♥REVIEW♥ ส่งท้ายเดือนแรกของปีด้วยเครื่องสำอางที่ใช้ในปี 2020 ... มาช้าแต่มาแล้วน้าา ^ _ ^

82 25

เดือนแรกของปีช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ..

เร็วจนรู้ตัวอีกทีก็มาถึงวันสุดท้ายของเดือนแล้ว ก่อนที่จะทิ้งช่วงนานจนเกินไปทางเราที่ยังไม่ได้อัพเดทสรุปเครื่องสำอางที่ใช้ในปีที่ผ่านมาจึงต้องรีบปั่นให้เพื่อนๆอ่านกันในวันนี้

ขอบอกว่าใช้เวลาในการทำรูปและเขียนเนื้อหานานมากกกก ตั้งใจมากๆ หวังว่าการรีวิวของเราจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังมองหาเมคอัพใหม่ๆมาลองใช้นะคะ


สำหรับปีที่ผ่านมาเราซื้อเครื่องสำอางน้อยลงมากๆเลย 

คงเป็นเพราะ COVID-19 ที่ทำให้เราใส่แมสก์ตลอดเวลาจนไม่ต้องแต่งหน้าก็ได้ แต่พอเขียนไปเขียนมาก็เยอะเหมือนกันนะเนี่ยย แนะนำเพื่อนๆที่ไม่อยากอ่านอะไรยาวๆก็เลื่อนไปแต่หมวดที่ตัวเองสนใจนะคะ โดยเราแบ่งหมวดทั้งหมดตาม Step การแต่งหน้าไล่ไปตั้งแต่ครีมกันแดดจนปิดท้ายที่การลิปสติกค่ะ แต่ถ้าใครชอบอ่านอะไรยาวๆก็ไล่อ่านไปทีละตัว เพลินๆไปเลยค่าา 




STEP1 : SUNSCREEN 

'The most important thing is sunscreen'

ลืมทาอะไรก็ลืมได้ แต่จะลืมทากันแดดไม่ได้ 


เดี๋ยวนี้มีกันแดดออกมาให้เลือกใช้หลากหลายมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนทากันแดดทีก็กังวลความเหนียวเหนอะเหนอะ ความวอก สำหรับเราก็ลองอะไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ
สำหรับปีนี้ก็ใช้กันแดดไปทั้งหมด 3 ชิ้น จริงๆมีอีกหนึ่งแต่ไม่ค่อยปลื้มเราจึงไม่ขอพูดถึงดีกว่าเนอะ :)

IPSA Sunshield SPF50 PA+++


กันแดดขวดแรกของปี เป็นกันแดดที่หมดแล้วก็ยังซื้อซ้ำเนื่องจากเขาเป็นครีมกันแดดเนื้อน้ำนมที่บางเบา เกลี่ยง่าย ทาแล้วสบายผิว ไม่วอกแต่ทำให้หน้าสว่างขึ้นเล็กน้อย ไม่เหม็นกลิ่นกันแดดและกลิ่นแอลกอฮอลระหว่างวัน (เคยไหมเอามือไปโดนจมูกแล้วได้กลิ่นตุๆจากกันแดด ตัวนี้ไม่เป็นเราเลยประทับใจมาก) และที่สำคัญไม่มีน้ำหอมค่ะ หายห่วง

DECORTE Sun Shelter Multi Protection SPF 50 PA++++


ครีมกันแดดหลอดที่สองของปี เหตุเกิดจากดูรีวิวของพี่แป้ง Kirari และ Mikijin ป้ายยา
ครีมกันแดดของ Decorte รุ่นที่เป็น CC Tone up ปรับสีผิว แต่พอไปเคาน์เตอร์แล้วของหมดเกลี้ยงคุณ BA เลยแนะนำตัวนี้มาว่าดีไม่แพ้กันเลย ทางเราเลยจัดมาก่อนเลย 

------


สำหรับ Decorte หลอดนี้เป็นครีมกันแดดที่แพงที่สุดที่เราเคยใช้มาเลย (1,050 บาท)
แต่จะบอกว่าใช้ไปแล้วไม่รู้สึกเสียดายเงินที่จ่ายไปเลย เราชอบที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่น กลิ่นนี้ทำให้รู้สึกว่าทาของแพงอยู่ (เออ..แพงจริงๆ ไม่เถียงนะฮะ 5555)
เนื้อเป็นแบบเจลทาแล้วเย็นๆผิวและชุ่มชื้น สำหรับคนผิวแห้งอย่างเราชอบมากๆ 

(หากใครนึกไม่ออก กันแดดหลอดนี้ฟีลเดียวกับบิโอเรหลอดฟ้าเลย แต่กลิ่นแอลกอฮอล์น้อยกว่า) และที่อเมซเรามากที่สุดก็คือ... 


เค้ากันแดดจัดๆได้จริงๆ โดยที่ผิวเราไม่ดำเลย!!


