การดูแลความงามสไตล์จีนโบราณ

51 12

ชนชาติจีนมีศาสตร์แห่งความงามที่เลื่องลือไปยังหลายดินแดนตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน  แน่นอนว่าพวกเค้าย่อมให้ความสำคัญกับความงามของอิสตรีอย่างยิ่งยวด วิถีชีวิตของผู้คนในยุคโบราณเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้หญิงทุ่มเทให้กับการบำรุงรักษาความงามจากหัวจรดเท้า



  ขั้นตอนเพื่อความงามที่เข้มงวดพิถีพิถันไม่ต่างจากพิธีกรรมจะมีอะไรบ้างนั้น  มาติดตามกันเลยค่ะ


คุณเคยได้ยินการพรรณาความงดงามของสตรีในนิยายจีนโบราณบ้างรึเปล่าคะ ?

ใบหน้าเล็กกว่าฝ่ามือ

คิ้วเส้นเล็กตีโค้งวงเดือน

ดวงตากระจ่างใสมีน้ำคลอตลอดเวลาราวกับจะคั้นออกมาได้

ริมฝีปากแดงเล็กบางเหมือนผลอิงเถา (เชอร์รี่)

ผิวขาวเนียนละเอียดดุจหิมะแรก

ผมดำสนิทยาวทอดตัวเงางามราวกับน้ำหมึก


ค่านิยมความงามเหล่านี้ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน  แม้บางสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง   ทั้งอารยธรรมที่ทรงอิทธิพลแผ่ขยายไปยังดินแดนต่างๆ   ทั้งความเชื่อ ศาสนา แนวคิดทางการเมือง  ศิลปะ ไปจนถึงค่านิยมความงามของผู้หญิง  ทุกวันนี้ บางประเทศก็ยังยึดมั่นใน beauty standard ที่เหมือนกับชนชาติจีนโบราณไม่มีผิด
ผศ.ถาวร สิกขโกศล   ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนวิทยาชื่อดังได้ถอดฉายาสี่ยอดพธูแห่งประวัติศาสตร์จีนโบราณเป็นบทกลอนไว้ว่า

ไซซี               มัจฉาจมวารี
หวังเจาจวิน   ปักษีตกนภา
เตียวเสี้ยน   จันทร์หลบโฉมสุดา
หยางกุ้ยเฟย   มวลผกาละอายนาง


พวกเธอได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นหญิงงามล่มบ้านล่มเมือง งามซะจนแผ่นดินสะเทือน สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจได้ ถ้าให้จินตนาการถึงความงามของสตรีทั้งสี่ พวกเราก็คงจะนึกถีงสาวสวยหน้าเล็กที่ผิวขาวราวกับจะส่องทะลุได้ ไม่ฉีกแนวออกจาก beauty standard ตามคำพรรณาในนิยายจีนโบราณ





  การอาบน้ำไม่ได้มีเพื่อชำระล้างความสกปรกจากร่างกายเท่านั้น

สื่อตะวันตกเจ้าหนึ่งได้เผยแพร่แบบสำรวจที่ระบุว่า ชาวจีนไม่นิยมการอาบน้ำซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ แต่ได้มีชาวจีนได้ตอบโต้ว่า ชาวจีน มีวัฒนธรรมการทำความสะอาดร่างกายที่สั่งสมมาเป็นพันๆปี โดยเฉพาะยุคโบราณที่การชำระล้างร่างกายไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความสะอาดเท่านั้น แต่เป็นพิธีกรรมที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อสอดคล้องกับลัทธิความเชื่อ ข้อปฏิบัติต่างๆในการอาบน้ำจะแตกต่างกันไปตามรัชสมัย หลายคนเชื่อว่า เมื่อเปรียบเทียบกับดินแดนอื่นๆในช่วงเวลาเดียวกัน ชนชาติจีนโบราณไม่ได้มีนิสัยสกปรกแต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบการข้อมูลจากประวัติศาสตร์ยุโรป ที่แม้แต่กษัตริย์หรือราชินีผู้ปกครองบางประเทศก็มีชื่อเสียงเสียหายจากกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ( Queen Elizabeth ที่ 1 สร้างเสียงกล่าวขานด้วยรูทีนการอาบน้ำเดือนละครั้ง และยังมีกลิ่นปากแรง แม้จะกระหน่ำน้ำหอมเพื่อปิดบังกลิ่น แต่ก็กลายเป็นหัวข้อนินทาสร้างความขบขันจากผู้น้อย)



