเลยนะคะ อยากให้ทุกคนเห็นว่าผิวมัน Glass Skin จริง ๆ ^^

วันนี้เราขอตัวไปก่อนแล้วค่ะ บะบุยยยย xoxo