Review Contest : Japan Trip สุดท้ายก่อนโควิดบุก ทริปครบรสสสส

48 19

"3   2   1 Happy New Year 2020!!"

"เย้ ปีใหม่แล้ว!!"

.

.

เชื่อว่าทุกๆคนคงเคยวางแผนการท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ใช่นักวางแผน เน้นท่องเที่ยวตามโชคชะตา แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องแพลนเสื้อผ้าหรือเช็คสภาพอากาศกันบ้างล่ะ แต่คงจะเทียบไม่ได้กับการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงปีใหม่ของพี่สาวดิชั้น ซึ่งบอกตามตรงแล้ว ตอนแรกที่เห็นแพลนก็ตกใจเล็กน้อย เพราะคุณพี่ได้วางแผนเที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน 4 คืน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม หรือช่วงสิ้นปีซึ่งเป็นที่รู้กันว่า คนแน่นยิ่งกว่าสถานีบางซื่อ เพื่อให้ได้เคาท์ดาวน์และได้เที่ยว 3 เมืองใหญ่ในญี่ปุ่นในคราวเดียว หรืออาจะเป็น กลยุทธ์ ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวของนางละมั้ง 


แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะทริปนี้เป็น Family Trip ที่กว่าจะรวมตัวครอบครัวให้ครบได้นั้น ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรแปซิฟิกถึงแม้ว่าสุดท้ายพ่อกับน้องชายจะไม่ได้มาด้วยก็ตาม และการที่จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศแบบพาแม่ไปด้วยและไปกันเองแบบไม่พึ่งทัวร์นั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าสนุกและควรเป็นทริปที่คุ้มค่ากับการรวมตัวครั้งนี้ จึงเกิดทริป โตเกียว-เกียวโต-โอซาก้าขึ้นมา อยากให้เห็นแผนผังที่นางแพลนไว้มาก ละเอียดมากกกก มี 8 หน้า เหน่าะๆ

และลงดีเทลไฮไลท์ของแต่ละวัน (ใครอยากเห็นเม้นท์บอกได้นะคะ อาจจะแอบเอามาให้ดู) งั้นเรามาเริ่มทริปสุดอูมามินี้กันเลยยยย! 

CHAPTER 1

The BEST plan is unplanned.


เรื่องราวของวันก่อนสิ้นปี

หลังจากเราได้มาถึงญี่ปุ่นวันแรกวันที่ 30 ธันวาคมช่วงบ่าย ตกเย็นก็ไม่รอช้ารีบออกไปเที่ยวที่วัดอาซากุสะ ซึ่งเคยเป็นที่ๆเราเคยมาเที่ยวด้วยกันแล้วประมาณ 4-5 ปีก่อน แต่ครั้งนั้นเป็นการมากับทัวร์ ครั้งนี้จึงหวังให้แตกต่างออกไป เราจึงมากันในช่วงกลางคืนและนั่งรถไฟกันมาเองเลยเนื่องจากอยู่ในย่านใกล้ๆอยู่แล้ว และก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันแตกต่างจริงๆ บรรยากาศวัดอาซากุสะในตอนกลางคืนนั้น คือ การมาสำหรับไหว้พระขอพรจริงๆ เพราะแทบจะไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลย บวกกับ ร้านอาหารภายในวัดก็ไม่ค่อยมีเปิด แตกต่างจากบรรยากาศที่เคยมาในช่วงกลางวัน ที่วัดจะแน่นไปเที่ยวนักท่องเที่ยว มีทั้งคนถ่ายรูปเดี่ยว คู่ หมู่ กันเต็มไปทั่วลานวัด และของกินเยอะมากๆ มาตอนนี้ เดินชิวๆ บวกกับท้องหิวๆ 5555 

จึงตัดสินใจพากันนั่งรถไฟกลับโรงแรมพร้อมกับความเพลียเล็กๆจากการเดินทาง แต่เพียงแค่ได้ออกมาสูดอากาศของญี่ปุ่นในช่วงกลางคืนพร้อมกับได้ยินเสียงการพูดคุยในภาษาญี่ปุ่น ก็ทำให้คิดได้ว่า เรามาถึงญี่ปุ่นแล้วจริงๆ และหลับไปพร้อมความตื่นเต้นสำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง 