คุณน่าจะได้พบกับซีนอาบน้ำในหนังพีเรียดจีนมาก่อนแล้ว แม้จะดูเหมือนว่าชาวจีนจะเพลิดเพลินกับการอาบน้ำร้อนในอ่างไม้ ( บ่าวไพร่ยังต้องบริการเสิร์ฟชาและของว่างให้กับผู้มีอันจะกินระหว่างอาบน้ำ) แต่รูทีนการอาบน้ำของคนยุคโบราณแตกต่างกับสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ผู้คนไม่ได้นิยมอาบน้ำทุกวัน ด้วยข้อจำกัดทางวิถีความเป็นอยู่ รวมไปถึงความเชื่อที่ทำให้หลายคนคิดว่าการอาบน้ำบ่อยเกินไปอาจจะนำมาซึ่งความเจ็บป่วย ซึ่งแบบแผนการอาบน้ำของชาวจีนจะแตกต่างไปไปตามรัชสมัยที่มาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ราชวงศ์โจว - กำหนดให้อาบน้ำทุกห้าวัน สระผมทุกสามวัน

ราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ฉิน - กำหนดให้มีมีวันหยุดเพื่ออาบน้ำทุกห้าวัน

ราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง - ยืดเวลาพักหยุดอาบน้ำออกไปเป็นทุกสิบวัน



ไม่น่าแปลกใจที่นักประพันธ์จีนบางคนได้บรรยายความรักสะอาดของตัวละครไว้ว่า มีนิสัยที่ต้องแช่น้ำอาบทุกวัน ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้ แม้ในประเทศในแถบหนาวก็ยังมีคนอาบน้ำวันละสองครั้งและล้างมือวันละหลายๆครั้งเป็นเรื่องปกติ โดยที่ไม่ถือว่าเป็นการหมกมุ่นในความสะอาดเกินเหตุ แต่หากเป็นยุคโบราณ การอาบน้ำทุกวันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญแต่อย่างใด



เคยมีเสียงยืนยันแล้วว่า ภาพของหญิงสาวอาบน้ำแร่ในอ่างที่โปรยปรายไปด้วยกลีบดอกไม้ในซีรีส์จีนนั้นคือการขายด้านที่สวยงามของ lifestyleคนโบราณ เพราะไม่ต่างจากในสังคมยุโรปในอดีต   เรื่องสุขอนามัยและการบำรุงบำเรอความงามนั้นเป็นอภิสิทธิ์ของผู้มีอันจะกิน ส่วนชนชั้นแรงงานที่ต้องหาเลี้ยงปากท้องจากเช้าจรดค่ำนั้น จะหาเงินมาซื้ออาหารยังยากเย็น การรักษาสุขลักษณะพื้นฐานอย่างการอาบน้ำนั้นจะต้องใช้แรงหาบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ตั้งไฟต้มน้ำจากฟืนที่ต้องซื้อมา และต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆที่เตรียมไว้ล่วงหน้า  สำหรับชาวบ้านที่ยากจน เวลาพักผ่อนยังไม่เพียงพอ  การอาบน้ำถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำได้นานๆครั้งเท่านั้น

หากเป็นผู้ชายก็อาจจะมีตัวเลือกมากกว่า เพราะสามารถล้างเนื้อล้างตัวที่ริมแม่น้ำลำธารได้ แต่สำหรับผู้หญิง ความเชื่อโบราณได้บีบให้พวกเธอต้องรักษาเกียรติของครอบครัวและสามีด้วยการวางตัวให้ผุดผ่องปราศจากข้อครหา ไม่สามารถเปิดเผยเรือนร่างใต้ร่มผ้าให้คนอื่นเห็น ต้องรอจนกว่าจะรู้สึกสกปรกจนทนไม่ได้จริงๆ จึงจะอาบน้ำ ในระหว่างนั้นก็อาจจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวไม่ให้มีคราบสกปรกหมักหมมเกินควร แต่ก็คงไม่สะอาเอี่ยมดุจการอาบน้ำไปได้


แต่สำหรับสตรีที่อยู่ในสกุลที่มีฐานะดีพอ การอาบน้ำคือพื้นฐานของการบำรุงรักษาความงาม ยิ่งอยู่ในชนชั้นสูง  ก็สามารถฟุ่มเฟือยกับการอาบน้ำที่ไม่ต่างจากสปาหรูหรา พวกเธอมีวิธีอาบน้ำเช่นใดบ้าง ?