ตอนนั้นเราทากันแดดหลอดนี้ไปไหว้พระ 9 วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ทุกคนรู้ว่าแดดแถวนั้นแรงมากกกก กลับมาบ้านถอดนาฬิกาข้อมือเราเป็นรอยสายนาฬิกา แต่พอเราล้างเครื่องสำอางทั้งหมดปรากฎว่าหน้ากับคอเราไม่ดำเลย ยังใสกริ้งอยู่! ยกให้เป็น Favourite Sunscreen แห่งปีเลยค่ะ 

DECORTE SUN SHELTER TONE UP CC SPF 50 PA++++

หลอดนี้ได้มาในเวลาใกล้เคียงกับหลอดข้างบน เนื่องจากไปตามหาตัวนี้แล้วหมดจึงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วันคุณ BA ก็โทรมาตามให้กลับไปซื้อ (น่ารักมากจริงๆ ทั้งๆที่ไม่ต้องโทรตามเราก็ได้เพราะขายดีขนาดนั้น เดี๋ยวก็มีคนแว้บไปซื้อ แต่เขาเลือกที่จะโทรมาถามเราก่อน บอกเลยว่า Decorte ได้ใจเราไปเต็มๆ จะอุดหนุนเรื่อยๆเลยค่ะ ^^)


สำหรับกันแดดตัวนี้มีจุดเด่นคือสีเนื้อที่ปรับสภาพผิวของเราให้สว่างขึ้น 1 ระดับ
สำหรับใครที่สนใจเราว่าตัวนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกสีผิวน้าา ยังไงต้องไปลองเทสดูกันก่อนค่ะ
เพราะด้วยความที่เขาเป็นสีเนื้ออ่อน และทำให้ผิวสว่างขึ้นด้วยอาจเกิดความลอย วอกได้
แบรนด์เขามีสีชมพู และสีเนื้ออีกเฉดด้วย ยังไงไปลองดูกันก่อนนะ 

พูดถึง Texture ตัวนี้ต่างกับตัวด้านบนโดยสิ้นเชิง อันนี้เนื้อเขาจะเข้มข้นขึ้น ทาแล้วแมตท์ ไม่ชุ่มชื้นเท่าตัวข้างบนแต่ก็ไม่ทำให้ผิวแห้งค่ะ และสิ่งที่ทำให้กันแดดตัวนี้อเมซิ่งขึ้นมาก็คือ..

 
ปกป้องผิวจากมลภาวะ และ PM2.5 ได้!


ตอนที่ฟังรีวิวก็ไม่ได้คิดว่าจะกัน PM ได้จริงๆ จนมีอยู่วันนึงที่ค่าฝุ่นขึ้นสูงและเพื่อนที่ทำงานบ่นว่าคันหน้า แต่เราหน้าเราไม่เป็นไรเลยทั้งๆที่ผิวเราเองก็มีปฏิกริยาง่ายต่อ PM2.5 เหมือนกันกลายเป็นว่าเราคันแค่แขน ขา ข้อศอก แต่หน้ากับคอเราไม่เป็นอะไรเลย พอลองสังเกตวันอื่นๆหน้าเราก็ยังไม่คันอยู่ดี .. เราก็เลยเชื่อว่าตัวนี้กัน PM2.5 ได้จริงๆ







STEP 2 : Concealer


สเต็ปต่อมาสำหรับเราคือคอนซีลเลอร์เลยค่ะ โดยปกติแทบไม่ใช้รองพื้นเลย ที่มีอยู่ตอนนี้มี 2 ตัวแต่เราใช้ไม่บ่อยเท่าไหร่ อาจจะเก็บไว้เขียนรีวิวแยกอีกทีนะคะ เอาล่ะ..มาพูดถึงคอนซีลเลอร์กัน! สำหรับปีนี้เราใช้คอนซีลเลอร์ไปทั้งหมด 3 ตัว อีกตัวนึงไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยคือของ Tarte


HOURGLASS VANISH AIRBRUSH CONCEALER


ซื้อตามสาวๆในกรุ๊ปเครื่องสำอางแพง ค่าตัวน้องแพงจริงๆ  แต่พอได้ลองแล้วก็้ไม่ผิดหวังค่ะ
ตัวนี้เป็นคอนซีลเลอร์เนื้อน้ำๆ ค่อนข้างเหลว (เหลวกว่า Tarte ที่เราเคยใช้ก่อนหน้านี้เยอะเลย)
ด้วยความที่เป็นน้ำจึงไม่หนักผิว และเกลี่ยง่ายมากก เวลาเกลี่ยเค้าจะฟุ้งๆ เบลอผิวไปเลย


สำหรับเรา เราชอบตัวนี้ถ้าจะเอามาทาเพื่อปกปิดรอยดำและรอยแดงต่างๆจากสิว
เพราะเค้าปกปิดได้แบบฟุ้งๆเบลอๆมันเลยทำให้ผิวเนียน
แต่ถ้าเป็นเรื่องของการปกปิดแพนด้าใต้ต้า ออกตัวก่อนเลยว่าใต้ตาเรา "เข้มมาก"
เพราะฉะนั้นตัวนี้ก็เลยยังปิดไม่มิดเท่า Tarte ที่เคยใช้มาค่ะ