และแล้วเช้าของวันสิ้นปี ก็มาถึง วันนี้เราแต่งตัวกันสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะถือได้ว่าเป็น Official Day ของการท่องเที่ยววันแรกแบบเต็มๆวัน เราจึงเริ่มต้นเช้าตรู่ของวันนี้กันด้วยการแชะภาพกับถนนหน้าโรงแรม เพราะแสงแดดสวยจนอดใจไม่ไหว 

จากนั้นก็เดินทางตามแพลนที่วางไว้เพื่อไปพบกับ FUJISAN แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็มาถึง เรามาจองตั๋วรถไฟกันไม่ทันค่ะ ท่านผู้โช้มมมมม! ไม่รู้เป็นเพราะมัวโอ้เอ้กับการถ่ายรูปหรือเปล่า อิอิ แต่เพื่อภาพสวยๆ เราก็ต้องยอมมมม เราจึงไปคุยกับเจ้าหน้าที่และเค้าก็ให้ตั๋วยืนเรามานะคะ ก็คือไปแบบ refugee เบาๆ 


แต่เราก็ยังต้องรอรถไฟมาอยู่ดีและมันก็เริ่มจะสายแล้ว เลยพากันเดินหาร้านอาหารเพื่อทานอาหารกลางวัน ก็เดินร่อนเร่กันไป จนไปเจอกับร้านๆหนึ่งอยู่ข้างๆกับสถานีรถไฟ ที่แอบซ่อนร้านอาหารไว้ด้านบนนะคะ ด้านล่างเค้าจะขายพวกของฝาก อาหาร Miyazaki ตอนแรกที่เราเข้าไปเดินดูสักพักก็ออกมาเพราะคิดว่าไม่ใช่ร้านอาหารแต่เผอิญ ตาฟ้าไปเหลือบเห็นป้ายขึ้นชั้น 2 ก็เลยสงสัย และก็เจอร้านอาหารรรรร ที่บรรยากาศดีมากๆ อยู่ชั้นบนมอง เห็นวิวสถานีรถไฟด้านล่างและในที่สุด เราก็ได้ทานอาหารญี่ปุ่นจริงๆ สักที ปลาดิบของโปรดดดดดด เกือบพลาดดด เหตุการณ์นี้ทำให้คิดได้ว่าบางทีการที่ออกนอกแพลนบ้างก็ทำให้เราเจออะไรที่ดีกว่าได้นะ จากนั้นก็ไปหาฟูจิซังกันนนนได้แบบอิ่มท้อง ปล.ยืนไปหาเลยยยยย

สิ่งที่ทำให้แฮปปี้ยิ่งกว่าคือการได้เห็นฟูจิซังแบบไม่มีอะไรมาบดบังและใกล้มากๆ คราวก่อนที่มาเราทำได้แค่ส่องกล้องดูฟูจิซังจากด้านบนของโรงแรม แต่ครั้งนี้เราได้มามองด้วยตาตัวเอง โชคดีจริงๆค่ะ จึงทำให้เราได้ถ่ายภาพกันแบบจุใจอีกแล้ววว พร้อมกับการทานดังโงะชื่อดังที่ใครขึ้นมาก็ต้องหาทาน อร่อยสมคำร่ำลือ 


และแล้วพระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยตัวลง ความหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่สนุกกับการชื่นชมบรรยากาศ พอเริ่มรู้ตัวว่าต้องลงได้แล้ว ก็เคเบิลคันสุดท้าย บอกเลยว่าาาา หนาวเข้ากระดูก!! เพราะตอนนั้นไม่มีแสงแดดแล้วค่ะ ท้องฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคิวที่ยาวมากๆ ตรงหน้า จากตอนแรกที่ผ้าพันคอไม่มีความหมาย ตอนนี้อยากได้ผ้านวมซัก 5 ผืนมาพันรอบตัว ความหนาว+ความปวดขา+ความกังวลว่าจะลงไปทันรถรอบสุดท้ายเพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟมั้ย ก็ประดังประเดเข้ามา แต่สุดท้ายพอลงไปก็ทันรถคันสุดท้ายยยพอดี ด้วยความโชคดีที่ในหมู่ชาวต่างชาติที่ยืนรอรถมารับนั้นมีชาวญี่ปุ่นที่โทรไปเรียกรถมาให้ค่ะ โชคดีมากกกไม่งั้นไม่รู้ว่าต้องเสียเงินจองที่พักที่นั่นมั้ย TT 