จีนได้ค้นพบวิทยาการต่างๆสำหรับทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้จะไม่มีสบู่หรือผงซักผ้า แต่สิ่งหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่เป็นพันๆปีก่อน คือน้ำจากการหุงข้าวที่สามารถใช้ล้างหน้าและสระผม นอกจากจะล้างคราบมันออกได้ สารต่างๆที่มีประโยชน์ในน้ำข้าวก็ช่วยให้ผิวพรรณดูสุขภาพดี ดังปัจจุบันที่หลากแบรนด์ความงามยังคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากข้าวที่ให้ผลลัพธ์น่าพอใจ แต่ชาวจีนไม่ได้หยุดความพอใจไว้ตรงนั้น ความปรารณาจะมีผิวนุ่มเนียนเปล่งประกายออร่า ทั้งยังมีกลิ่นหอมดึงดูดใจทำให้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์อื่นๆตามมาอีก

.ในเวลาต่อมา  ได้มีการคิดค้น "เจ้าโต้ว"   หรือ "ถั่วถูขี้ไคล" ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่สกัดขึ้นมาจากถั่วเหลืองและสมุนไพรต่างๆ  จากการบดถั่วที่มีสาร saponin ที่เมื่อละลายกับน้ำแล้วจะทำให้เกิดฟองรวมกับส่วนผสมหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณประหลาดใจคือตับอ่อนของหมู  (ที่ผ่านกรรมวิธีรีดเลือดออกหมดแล้ว)  เมื่อนำมาอัดรวมกันกับเครื่องหอมจึงได้เป็นก้อนเหมือนกับสบู่ในยุคปัจจุบันมีเบสเป็นไขมันสัตว์หรือพืช   และยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ดีขึ้นทุกรัชสมัย



Makeup ได้รับความนิยมมาเนิ่นนาน

ในยุโรปโบราณ เป็นเวลาหลายปีที่  makeup ถือเป็นสิ่งต้องห้าม หากหญิงสาวแต่งหน้าด้วยสีสันจัดจ้าน ก็อาจจถูกเหยียดหยามว่าเป็นเหมือนกับผู้หญิงขายบริการ    แม้ความคลั่งผิวขาวจะทำให้เหล่าคนชั้นสูงกระหน่ำทาแป้งและใช้เครื่องสำอางที่ปนเปื้อนสารพิษเพื่อความขาวถึงขีดสุด   หากแต่งแต้มสีสันที่ปากและแก้มเพิ่มเติมก็อยู่ในระดับสีกุหลาบอ่อนเรื่อเท่านั้น

แต่สำหรับสังคมจีนโบราณ  ในรัชสมัยของราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง   makeup ไม่ได้มีใช้ในหอคณิกา  แต่เป็นสิ่งสำคัญในการแต่งสวยแบบ"จัดเต็ม" ของสตรีชั้นสูง  พวกเธอแต่งแต้มริมฝีปากด้วยผงชาดที่มีสีแดงร้อนแรง  และยังมีช่วงที่เทรนด์ทาแก้มจนแดงปลั่งราวกับลูกท้อได้รับความนิยมในรั้ววังอีกด้วย

ถังลี่ย่ากับการจำลองลุคของสตรีชั้นสูงในราชวงศ์ถังในผลงานละคร ซึ่งราชวงศ์นี้เองที่ผู้หญิงได้เปิดใจให้กับ makeup หลายรูปแบบ  ทั้งการเพนท์ลวดลายบนใบหน้า การเขียนคิ้วเป็นรูปทรงต่างๆ และการทาปากที่ดูน่ารักจุ๋มจิ๋มเหมือนลูกเชอร์รี่

ชาวจีนที่เชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งมงคลสื่อถึงพลังได้สกัดดอกคำฝอยแห้งมาทำเป็นชาดทาริมฝีปากและแก้มจะไม่ทาปากด้วยสีแดงให้เต็มริมฝีปาก แต่จะวาดร๔ปปากให้ดูเล็กกว่าริมฝีปากจริง ดูแล้วจุ๋มจิ๋มน่ารัก


นอกจากผงชาด  คุณอาจจะเคยเห็นภาพสาวจีนกัดกระดาษสีแดงเพื่อเติมสีปาก  เจ้ากระดาษนี้ถูกย้อมด้วยสีจากดอกไม้ อย่างดอกกุหลาบและดอกหอมหมื่นลี้   แต่่ย่อมมีราคาแพงกว่าผงสีจากดอกคำฝอยและชาดทั่วไป