โดยสรุป ถ้าพูดถึงความบางเบา และฟุ้งนั้น สมชื่อ 'Airbrush' เหมาะกับปิดรอยดำรอยแดง และคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำในระดับเบาๆ

BENEFIT Boi-ing cakeless Concealer & Undereye Setting Powder

ตัวนี้ซื้อมาหลังจากที่ได้ใช้ Hourglass ไปพักใหญ่ๆ ตอนนั้น Sephora มีโปร 11.11
ทางเราเจอเซตนี้พอดีคำนวณราคาแล้วคุ้มก็เลยซื้อมา แต่...เราซื้อมาผิดสี!! อันนี้เป็นบทเรียนให้ตัวเองเลยอะว่าเวลาซื้อพวก Base Makeup พวกนี้ต้องลองให้แน่ใจและมั่นใจจริงๆว่ามันเข้ากับผิวของเราจริงๆ อันนี้เราซื้อมาแล้วปรากฎว่าน้องเขาติดสีเหลืองมากจนเกินไปทาแล้วเหลืองโดดมาเลยยย ร้องไห้ TT _ TT

ขอพูดถึงเนื้อผลิตภัณฑ์กันก่อนเลย ตัวนี้จะข้นกว่าตัว Hourglass แต่เกลี่ยง่ายเหมือนกัน
ไม่หนักผิว เวลาเซตตัวเขาจะเปลี่ยนตัวเองเป็นแป้งๆ จากนั้นตามด้วยแป้งฝุ่นที่มาด้วยกันเพื่อล็อคไม่ให้ให้เกิดการละลายหรือเป็นริ้วเส้นๆใต้ตา ปรากฎว่า.. สิ่งนี้ 'Cakeless' สมชื่อจริงๆค่ะ เป็นคอนซีลเลอร์ตัวแรกที่ใช้แล้วรู้สึกว่าเค้าไม่เป็นเส้นๆใต้ตาเลย ตอนใช้ครั้งแรกถึงกับอุทานในใจตอนส่องกระจกในห้องน้ำที่ทำงานว่า ไม่ตกร่องว่ะเฮ้ยย ของจริง ... เสียดายที่ซื้อมาผิดสีนี่แหละ ฮืออออ 


STEP 3 : POWDER


เป็นแป้งตลับที่แพงที่สุดตั้งแต่เคยใช้มาอีกแล้ว แป้งอะไร! 3,200 บาทกล้าซื้อได้ยังไง! แต่ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าแป้งตัวนี้เป็นการจ่ายเงินซื้อมาแล้วไม่รู้สึกเสียดายเลยจริงๆ หนำซ้ำจะกลับไปซื้อมาใช้อีกเนี่ยย 


ที่มาที่ไปทำไมซื้อแป้งตัวนี้มา ตอนนั้นเป็นช่วงที่บ้าสกินแคร์แบรนด์ IPSA มากๆ
แว้บไปเคาน์เตอร์เพราะจะซื้อสกินแคร์นี่แหละ แต่คุณ BA ดันให้ลองตัวนี้
จำได้เลยว่า BA บอกว่าขอลองทาบนหน้าให้ดูหน่อย ไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่มั่นใจว่าเราจะซื้อแน่ๆหลังจากที่ส่องกระจดตอนทาเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ...ได้โปรดรับเงินของฉันไป ณจุดนั้นลืมไปเลยว่าแป้งเขาราคา 3,200 


พิมพ์มาขนาดนี้แล้วเขาดียังไงเนี่ย ตัวนี้เป็นแป้งไม่ผสมรองพื้นอัดแข็ง ไม่มีสี (Translucent) และ ไม่มีน้ำหอม เวลาทาฟีลไม่เหมือนทาแป้งเลย อยู่ดีๆก็แค่หน้าเนียนๆใสๆขึ้นมาซะอย่างงั้น
ทาหลังทากันแดดก็ได้ลุคใสๆจบเลย หรือจะทาหลังจากลงรองพื้นเพื่อเซตผิวก็ได้

ดีไม่ดีก็คือใช้จน Hit pan ง่ะะ ไม่เชื่อต้องลองไปพิสูจน์กันดูนะค้าาา ^ _ ^

หลังจากที่ประทับใจไปกับกันแดดของแบรนด์ Decorte แล้วถึงคราวถอยแป้งฝุ่นมาใหม่ ตัวนี้อ่านรีวิวมาจากพี่เนตตี้ Beauty Life และมิกิจินอีกแล้ววว 

แป้งรุ่นนี้มีหลากหลายสีมากเลย ตอนไปลองก็งงๆเพราะเลือกไม่ถูก เยอะเกิ้นนน..