จากนั้นก็กลับโรงแรม พักผ่อนซักพักก็เปลี่ยนชุด ออกอีกแล้วค่ะ !! เพราะวันนี้คือ วันที่ 31 และเราจะพลาดการเค้าท์ดาวน์ไปได้อย่างไร ออกสิคะ!! คราวนี้แต่งเต็มเดินออกไปจากสถานีรถไฟ โอ้โห แม่เจ้า มวลมหาประชาชน เต็มไปหมด นอกจากจะตกใจอันนี้แล้วนะ ยังตกใจอีกว่า เค้ามาทำไมกัน คือ มันมีแค่ป้ายโฆษณา กับจอมอนิเตอร์เตรียมเค้าท์ดาวน์ แค่นั้นเลยยยยยยย และคนก็เบียดกันมากๆ แทบจะขี่คอกัน สงสารแม่มากตอนนั้น เพราะแม่ฟ้าตัวเล็กมากนะคะ พออยู่ในฝูงชนแม่ก็จมไปเลย 


ความคิดแรกตอนนั้นเลยคือ กลัวคนเหยียบ!! อารมณ์เหมือนไปเที่ยวสงกรานต์ที่ข้าวสารแบบแห้งๆ หายใจไม่ออก ก็เลยพยายามเขย่งนำหน้าแม่ เพื่อให้คนหลีกก่อน จากนั้นก็นับเลข เสร็จก็เดินกลับบ้าน 55555 ไม่มีไรหวือหวากับการเค้าท์ดาวน์ครั้งนี้ เพราะเป็นปีแรกที่ญี่ปุ่นเลิกจุดพลุเพื่อเคาท์ดาวน์ อย่างเซ็ง ผิดแผนๆๆๆ แต่สิ่งที่ชอบที่สุดกลับเป็นตอนเดินกลับโรงแรมที่ทำให้เราได้เดินเม้าท์กัน เดินจูงมือกันแน่นเลย เพราะหนาว 555 เป็นการจบปี 2019 ที่ไม่เหมือนที่คิดไว้แต่ก็ไม่เคยลืม :) 


ปล.บรรยากาศเคาท์ดาวน์ ดูได้ในคลิปนะคะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะคนเยอะมากจริงๆ ><

CHAPTER 2 

Best Day Ever 


เช้าแรกของปี 2020 

เราก็เริ่มด้วยกันเดินทางย้ายเมืองไปกันที่เมืองเกียวโต เช้าม๊ากกกกกกก ง่วงมาก แต่ก็ตื่นเต้นเลยดีดมาก พอไปถึงเมือง เราก็ได้คลุกคลีกับนวัตกรรมฝากกระเป๋าอยู่ซักพัก ก็ไปต่อที่ KYOTO TOWER เพื่อ!! แปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น ด้วยการเช่ากิโมโน ซึ่งอันนี้ชอบนะ เปิดประสบการณ์มาก พี่สาวเป็นคนจองมาก่อนทางเว็บไซต์ ซึ่งความจัดเต็มก็แล้วแต่ราคาที่เราต้องการจะจ่ายนะคะ มีกิโมโน เครื่องหัว แต่งหน้า ทำผม ให้ครบ และตัวเลือกเยอะมากๆ เค้าจะแบ่งเป็นล๊อกๆ ว่าเราจ่ายราคานี้มาจะสามารถเลือกกิโมโน ล๊อกนี้ถึงล๊อกนี้ ซึ่งความสวยของลายผ้าก็จะต่างกันไป จ่ายมาแพงก็จะได้ผ้าพรีเมี่ยม เครื่องหัวพรีเมี่ยม 