หลี่ จื่อชวี่ content creator ผู้โด่งดังได้สาธิตวิธีทำกระดาษย้อมสีปากจากกลีบกุหลาบและน้ำผึ้ง  กว่าชาวจีนโบราณจะได้ปากแดงกันก็ยุ่งยากขนาดนี้เลยล่ะ
 
 คิ้วมีความสำคัญต่อสตรีจีนโบราณไม่แพ้ส่วนอื่นบนใบหน้า    นักกวีได้เปรียบเทียบคิ้วของหญิงสาวกับสิ่งต่างๆ  เช่น คิ้วที่โค้งดุจขุนเขา อ่อนช้อยราวกับหนวดผีเสื้อ ยาวเรียวเหมือนใบหลิว เป็นต้น  แต่กว่าจะเขียนคิ้วให้สวยโดนใจได้ก็เป็นเรื่องยุ่งยากไม่ใช่น้อย   สำหรับสีที่นำเขียนคิ้วจะมีการพัฒนาไปหลายรูปแบบตามยุคสมัย     ช่วงหนึ่งนิยมผงสำหรับเขียนคิ้วจที่ใช้ท่นบดก้อนแร่สีน้ำเงินจนได้ผงสีมาเขียนคิ้วในรูปทรงที่นิยมในขณะนั้น
ภาพบุรุษที่เขียนคิ้วให้กับหญิงในดวงใจนั้นยังเป็นฉากสุด romantic ที่ปรากฏในดราม่าจีนมาแล้วหลายครั้ง

ความคลั่งขาวไร้ริ้วรอยจุดด่างดำถึงขีดสุด หากไม่ขาวใสจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดข้างในก็ยังไม่นับเป็นความสมบูรณ์แบบ การทาแป้งให้หน้าขาวเด้งจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง หากไม่ใช่สตรีในครอบครัวมีฐานะก็อาจจะใช้แป้งข้าวเจ้าที่ไม่มีลูกเล่นมากมายนัก แต่ถ้ามีเงินจับจ่ายไหว แป้งธรรมดาๆจะถูกอัพเกรดขึ้นมาด้วยเครื่องหอมและสสุนไพรเพื่อบำรุงผิวพรรณ ไม่ต่างจากในยุโรป

ในช่วงหนึ่ง คนร่ำรวยนิยมใช้ผงตะกั่วทาหน้าเพราะทำให้ขาวได้อย่างทันใจ แต่เมื่อใช้ต่อไปเรื่อยๆ หน้าก็พังได้เช่นกัน ที่หนักกว่านั้นคือ พิษจากตะกั่วทำให้เจ็บป่วยได้ไข้จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ส่วนผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างผู้หญิงในตระกูลทรงอิทธิพลรวมไปถึงสนมและจักพรรดินีแห่งวังหลัง พวกเธอสามารถสรรหาแป้งที่บดมาจากไข่มุกมาใช้บำรุงบำเรอผิว จากบันทึกราชวงศ์หมิงว่า ไข่มุกมีสรรพคุณในการเยียวยาผิวจากพิษต่างๆ รวมไปถึงช่วยขจัดริ้วรอยจุดด่างดำและทำให้ใบหน้าอ่อนวัย และยังมี skincare แบบ handmade ที่ทำมาจากพืชพรรณต่างๆช่วยบำรุงผิวและทำให้ร่างกายมีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ


การใช้แป้งทาหน้าของชาวจีนโบราณก็ไม่ต่างกับสมัยนี้ที่ฮิตรองพื้นหรือ BB ครีม  เพราะหญิงที่ได้รับการยอมรับว่างามอย่างแท้จริง จะต้องมีผิวขาวเกลี้ยงเกลาไร้จุดด่างดำใดๆ   ความขาวเช่นนี้ได้บ่งบอกถึง "ความแพง" ที่ใครๆต่างหมายปอง  เพราะผิวทั้งขาวทั้งอ่อนนุ่มนั้นบ่งบอกถึงชีวิตอันสุขสบายของชนชั้นสูงที่ไม่จำเป็นต้องทำงานกลางแจ้งจนผิวหมองคล้ำ  แนวคิดนี้สั่งสมตกทอดมาเป็นพันปีและไม่ได้ห่างหายไปจากสังคมจีนแต่อย่างใด   สำหรับผู้หญิง  หากจะเรียกว่าสวยได้อย่างเต็มปากต้องมีผิวขาวเนียนเท่านั้น  