หลักๆก็คือเลือกให้พอดีกับผิวตัวเอง และความชอบของตัวเองว่าชอบลุคแมทท หรือชอบให้ผิวโกลว์ๆหน่อย เพราะแป้งของเค้ามีทั้งแบบแมททที่ไม่ผสมชิมเมอร์ให้ลุคนวลๆเป็นธรรมชาติ กับแบบที่ผสมชิมเมอร์เล็กๆมาด้วยทำให้ผิวโกลว์แต่ไม่เป็นดิสโก้บอล


เราใช้เบอร์ 80 Glowpink ค่ะ สีนี้จะเป็นแป้งสีชมพูและมีวิ้งๆผสมอยู่ด้วย
ความแพคเกจลวดลายดอกไม้ผู้หญิ๊งผู้หญิง เปิดออกมามีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆยังคงให้ฟีลผู้หญิ๊งผู้หญิงเช่นกัน เป็นแป้งฝุ่นที่เนื้อละเอียดม๊ากกกก ตอนทาจะฟุ้งๆนะคะระวังนิดนุง
วิ้งเขาละเอียดมากถ้าแสงปกติทาไปก็มองไม่เห็นค่ะ จะเห็นก็ต่อเมื่อเวลาอยู่ในแสงไฟเหลืองๆ
ถ้าส่องดูใกล้ๆจะเห็นเลยว่าชิมเมอร์เล่นไฟวิบวับๆ  สำหรับลุคที่ได้เราว่าต่อให้มีชิมเมอร์เล็กๆแต่เขาแมทกว่า IPSA ค่ะ ตอนทาไปครั้งแรกมีคนทักว่าทำไมวันนี้หน้าเนียนจัง ดูธรรมชาติ แต่ถ้าถามความเห็นเราเราชอบ IPSA มากกว่าค่ะ แฮ่

​STEP 4 : EYEBROW

ANASTASIA BROW PROMADE

ด้วยความที่เราเป็นลูกค้าประจำของ Anastasia เวลาเข้าไปใช้บริการหลังจากที่แวกซ์คิ้วเสร็จเรียบร้อยทางร้านก็จัดแต่งทรงคิ้วให้ด้วยผลิตภัณฑ์ของเขาเองก่อนหน้านี้ที่ใช้แบบ Powder อยู่เลยเปลี่ยนมาใช้แบบเจลบ้าง เพราะเริ่มเบื่อแบบ Powder ที่ใช้มาน๊านนานไม่หมดซักที
เขาเป็นที่เขียนคิ้วเนื้อเจล เวลาแตะเบามือนิดนึง เพราะให้สีชัดมากกกก
แต่ถามว่าถ้าเผลอหนักมือไปแก้ยากมั้ย? สำหรับเราที่เคยพลาดมาแล้ว บอกเลยว่าไม่ยากเพราะ สามารถเบลนๆออกได้ เราใช้สี Ash brown ให้สีที่ใกล้เคียงกับสีขนจริงๆ
เวลาทาแล้วให้ฟีลว่าคิ้วหนาๆ ฟูๆเป็นธรรมชาติดีค่ะ



แอบแนบรูปให้ดูว่าการใช้ที่เขียนคิ้วแบบเจลไม่ได้ให้ลุคคม เฉี่ยวเสมอไปเพราะสามารถทำให้คิ้วฟุ้งๆเป็นธรรมชาติได้เช่นกันค่าา ^^

Laneige Eyebrow Cushion-cara

เป็นที่เขียนคิ้วที่หมดแล้วซื้อซ้ำมากที่สุด ตลับนี้ตลับที่ 3 แล้วค่ะ
ถ้าถามว่าติดใจอะไรทำไมถึงซื้อซ้ำอันดับแรกคือสีที่ธรรมชาติเข้ากับสีผมดำๆของเรามาก
เนื้อสีเขาจะไม่ติดสีน้ำตาลจนดูโดดเกินสีผม แต่ก็ไม่ได้ดำสนิทขนาดนั้นแต่มีความเทาๆ
และเนื่องจากใน 1 ตลับมีทั้งสองสีทำให้เราสามารถไล่คิ้วให้มีมิติได้ง่ายกว่าการที่มีสีเดียวแล้วต้องมาคอนโทรลน้ำหนักมือเอง สำหรับเนื้อผลิตภัณฑ์จะเหลวๆเป็นน้ำสไตล์คุชชั่น+แปรงที่ให้มาทำให้เขียนเส้นๆได้ง่ายมาก แต่ถ้าไม่ชอบคมๆให้ใช้ด้านที่เป็นแปรงมาปัดๆก็จะฟุ้งเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ANASTASIA BROW POWDER DUO

ที่เขียนคิ้วแบบฝุ่นใช้มาต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 2019 จน 2021 ก็ยังใช้ไม่หมดจนขอหยิบมาพูดถึงซ้ำกันอีกครั้ง

เป็นตัวที่เคยรีวิวไปเมื่อนานมาแล้ว ถ้าใครถามหาที่เขียนคิ้วแบบฝุ่นที่ราคาไม่แพงจนเกินไปเราแนะนำตัวนี้เลย! เป็นที่เขียนคิ้วแบบฝุ่นที่เขียนง่าย ไม่จับตัวเป็นก้อน ให้สีชัดและติดทน (หางคิ้วไม่หลุด) ชอบที่มีสองสีในหนึ่งตลับทำให้ไล่สีคิ้วได้อย่างมีมิติ และที่สำคัญคือใช้ได้นานม๊ากกก ใช้ยังไงก็ไม่มีวี่แวว่าจะ Hit pan ซักที คุ้ม!

STEP 5 : EYE LINER 

'เสกตาให้คม กลมโตสวยด้วยอายไลเนอร์'

สำหรับอายไลเนอร์จะใช้แต่แบรนด์เดิมๆที่คุ้นเคยและมั่นใจว่าใช้แล้วติดทนทั้งวัน ไม่แพนด้า หลักๆเลยมีอยู่แค่ 2 แบรนด์นี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้จะมี Majorica อีกแบรนด์แต่ทว่าน้องได้เก็บกระเป๋าบินกลับญี่ปุ่นไปแล้ว ; _ ;


  • Twelve O' Clock แท่งนี้เป็นอายไลเนอร์ของพี่ตู่ ปิยะวดี นี่ใช้มาประมาณ 6 แท่งแล้วค่ะ ลองย้อนรีวิวกับฮาวทูเก่าๆของเราก็จะเห็นแท่งนี้อยู่ตลอด ^^ ที่ชอบเพราะว่าเป็นอายไลเนอร์สีดำสนิท (สีดำๆทำให้ตาของเราดูคมชัดขึ้นมาก จากเดิมที่ตาลอยๆเหมือนน้องง่วงนอนตลอดเวลา ได้ไลเนอร์แท่งนี้เข้าไป ตาตื่นและมีพลังขึ้นมาเลย) และในส่วนของปลายพู่กันเรียวแหลมทำให้เขียนเส้นได้คมกริบ ที่ชอบมากๆคือติดทนและไม่ไหลมากองที่ใต้ตาค่ะ..แต่หลังจากที่ใช้หมดแล้วซื้อใหม่อยู่หลายรอบรู้สึกว่าลอตหลังๆตัวพู่กันแอบแห้งเร็วและเริ่มไม่คมเร็วเกินไป หมดแท่งนี้เลยคิดอาจจะแอบนอกใจไปลองของ IPSA ที่ออกใหม่ดูค่ะ

  • KISS ME Heroine Make  แท่งนี้เชื่อว่าสาวๆคุ้นชื่อแน่นอน เพราะเป็นแบรนด์ที่ฮิตมากๆทั้งในห้องแป้ง และจีบันเลย เราก็ใช้หมดซื้อซ้ำมาหลายแท่งแล้วค่ะ แท่งนี้พิเศษตรงที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม เวลาเขียนแล้วทำให้ตาเราดูกลมโตสวย แต่หวานๆมากกว่าคมชัดค่ะ เหมาะกับคนที่ชอบให้ดวงตากลมโตขึ้น แต่ไม่อยากให้คมจนดุค่ะ แต่สำหรับเราที่ตาลอยๆง่วงๆน้านน..สีดำเท่านั้นค่ะ อ้อ ส่วนเรื่องความติดทน และไม่แพนด้าเต็ม 10 ไม่หักเหมือนกันค่ะ

พูดถึงเรื่องการล้างออกบ้างสำหรับทั้งสองตัวนี้ล้างออกง่ายด้วยการใช้คลีนซิ่งออยล์ หรืออาย รีมูฟเวอร์ค่ะ จริงๆใช้แค่คลีนซิ่งวอเทอร์ก็ออกอะพูดเลยย ดีอะไรแบบนี้

STEP6 : MASCARA

'ขนตางอนเด้ง ตาหวานจนน้ำตาลยังต้องเรียกพี่'


คอนเซปท์การเลือกใช้มาสคาร่าของเราจะคล้ายกับอายไลเนอร์คือใช้อยู่แค่ไม่กี่แบรนด์ ต้องมั่นใจจริงๆว่าใช้แล้วขนตางอนเด้ง ไม่ไหลมากองที่ใต้ตา

  • KISS ME HEROINE MAKE เมื่อมีอายไลเนอร์สีน้ำตาลแล้ว ก็ต้องมีมาสคาร่าสีน้ำตาล ตอนนั้นซื้อมาพร้อมกันเพราะอยากรู้ว่าเวลาขนตาสีน้ำตาลและอายไลเนอร์สีน้ำตาลแล้วลุคจะออกมาเป็นยังไงน้าา สำหรับมาสคาร่ารุ่นนี้เป็นรุ่น Long & Volume เวลาปัดแล้วให้ขนตายาวม๊ากกก ไม่แพ้รุ่นสีดำเลย แต่ด้วยความที่เป็นสีน้ำตาลเวลาปัดจะดูซอฟท์ๆตาหวานกว่าสีดำค่ะ ความติดทนงอนเด้ง ไม่แพนด้าเราให้คะแนนเต็ม! แต่ใครสนใจต้องบอกไว้ก่อนว่าเขาล้างยากนิดนึงนะคะ ต้องใช้อายรีมูฟเวอร์เท่านั้นถึงจะออก ต้องให้เวลาในการล้างเค้าหน่อย

  • CANMAKE รู้จักกับตัวนี้เพราะรีวิวในทวิตเตอร์เลยค่ะ ไม่คิดว่าอายไลเนอร์ถูกและดีจะมีอยู่จริง ตัวนี้ราคาไม่แพงเลยแค่ประมาณ 2 ร้อยนิดๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ตรงกันข้ามค่ะ
    แปรงของเขาจะเป็นหวีทำให้เรียงและจับขนตาให้เป็นช่อๆได้ สีดำสนิททำให้ดวงตาดูคมโตยิ่งขึ้นไปอีก ในส่วนของความติดทน และไม่แพนด้าเราไม่หักเลย สำหรับการล้างออก CANMAKE ล้างออกง่ายกว่า KISS MEค่ะ

สรุป สองแบรนด์นี้สูสีกันมาก แล้วแต่กำลังทรัพย์ในช่วงนั้นเลยละกันเนอะ มีเยอะก็ KISS ME เซฟหน่อยก็ CANMAKE ค่ะ

STEP 7 : Brush on 

ตัวช่วยที่ทำให้ใบหน้าสดใส ไม่ซีดเซียวก็คือการใช้บรัชออนนั่นเอง เพราะสีชมพูๆจะทำให้ผิวดูมีเลือดฝาดสุขภาพดี เป็นไอเท็มที่เราขาดไม่ได้เลย ยังไงก็ต้องปัดก่อนออกจากบ้านทุกวัน

สำหรับปี 2020 ได้ซื้อบรัชออนมาเพียง 1 ชิ้นเท่านั้น ส่วนอีกสองชิ้นที่เหลือเป็นของปีที่ผ่านๆมาค่ะ

เป็นบรัชออนรุ่นที่อยากได้มานานม๊ากกก เคยถึงขนาดไปเดินวนๆเคาน์เตอร์ Sephora แต่ก็ตัดใจไม่ซื้อมาเพราะแอบคิดว่าค่าตัวน้องแพงจัง .. จนกระทั่งเมื่อช่วงเดือนมกราคมปีที่แล้ว เขาออกสี Limited Edtion มาพร้อมกับเหล่า Lip Glow Oil ตอนนั้นอดใจไม่ไหวแล้วก็เลยยอม (ถือว่าเป็นรางวัลชีวิต) แล้วก็ไม่ผิดหวัง (อีกแล้ววว..)


สี 003 Pearl เป็นสี Limited Edition ที่เรียกได้ว่าของหมดไวมากกก จนขาดตลาดและหาซื้อไม่ได้อีกเลย ดีที่ตอนนั้นรีบซื้อเลย สี Pearl จะมีความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆตรงที่มีกลิตเตอร์หลากหลายสีทั้งสีทอง สีเงิน สีน้ำเงิน รวมอยู่ในตลับเดียวกัน ส่วนรุ่นอื่นๆจะไม่มีกลิตเตอร์ค่ะ ตัวบรัชจะเป็นสีชมพูอ่อน เห็นอ่อนๆแบบนี้แต่ปัดแล้วติดสีชัดเจนนะคะ สีจะค่อยๆเข้มขึ้นตามอุณหภูมิผิวของเรา วิ้งก็ติดทนทั้งวันด้วยล่ะ ให้ตลับนี้เป็น Favorite of 2020 ของเราเลยค่าา 

สำหรับชิ้นนี้ใช้มานานแล้วค่ะ จริงๆก็ใกล้ถึงเวลาปลดประจำการแล้ว
แต่ตัดใจไม่ลงจริงๆ เสียดายมากๆที่แบรนด์นี้ปิดเคาน์เตอร์กลับญี่ปุ่นไปแล้ว
ชอบทุกอย่างที่เป็น Jill Stuart เลย บรัชรุ่นนี้ออกแบบมาได้น่ารักมากที่สุดเลย

คอนเซปท์คือดอกหญ้าเบาๆพริ้วๆตามลม เริ่มจากแปรงรูปทรงเหมือนดอกหญ้า ขนก็นุ่มๆ
Texture ของผลิตภัณฑ์ก็ฟุ้งๆเบา ค่อยๆใช้แปรงแตะบนผิวสีจะค่อยๆระเรื่อๆขึ้นมาตามอุณหภูมิผิวเรา สี 05 จะเป็นสีชมพูออกม่วงๆแต่พออยู่บนผิวแล้วเป็นธรรมชาติ นวลๆ ไม่วิ้ง เหมือนมีเลือดฝาด ติดทนทั้งวัน สำหรับเรารู้สึกว่าสีนี้เป็น Personal Color ของเราเลย

เป็นบรัชออนลูกรักอีกชิ้นจากแบรนด์ Jill Stuart  ซื้อมาช่วงใกล้เคียงกัน

รุ่นนี้เป็นรุ่นฮิตของทางแบรนด์เลย มีความแตกต่างจากรุ่น Loose brush ตรงที่มีทั้งหมด 4 สีรวมอยู่ในหนึ่งตลับและเนื้อผลิตภัณฑ์จะมีชิมเมอร์ผสมอยู่ด้วย เวลาปัดเลยจะได้ลุคโกลว์ๆวาวๆหน่อยค่ะ แต่ที่เหมือนกันคือติดสีชัดเจนและติดทนทั้งวัน เวลาไปออกกำลังกายเหงื่อออกกลับมายังมีสีติดให้เห็นอยู่เลย อ้อ..จริงๆรุ่นนี้เขามีแปรงพกพาคล้องติดกับตัวตลับมาให้ด้วยนะแต่เราแกะออกไปซักเลยไม่ได้อยู่ในรูปด้วยเลย

พิมพ์ไปก็คิดถึงจัง ถ้าเคาน์เตอร์ยังอยู่คงได้ไปถอยตลับใหม่ออกมาแล้ว

STEP 8 : HILIGHT & SHADING

'เสกใบหน้าให้คมชัดและดูมีมิติ'

เป็นอีกหนึ่งไอเท็มสำหรับการแต่งหน้าที่ขาดไม่ได้เหมือนกันค่ะ วันไหนที่ไม่ได้ใช้ไฮไลท์วันนั้นจะรู้สึกว่าหน้าแบนๆดูไม่พุ่ง ไม่ค่อยมีมีติเท่าไหร่

ตลับนี้บอกเลยว่าใช้คุ้ม ใช้มานานมากกก นอกจากจะยังใช้ไม่หมดแล้วยังไม่หมดอายุด้วยค่ะ
อยู่ได้ 30 เดือนเลย เคยเขียนรีวิวตัวนี้ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน บอกตรงนี้สั้นๆว่าควรลองค่ะ
ตัวไฮไลท์ฉ่ำวาวมงลง เหมือนมีแสงเทียนมาจ่อหน้า ส่วนเฉดดิ้งจะเบาๆ ไม่โวยวาย
(ตามอ่่านแบบละเอียดได้ที่นี่นะก๊ะ https://www.jeban.com/topic/260437)

หลังจากที่ใช้ป้าชาร์ลอตยังไง๊ ยังไงก็ไม่หมดซักทีเลยแอบนอกใจป้ามาลองตัวอื่นๆดูบ้าง ซื้อตัวนี้มาเพราะเห็นกันมานานว่าเขาคือไฮไลท์ในตำนาน ไม่ลองได้ยังไงไหว ครั้งนึงควรได้ลองอะไรที่เป็นตำนาน ชอบชื่อผลิตภัณฑ์มากกก 'High Beam' สว่างวาบแตะตาเหมือนไฟหน้ารถยนต์กันเลยทีเดียว พอได้ใช้แล้วก็ชอบ สมแล้วแหละที่เป็นผู้มาก่อนกาล สำหรับตัวนี้จะเป็นเนื้อครีม ค่อยๆแตะไปไม่เป็นปื้นเลย วิ้งๆจะเยอะและใหญ่กว่าของป้า แต่..มหัศจรรย์ตรงที่จะเห็นวิ้งแค่ตอนที่โดนแสงแดดเท่านั้น แสงปกติจะเห็นแค่ว่าหน้าเงาๆเบาๆ เวลาถ่ายรูปจะเล่นกล้องได้ดี สมกับชื่อไฟหน้าจริงๆ 5555

STEP 9 : LIPSTICK &TINT

จากที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้แล้วว่าตอนซื้อบรัชออน Dior Rosy glow ซือมาพร้อมกับ Lip Oil ด้วย บอกเลยว่าพอซื้อมาก็ใช้ทุกวันพอๆกับบรัชออนเลย จากในรูปจะเห็นว่าเหลือแค่นิดเดียว ใกล้หมดแล้ววว 


ลิปออยล์ตัวนี้มีกลิ่นมิ้นท์สไตล์ DIOR (กลิ่นเดียวกับ Lip Tattoo) ตอนแรกที่ทาจะยังไม่ค่อยออกสีชัดเท่าไหร่แต่พอผ่านไปซักพักสีจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของผิวเรา ตัวนี้ไม่เหนียวเท่าของ Clarins ส่วนตัวใช้ทาทับ Tint (ทาเดี่ยวๆสีนี้เราว่าอ่อนเกินไป) และใช้ทาก่อนนอนเพราะทำให้ปากชุ่มชื้นดีค่ะ สำหรับความติดทนเป็นลิปออยล์ที่ทนใช้ได้เลยค่ะ เวลาดื่มน้ำ หรือกินอะไรเบาๆความเงาหลุดไป แต่สีระเรื่อๆกับความชุ่มชื้นยังคงอยู่ค่ะ

ลิป YSL แท่งนี้เป็นแท่งสุดท้ายของปี 2020 ซึ่งซื้อมาตั้งแต่สิงหาคมนู่นน เห็นมั้ยว่าปีนี้ซื้อเครื่องสำอางน้อยจริงๆ แต่ตอนนั้นจำได้ว่าวอแวกับลิปตัวนี้ถึงขนาดทักแชท M chat&shop ของพารากอนเพื่อเช็คของว่าสีนี้ยังมีอยู่มั้ย สำหรับสี 216 นี้ให้สีธรรมชาติออกไปทางโทนส้มๆค่ะ เนื้อของลิปเป็นเนื้อกำมะหยี่เนื้อนุ่ม ทาง่ายมาก เวลาเราทาเราจะทาจากกึ่งกลางริมฝีปากแล้วใช้นิ้วค่อยๆเกลี่ย เนื้อลิปกระจายตัวได้ดีเลยได้ลุคฟุ้งๆสไตล์เกาหลีค่ะ พูดถึงความติดทนตัวนี้ไม่ทนค่าา กินข้าว กินน้ำหลุดหมดต้องขยันเติมค่ะ แต่ดีที่ไม่ติดแมสก์จนเลอะเทอะค่ะ เหมาะกับการทาใน่ช่วงที่ต้องใส่แมสก์แบบนี้ (เคยใช้แบรนด์อื่น รุ่นครีมมี่ๆหน่อยเปิดแมสก์ออกมา เละเทะค่าา)

เก็บตกกันซักนิด จริงๆ Tint ตัวนี้ใช้มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 แล้ว
แต่ว่าเพิ่งจะมาใกล้หมดในช่วง 2020 เลยขอพูดในกระทู้นี้เลยทีเดียวละกันน้าา

Tint ของ Clarins เป็น Tint ที่เราเลิฟมากที่สุดตั้งแค่ใช้ Tint มาเลย
เพราะ 1. เวลาทาแลวสีติดบนริมฝีปากได้ดีมาก เมื่อก่อนเวลาทาแบรนด์อื่นทีไรสีมักจะมาติดที่นิ้วมือมากกว่าปาก กานร้องไห้แน้ววว ; _ ;
2. เป็น Tint ที่ทาแล้วไม่ทำให้ปากแห้งลอก และ 3.ติดทนนนน 4.กลิ่นหอมม๊ากกก เหมือนขนมผลไม้ที่เคยกินตอนเด็กๆ
ก่อนหน้านี้ใช้สี Red Water ไปจนหมดเกลี้ยงแท่งนี้คือแท่งที่ 2 ของ Clarins สีนี้คือสี Violet Water ทาแล้วจะออกแดงๆม่วงๆ เหมาะกับสีผิวของเราค่ะ ตอนนี้ใช้จะหมดอีกแล้ว
คาดว่าจะซื้อมาใช้อีกเรื่อยๆแบบไม่เปลี่ยนใจเธอคนเดียว .. Clarins <3

ปิดท้ายด้วย Lip Comfort Oil จากทาง Clarins ค่ะ รุ่นนี้เป็นรุ่น Limited Edition 

ลิปออยล์ กลิ่นหอมขนม ให้ความชุ่มชื้นได้ดี (แต่เหนียวน้าา) ความกิ๊บเก๋อยู่ที่ลิปเค้าเป็นสีดำแต่พอทาแล้วไม่ดำนะ เค้าจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงๆม่วงๆก่ำๆ สีค่อนข้างใกล้เคียงกับ Violet Water ด้านบน แต่พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆแล้วน้องเค้าเปลี่ยนสีเป็นแบบในรูปค่ะ ฮืออ...ต้องเตรียมปลดประจำการแล้วแหละ

Swatch ให้ดูกันซักนิดค่าาา ^^
ทุกชิ้นจะไม่มีกลิตเตอร์เลย ยกเว้น Clarins Lip Comfort Oil ที่จะมีวิ้งๆสีทอง
แต่มองไกลๆก็ไม่เห็นค่าา ภาพรวมคือมีแต่ลิปสีธรรมชาติๆทาได้ทุกวันทั้งน้านน

จบเรียบร้อยแล้วสำหรับเครื่องสำอางที่เราใช้ทั้งหมดในปี 2020 ที่ผ่านมา มีทั้งตัวที่ใช้มานานต้องปลดประจำการแล้ว และตัวที่ใช้ใกล้หมดต้องซื้อใหม่ในเร็วๆนี้ จากการรีวิวเราก็ได้ทบทวนตัวเองเหมือนกันแฮะว่าเป็นปีที่ซื้อของน้อยลงจริง แต่มูลค่าของแค่ละชิ้นแพงขึ้น แต่ใช้ของชิ้นนั้นได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ ไม่ทิ้งๆขว้างๆเหมือนที่ผ่านมา ถือเป็นการเรียนรู้สไตล์การเลือกซื้อเครื่องสำอางของตัวเองไปในตัว แล้วสไตล์การซื้อเครื่องสำอางของเพื่อนๆในปีที่ผ่านมาและแพลนในปีนี้เป็นยังไงกันบ้างน้าา? .. สำหรับเราในปี 2021 นี้ตั้งใจว่าจะซื้อของให้น้อยชิ้นลงเหมือนเดิมแบบว่า Step นึงก็มีแค่ชิ้นเดียวพอแล้วใช้ไปให้หมดค่อยซื้อใหม่แต่ของเหล่านั้นเราจะต้องแน่ใจแล้วว่าดีจริงๆถึงจะซื้อมา มารอดูกันว่าเราจะทำได้ตามที่คิดไว้รึเปล่า ถ้าทำได้เราก็จะมีคอนเทนต์มาให้ทุกคนได้อ่านกันนน เย้! > _ <  
บ๊ายบายเดือนมกราคม แล้วพบกันใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์นะค้าาา


KanKan

KanKan

28 years old girl who is still passionate with make up and skincare <3
หมดยุคสวยคนเดียวแบบเงียบๆแล้ว..เพราะยุคนี้เราจะต้องสวยไปด้วยกันนะคะ

FULL PROFILE