แต่ที่ต้องการนำเสนอไม่ใช่ตรงนี้ มีว้าวกว่านี้ คือ ตอนใส่ค่ะ 555 เค้าจะแยกชาย หญิง ให้เข้าห้องไปแต่ภายในห้องก็คือ หญิงรวมกัน แล้วคือเค้าจะมีคนใส่ให้นะคะ เราใส่เองคงไม่รอด แต่! การจะใส่กิโมโน คุณจะต้องถอดให้เหลือน้อยชิ้นที่สุดค่ะ !! หมายถึงว่าเหลือเครื่องในไว้ (เสื้อในไม่มีโครง กกน. ฮีตเทค) ไอ้เราก็ทำตัวไม่ถูก เกือบแก้หมดซะแล้ว ตอนแรก เค้าบอก โน่วๆ เหลือไว้บ้างเถอะ เขินเล็กน้อยแต่ไม่มาก จากนั้นช่างแต่ละคนก็เข้ารวบแต่ละคน เพื่อเริ่มกรรมวิธีมัดแหนมค่ะ 555 โดยมีช่างใหญ่ที่เหมือนๆ คุณแม่ มีอายุหน่อย เป็นคนคุม จนเสร็จสิ้นกระบวนการ คือ Amazing มาก เร็วมาก และแน่นมาก 


ทำให้เราออกมาเป็นสาวญี่ปุ่นได้สำเร็จ ก็ออกเริงร่า กินข้าวกลางวันใน KyotoTower ก่อน จากนั้นก็เดินบนเกี๊ยหนีบๆไปขึ้รถไฟไปในหมู่บ้าน ระหว่างทางก็มีคนมองตลอดๆ ทั้งที่สถานีรถไฟและในรถไฟ คือ งงว่า เพราะเราสวย หรือว่าแปลก 5555 ถึงหมู่บ้านก็ถ่ายรูปรัวๆๆๆๆๆ อีกแล้วและไฮไลต์คือการนั่ง Rickshaw ที่คนลากของทางเรานั้น สามารถส่งแข่งวิ่งโอลิมปิกได้เลย เพราะดีดมาก การนั่ง Rick Shaw ก็จะมีหลายราคา ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาและเส้นทาง 


ซึ่งนอกจากลากเราแล้ว เอนเตอเทนแล้ว ก็ถ่ายรูปให้เราได้ด้วย Multitasking เก่งมากกก ความรู้สึกตอนนั่ง Rickshaw รู้สึกเกร็งมาก เหมือนเป็นนางงามตัวแทนหมู่บ้าน คือ นึกภาพว่าเรานั่งอยู่ข้างบน และรถก็ลากผ่าตรงกลางถนนเลยที่มีคนเดินแน่นๆ ก็คือต้องหลีกทางให้เรา เค้าก็จะมองหน่อยๆ พร้อมกับคงมีซุบซิบกันบ้าง เราซึ่งอยู่ด้านบนก็ต้องยิ้มรับบทนางงามไปซะงั้น คือสวยมากกกกกก ในใจก็ ขอโทษค่ะๆ ไป 55555 ทับใจจจจ รับบทนางงามเสร็จก็ถึงเวลาคืนชุดกิโมโน ตอนถอดออกคือ ขอบคุณสวรรค์มาก เหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่อยากสวยอ่ะนะ ก็ต้องทน แล้วก็รีบบบบบ ไปเอากระเป๋าจากล้อกเกอร์ ขึ้นรถไฟ ตรงดิ่งไปขึ้นรถไฟย้ายเมืองไป โอซาก้ากันค่า!! 

วันนี้มันทรหดมาก เหนื่อยมาก เพราะไม่ค่อยได้พัก กิจกรรมแน่น และตื่นเช้า พร้อมกับต้องลากกระเป๋าที่ทั้งหนักและใหญ่ ไปมา แต่ยังไม่หมดเท่านี้ พอเราไปถึง สถานีที่โอซาก้าที่ใกล้โรงแรม OMG มันใหญ่มาก แล้วก็เดินหาทางออกเพื่อไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ คือ เดินไปเดินมา ทางนั้นก็ไม่ใช่ทางนี้ก็ตัน เพราะตอนนั้นดึกแล้วและสถานีก็ไม่มีคนเลย ตอนนั้นเหนื่อยและสิ้นหวังมาก แต่สุดท้ายก็กลั้นใจมาถึงโรงแรมกันได้ พอถึงก็คือ ไม่พูดไม่จา นัดแนะตารางพรุ่งนี้ก็แยกย้ายยยยย สลายโต๋ ร่างแหลกกก zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz 


มาถึงเช้าอันสดใส วันนี้แต่งตัวแบบสบายๆ เด็กๆหน่อยเพราะเราจะไป Universal Studio ! รีบออกกันตั้งแต่ 7.30 น. แต่พอไปถึง ปรากฏว่าลืมตั๋วเข้าสวนสนุก OMG เลยต้องย้อนกลับไปเอาที่โรงแรม โอ้บร๊ะเจ้า! สุดท้ายกว่าจะได้เข้าก็สายแล้ว แต่ไม่เป็นปัญหาเพราะ Universal ชดเชยให้เราด้วยภาพข้างหน้า คือ ทุกคนมีความสุขมาก เสียงเพลง บรรยากาศ เสียงของคนที่กำลังอยู่เครื่องเล่น กลิ่นป๊อปคอร์น ฮืออออออออออออออออออออ คิดถึงวันนั้นมาก มองไปทางไหนก็มีแต่คนยิ้มแย้ม มันเหมือนอีกโลกหนึ่งเลยจริงๆนะ มันดีมาก

แล้วเราก็อยู่ในนั้นตั้งแต่สว่างยันค่ำ ได้ไปทั้งโลกเวทมนต์ ขี่ไม้กวาดกับแฮร์รี่, นั่งเรือไปดูฉลาม JAW ถึงแม้ว่าจะทำถุงมือที่รักมากเพราะมีคู่เดียวใส่ตั้งแต่ตอนทำงานเป็นแอร์หายไปข้างนึง ซึ่งมันเหลือข้างเดียวจะใส่ยังไง ก็คือทิ้งอ่ะ เดินหานานมาก แต่ก็ไม่เจอ เศร้า แต่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าทริปนี้ยังไงก็ต้องมีอะไรหาย เพราะเป็นนิสัยที่เป็นมานานตั้งแต่เด็กจนโต ก็คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่ของมีค่าอื่นๆ จากนั้นก็เข้าสู่โลกดึกดำบรรพ์พบไดโนเสาร์ ทำเอาตัวเปียกปอน แฮปปี้มากที่สุด ทานข้าวคุยกันในดินแดน Jurassic เหมือนฝันมาก และจบความสนุกด้วยการนั่งดูพาเหรดกับแม่ พอกลับไปที่โรงแรมเราก็ซื้อขนม, แอลเล็กน้อยมานั่งปาร์ตี้ คุยกันว่าวันนี้มันสุดยอดยังไงบ้าง บอกได้เลยว่า Best Day Ever จริง!

CHAPTER 3 

Traditional 


วันสุดท้ายของการอยู่ญี่ปุ่น 

               วันนี้เราเริ่มต้นกันสายๆ เพราะเมื่อคืนปาร์ตี้กันเล็กน้อย และเป็นวันเดินทางกลับเลยอยากให้แพลนหลวมๆ จึงไปเที่ยวปราสาทโอซาก้ากัน ยอมรับว่าไม่ค่อยมีอะไร ด้านบนปราสาทก็มีวิวให้ชมพร้อมกับการเล่าประวัติความสำคัญของปราสาท ถ้ามาช่วงที่ดอกบ๊วยผลิก็น่าจะเพลินตา เหมาะกับการเดินเล่น ถ้ามีเวลาสักหน่อยก็คงเพลิน ระหว่างนี้มีดราม่าเล็กน้อย คืออิชั้นกับแม่ มีการทะเลาะกัน เพราะอะไรก็มิทราบ ตอนนั้น งงมาก ๆ พอขึ้นปราสาทไปก็มีงุนงอนกัน หลังจากลงปราสาทมาก็หายเฉยเลย คาดว่าเป็นเพราะหิว 55555 แล้วก็เดินตามกลิ่นหอมๆ มาจนถึงเต๊นท์อาหารได้ลองทานเนื้ออะไรสักอย่าง คาดว่าเป็นเนื้อหมู ที่หมักมาแล้วเสียบไม้ย่างๆ โรยผงทองคำ ไม่รู้ว่าคือผงอะไร 5555 แต่เป็นเนื้อเสียบไม้ที่มันๆ หอมๆ Juicy แล้วก็ เกี๊ยวซ่าย่าง ซึ่งแถวนั้นมีหลายๆเต๊นท์มาก อาหารอร่อยในราคาย่อมเยาว์ เรียกได้ว่าหายโมโหหิวกันไปเลย มันดือมากกกก 

แล้วเนื่องจากเป็นวันสุดท้ายเราเลยเลือกนั่งแท็กซี่ไปหาของกินกันต่อที่ตลาดปลายอดฮิตของโอซาก้า แต่ก็เกิดเหตุขึ้นอีก เพราะเวลาไม่พอกับการเดินสำรวจของกินเพิ่ม บวกกับหลายๆอย่างไม่ตรงตามแผนและเราต้องรีบกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าเดินทางเพื่อไปขึ้นเครื่องกันแล้ว ก็เลยเกิดการปะทุอารมณ์ขึ้นมา มีน้ำตากันไปแบบกรุบกริบ เลยแยกทางกันกลับโรงแรมและแยกกันไปเจอกันอีกทีที่สนามบินเลย 

แต่บอกเลยจริงๆว่า ฟ้าไม่แปลกใจและมองว่ามันเป็นเหมือนประเพณีของบ้านฟ้าจริงๆ 555 คือ เคยได้ยินมั้ยคะว่า ยิ้มมากระหว่างน้ำตาร่วง 5555 คือ เวลาบ้านฟ้าไปเที่ยวด้วยกันทีไร ก็จะมีไม่คนใดก็คนหนึ่งที่จะต้องมีการดราม่าขึ้นมา เหมือนมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่งั้นมันไม่ครบกระบวน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะทะเลาะกันแรงแค่ไหนยังไงเราก็กลับมาเข้าใจกันและก็ร่วมทางผจญกันอยู่ดี 555  ถึงแม้จะระหองระแหงกันบ้าง มีทะเลาะกันบ้าง เหนื่อยบ้าง หิวบ้างแต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาด้วยกัน 


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทริปนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีและทำให้หวนกลับมานึกถึงเสมอ และทุกครั้งของการออกเดินทาง เราจะได้ข้อคิดเสมอ ทริปนี้สอนให้รู้ว่า คนเราจะรักกันมากขึ้นก็เมื่อต้องผ่านทั้งสุขและทุกข์ เมื่อเรายอมรับและให้อภัยกันได้ สุดท้ายแล้วเราก็ผ่านมันมาด้วยกันและยังกลับบ้านพร้อมกัน :) 


ปล. ฟ้าเคยท่องเที่ยวต่างประเทศไปยังหลายๆประเทศ เนื่องจากโชคดีได้รับโอกาสทำงานเป็นแอร์ของสายการบินต่างชาติแห่งหนึ่ง แต่มันแตกต่างกันมาก เวลาที่ต้องไป layover คนเดียวในต่างแดน กับ การไปเที่ยวกับครอบครัว มันดีกว่ามากๆ 


ขอบคุณพี่สาว แฟนพี่สาว และคุณแม่ที่ร่วมทริปนี้ด้วยกัน โดยเฉพาะพี่สาวที่ทำให้ทริปนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ค่ะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ สำหรับทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ มันยาวมากจริงๆ เพราะอยากจะเล่าให้ได้รายละเอียด เหมือนเราไปด้วยกันจริงๆค่ะ ^^


Megasairung

Megasairung

สวัสดีค่าาา ~~ สาวๆจีบัน ขอเป็นสาวจีบันด้วยคนนะคะ อาจจะรีวิวไม่เก่ง แต่ชอบเครื่องสำอาง, สกินแคร์ และทุกอย่างของความสวยความงามค่ะ เรียกว่าปลูกฝังมาแต่เด็กก็ได้ จะขอมารีวิวกับเค้าบ้างเมื่อมีโอกาสนะคะ 🤗

FULL PROFILE