เมื่อ Zara ได้นำเสนอนางแบบจีนที่มีรอยกระบนใบหน้าในภาพโฆษณาเครื่องสำอาง เพื่อเปิดตลาดในแผ่นดินใหญ่ มันกลับกลายเป็นดราม่าเมื่อnetizenจีนจำนวนมากมายได้ต่อต้านโฆษณาตัวนี้ มีคนคลิกเข้าไปชมหัวข้อข่าวถึงห้าร้อยล้านครั้ง หลายคนแสดงความเดือดดาลที่แบรนด์ดังไม่ทำการบ้านเรื่อง beauty standard ของชาวจีนที่ตกทอดกันมาเป็นพันปี นั่นคือผิวพรรณขาวใสไร้รอยจุดด่างดำใดๆ บางคนก็อ้างว่าชาวจีนไม่ตกกระแบบนี้ และหนักกว่านั้นก็จิกกัด Zara ว่าทำการตลาดด้วยการเอานางแบบหน้าตาแย่มาถ่ายโฆษณา หรือคนที่คิดซับซ้อนไปอีกขั้นก็คือ Zara จงใจไม่ retouch กระบนใบหน้าของนางแบบสาวจีนออกเพื่อดูถูกดูแคลนว่าสาวจีนไม่สวย

สิ่งนี้ได้สร้างเสียงวิจารณ์กว้างขวางจากต่างประเทศ มีคนที่เห็นพ้องต้องกันว่า การแต่งหน้าแบบธรรมชาติโชว์ผิวโดยไม่ปกปิดกระอยู่คู่กับวงการแฟชั่นมาหลายทศวรรษแล้ว และไม่เชื่อว่า ผู้หญิงจีนจำนวนมหาศาลในประเทศนั้นจะไม่มีใครตกกระเลย แต่อาจจะแต่งหน้าปกปิดไว้ ไม่ได้ต่างจากคนตะวันตก เพียงแต่ว่า อีกฝ่ายอาจจะเปิดใจยอมรับรูปลักษณ์ธรรมชาติได้มากกว่า โดยไม่ยึดติดว่า จุดสีน้ำตาลเล็กๆบนใบหน้าคือความอัปลักษณ์


ความเชื่อเรื่องห้ามตัดผม   ความภาคภูมิใจที่เปรียบเหมือนภาระอันหนักหน่วงของคนจีนโบราณ


ความเชื่อว่าเส้นผมคือของขวัญที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดาและไม่ควรตัดให้สั้นนั้นทำให้ชาวจีนโบราณมีผมยาวเหยียดเลยบั้นเอวกันทั้งนั้น  แต่ในยุคสมัยที่การอาบน้ำเป็นความสิ้นเปลือง และจำกัดไว้ให้กับคนมีฐานะ  การไว้ผมยาวดูจะเป็นภาระอันหนักหน่วง     แม้ว่าจะมีประเพณีทำผมเป็นทรงต่างๆโดยไม่ปล่อยยาวสยายให้เกะกะกิจวัตรประจำวัน  แต่หากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจจะเกิดปัญหาหนังศีรษะมันเยิ้ม รังแค  กลิ่นไม่พึงประสงค์  และที่ชวนปวดใจคือเหานั่นเอง   


คุณหนูจากสกุลผู้ดีจะมีสาวใช้คอยดูแลปรนนิบัติเรื่องความงามจนแทบไม่ต้องขยับทำมากมาย   ทั้งการอาบน้ำสระผม ขัดสีฉวีวรรณไม่ต่างจากพนักงานสปา  รวมไปถึง skill การเกล้าผมเป็นทรงต่างๆที่มีชื่อเรียกอย่างไพเราะเพราะพริ้งเป็นร้อยแบบ   ทรงผมยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะความโสด  อาชีพและชนชั้น  ผมยาวจึงสำคัญต่อชาวจีนโบราณจนไม่สามรถแยกออกจากกันได้  มีเพียงบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นจึงจะตัดหรือโกนผม เช่น นักบวช หรือนักโทษที่ถูกหยามเกียรติว่าไม่คู่ควรต่อการไว้ผมยาว


ผู้หญิงย่อมต้องใช้เวลามากมายไปกับการดูแลผม  แม้จะเกิดในตระกูลสูงมีสาวใช้คอยดูแลให้สวยเป๊ะ แต่ยุคนั้นหาได้มี smartphone ไว้คอยส่องsocial media แก้เบื่อตอนนั่งรอผมแห้งหรือเกล้าผมสุดอลังการ    อย่างไรก็ตาม  ผู้หญิงในยุคนั้นถูกจำกัดบทบาทไว้ในบ้าน ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตได้อิสระภายนอก  

หวีไม้ที่ซี่หวีถี่จนแทบไม่เห็นช่องว่างนี้ยังได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน  นอกจากจะช่วยจัดระเบียบทรงผมแล้ว ผมยังดูเงางามและเป็นวิธีกำจัดเหาและไข่เหา  ดังที่บ้านเราใช้หวีเสนียดนั่นเอง

ดังที่ได้เล่าไปในเบื้องต้นแล้ว สาวจีนโบราณสระผมด้วยน้ำข้าว   จวบจนปัจจุบันก็ยังมีปฏิบัติตามอยู่   ผลลัพธ์มันดีแค่ไหน ให้ภาพอธิบาย  นี่คือผู้หญิงในหมู่บ้านชาวเย้าแดงในจีนที่ยังรักษาประเพณีไว้ผมยาวราวกับราพันเซลไว้    หลายคน แม้ว่าจะอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ยังมีผมยาวดกดำเงางาม พวกเธอจะใช้น้ำจากการหุงข้าวมาหมักไว้ 1-2 วัน มาสระผม น้ำข้าวที่เปี่ยมไปด้วยกรด Amino และ Vitamin ช่วยให้ผมดูสวยน่าอิจฉาจนเราต้องมองผลิตภัณฑ์บำรุงผมในชั้นวางด้ววความน้อยใจเลยทีเดียว!

นอกจากจะใช้น้ำข้าวทำความสะอาดและบำรุงผมแล้ว  ยังมีเจ้าเจี่ยว   นั่นคือฝักของฮันนี่โลคัสท์ เมื่อขยำเปลือกแห้งกับน้ำแล้วจะเกิดฟองที่ช่วยทำให้สะอาดได้   (  ขอบอกว่าตอนเป็นเด็กประถมก็มีเพื่อนทำให้ดู พวกเราเรียกว่าฝักทำฟองค่ะ)  จีนในยุคปัจจุบันก็ยังมีการนำเจ้าเจี่ยวมาทำเป็นส่วนผสมแชมพู   มีผู้ทดลองใช้ฝักเจ้าเจี่ยวและยืนยันมาแล้ว่า สามารถลดอาการผมหลุดร่วงและรังแคได้


วิถีเพื่อความงามของผู้หญิงจีนยังมีอีกมากมายเล่ากันไม่จบไม่สิ้น แต่มันก็อดสะกิดใจนิดๆไม่ได้ ในยุคที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนและมีอำนาจปกครองผู้หญิงที่ไม่สามารถมีปากมีเสียงขัดใจชายผู้เป็นใหญ่ในครอบครัว การใช้ความงามดึงดูดใจชายเพื่อให้ได้แต่งงานเข้าไปในสกุลดีๆ และต้องคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามีเป็นตัวแปรสำคัญให้ผู้หญิงต้องทุ่มเทไปกับการปรุงโฉมให้งดงามตลอดเวลา แต่แม้จะสวยล้ำขนาดไหน ก็มิอาจการันตีได้ว่าจะไม่ถูกทอดทิ้งในอนาคต ผู้หญิงยังต้องอยู่อย่างหวาดระแวงจากการแก่งแย่งชิงดีกับภรรยาคนอื่นๆ ต้องวิตกกังวลเรื่องการมีทายาทสืบสกุลเพื่อให้สถานะในครอบครัวใหญ่มั่นคงขึ้น และไหนจะความเปลี่ยนแปลงของสังขารไปตามกาลเวลา เรื่องเหล่านี้ทำให้รู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาในยุคที่มีกฎหมายเรื่องผัวเดียวเมียเดียว และยังมั่นใจเต็มที่ว่า ผู้หญิงยุคใหม่สามารถสวย "เพื่อตัวเอง" โดยไม่ต้องแบกรับความหวาดกลัวว่า จะกลายเป็นคนไร้ความหมายพึ่งพาตัวเองไม่ได้หากสวยไม่พอ



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE