Netflix กับวิบากกรรม5ระลอก ตลอดปี2020🤬

สวัสดีค่ะ
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ระบบให้บริการซีรีส์และภาพยนตร์Netflix คือระบบสตรีมมิ่งอันดับ1ของทั่วโลก แต่ตอนนี้Netflixเริ่มระส่ำเพราะDisney+,Amazon Prime และApple tv+ ก็มาแรงเช่นกัน

และดูเหมือนว่า ปี2020นี้ Netflixกำลังเผชิญกับดราม่าหลายระลอก ซึ่งดูแล้วมากกว่าปีก่อนๆซะด้วยซ้ำ
บวกกับความไม่รู้จักพอของNetflix ที่มีต่อโรงภาพยนตร์ ด้วยการทำตัวเป็นแมวขโมย คอยดีลให้กับภาพยนตร์ที่เตรียมฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยเงินก้อนโต โดยตอนนี้ทางผู้สร้างภาพยนตร์หลายเจ้าก็กำลังเตรียมการแก้เผ็ดNetflixให้เจ็บปวดกันไปข้าง
ซึ่งวิบากกรรรมของNetflix ในปีนี้ มีอะไรบ้าง ปูเสื่อ มีขนมแล้ว เดี๋ยวเรามาเล่ากันเลย

ระลอกที่1:เอาภาพยนตร์18+ มาลงในระบบ ถามจริง! สมาชิกโอเครึเปล่า
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อยู่ๆ ภาพยนตร์อีโรติก(รึเปล่า)สัญชาติโปแลนด์อย่างเรื่อง365 DNI ถูกซื้อโดยNetflix เพื่อให้ชมได้ทั่วโลก
อนึ่ง ภาพยนตร์เรื่อง365 DNIเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่โปแลนด์และอิตาลีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

หลังจากที่ทางNetflix เอาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉาย ปรากฎว่า เสียงแตกเป็น3ฝ่าย

1. ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ จนมีความคิดอยากโดนลักพาตัว
2. ภาพยนตร์เรื่อนี้สนับสนุนการคุกคามทางเพศ
3. แล้วแต่รสนิยมของตัวบุคคล

แต่อย่างไรก็ตาม พี่Duffy นักร้องแนวโซลที่โด่งดังจากเพลง"Mercy" ก็แสดงความไม่พอใจต่อทางNetflix ทันที

โดยทางพี่Duffy เจอเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจของเจ้าตัวบอบช้ำ นั่นก็คือ การที่เจ้าตัวเคยถูกข่มขืน กักขังหน่วงเหนี่ยว และบังคับใช้ยา แต่มีพลเมืองดีช่วยไว้ได้ หลังจากนั้น พี่Duffyก็ใช้เวลาเยียวยาจิตใจไปนานหลายปี จนได้นำเรื่องราวเหล่านี้ไปโพสต์ทางInstragramของเจ้าตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เมื่อการมาของภาพยนตร์เรื่อง365 DNIในNetflixนั้น ทำให้พี่DuffyและสมาชิกNetflix บางคนไม่พอใจ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนเป็นการมองผู้หญิงเป็นแค่ของเล่นทางเพศ และเข้าข่ายสนับสนุนการคุกคามทางเพศ
ภาพยนตร์เรื่อง365 DNI ดัดแปลงมาจากนิยายเรต20+ ของพี่Blanki Lipińskiej นักเขียนหญิงชาวโปแลนด์ ที่มีทั้งหมด3เล่มจบ โดยเนื้อหาในหนังสือ เน้นฉากมีSexแบบจัดหนัก

ระลอกที่2:ชาวอินเดียและผู้คลั่งลัทธิต่อต้านศาสนาฮินดูแห่ปั่นแท็กBoycottnetflix
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย และเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากการฆ่าตัวตายของพี่Sushant Singh Rajput นักแสดงBollywood อนาคตไกลเมื่อวันที่14 มิถุนายนที่ผ่านมา

ทำให้วงการBollywood สั่นสะเทือนแบบ7.5 ริกเตอร์ เมื่อชาวเน็ตแห่งแดนภารตะได้ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจฆ่าตัวตายของพี่Rajput มาจากผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงBollywood
ทำให้เกิดแฮชแท็ก#Boycottnetflix และ#Boycottbollywood ขึ้นมาในTwitter เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อวงการบันเทิงBollywood ที่มีผู้มีอิทธิพลมาเกี่ยวข้อง

ล่าสุด ชาวเน็ตอินเดียบางส่วนที่เป็นผู้อยู่ในลัทธิต่อต้านศาสนาฮินดูก็ยังไปดราม่าถึงกรณีของการใช้ศาสนาฮินดูมาสอดแทรกในภาพยนตร์อินเดีย ก็ยิ่งทำให้ไฟมอดขึ้นไปอีก ต้องดูกันยาวๆเลยว่า ดราม่าวงการบันเทิงBollywood ในสายตาชาวเน็ตอินเดีย จะไปในทิศทางไหน

ระลอกที่3:ทัวร์ลงNetflixอย่างจัง เมื่อทางNetflix ตัดสินใจลงภาพยนตร์เรื่องCuties ให้ดูได้ทั่วโลก
นี่คือดราม่าเดือดของNetflixที่ปรอกแตกที่สุดตลอดปี2020ก็ว่าได้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางNetflix ได้สิทธิ์ซื้อภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศสเรื่องCuties(Mignonnes) ไปฉายเพื่อให้ได้รับชมได้ทั่วโลก แต่พอเข้าฉายตั้งแต่วันที่9 กันยายน กลับกลายเป็นดราม่าระดับโลกเลยทีเดียว

ด้วยการตั้งแฮชแท็ก#CancelNetflix ในTwitter เพื่อเป็นการไม่สนับสนุนภาพยนตร์ที่ขัดต่อเยาวชน สร้างค่านิยมทางเพศของเยาวชนแบบผิดๆ และชาวเน็ตยังได้สันนิษฐานว่าทีมงานNetflix ไปสนับสนุนลักธิQAnon
นอกจากกระแสแฮชแท็ก#CancelNetflix แล้ว หุ้นของNetflix มีกำลังซื้อแบบลดฮวบ วันเดียวลดลงมากกว่า9พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ2.8แสนล้านบาท
อนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องCuties เป็นเรื่องราวของAmy เด็กผิวสีที่นับถือศาสนาอิสลาม เข้าประกวดเต้นร่วมกับเพื่อนอีก3คน โดยไม่สนเสียงคัดค้านจากครอบครัวของAmy โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คว้ารางวัลกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในเทศกาลภาพยนตร์Sundance เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ระลอกที่4:ซีรีส์The Crown เกือบสะดุดกลางทางโดยรัฐบาลอังกฤษ
ซีรีส์อิงเรื่องราวของราชวงศ์อังกฤษ นำโดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2อย่างเรื่องThe Crown ซึ่งออกอากาศตั้งแต่ปี2016 ซึ่งผู้ที่มารับบทเป็นQueen Elizabeth II ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงสัญชาติอังกฤษ ดังนี้

• พี่Claire Foy(ซีซั่นที่1-2)
• คุณOlivia Colman(ซีซั่นที่3-4)
• ป้าImelda Staunton(ซีซั่นที่5-6 อยู่ในระหว่างเตรียมงานสร้าง)

ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จมาก รวมไปถึงมีชื่อเข้าชิงและได้รับรางวัลในงานประกาศรางวัลประเภทซีรีส์ทางโทรทัศน์และสตรีมมิ่งหลายงาน

แต่เรื่องที่เป็นประเด็นขึ้นมาเห็นจะเป็นซีซั่นที่4 ซึ่งออกอากาศแบบครบทุกตอนเมื่อวันที่15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ซึ่งซีซั่นนี้มีการปรากฎตัวของเจ้าหญิงไดอาน่า
บทบาทนี้น้องEmma Corrin เป็นผู้รับบท และทำให้ผู้ชมต่างชื่นชมว่า น้องCorrin หน้าตาคล้ายกับเจ้าหญิงไดอาน่าในสมัยยังมีพระชมณ์ชีพอย่างน่าขนลุก

และคุณGillian Anderson นักแสดงจากซีรีส์The X-Files ในบทอดีตนายกรัฐมนตรีMargaret Thatcher

แต่ซีรีส์เรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์การครองราชย์ของราชินีผู้ที่ประชาชนชาวอังกฤษต่างเคารพรักแบบนี้ ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมจากฝั่งรัฐบาล เมื่อทางเลขาธิการวัฒนธรรมของทางรัฐบาลอังกฤษ ได้กล่าวว่า Netflixควรชี้แจงว่า ซีรีส์The Crown ควรเป็น"เรื่องที่แต่งขึ้น" แต่ทางNetflix โต้กลับว่า"เชื่อว่าผู้ชมหลายคนแยกแยะออกได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น"
เรียกได้ว่าเป็นศึกระหว่างทางNetflix กับรัฐบาลอังกฤษ แบบเบาๆ หลังจากนี้ ทีมงานซีรีส์The Crown ควรทำซีซั่นต่อไปให้มีผลกระทบต่อราชวงศ์อังกฤษน้อยที่สุดละกัน

ระลอกที่5:เมื่อค่ายเกมชื่อดัง ลุกขึ้นมาฟ้องร้องกับNetflix
เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี่เอง เมื่อทางค่ายเกมชื่อดังอย่างActivision(ควบกับค่ายเกมBlizzardด้วย)ซึ่งเป็นค่ายเกมผู้พัฒนาเกมซีรีส์Call of Duty ได้มาฟ้องร้องกับทางNetflix ในข้อกล่าวหาที่ว่า"ดึงตัวผู้บริหารบริษัทไปร่วมทำงานอย่างไม่เป็นธรรม"

เรื่อมีอยู่ว่า ทางNetflix ได้เชิญชวนให้คุณSpencer Neumann ผู้บริหารทางการเงิน(CFO)ของค่ายเกมActivision Blizzardในขณะนั้น มาร่วมงานกันเมื่อปลายปี2018 และได้เป็นผู้บริหารทางการเงินของNetflix ไปโดยปริยาย

โดยทางActivision Blizzard ได้ร่อนเอกสารกว่า13หน้า มาให้ชั้นศาลสูงLos Angeles พิจารณา โดยมีใจความคร่าวๆว่า
"ทางNetflix ต้องการขยายกิจการสื่อเกม จากตอนนี้มีกิจการสื่อบันเทิงทั้งภาพยนตร์,ซีรีส์ และคอนเทนต์เฉพาะ ถ้าทางNetflixทำเช่นนั้น ก็หมายถึงทางActivision ต้องทำการแข่งขันมากกว่าเดิม"
ดูท่าว่าNetflix จะเจอศึกหนักจากค่ายเกมชื่อดังซะแล้ว โดยจะจบลงอย่างไร ต้องติดตามแบบยาวๆ

บทความนี้ ทำขึ้นเพื่อเห็นด้านมืดของระบบสตรีมมิ่ง โดยส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนที่แอนตี้ระบบสตรีมมิ่งแต่อย่างใด แต่ทางบริษัทระบบสตรีมมิ่งดันเบียดเบียนโรงภาพยนตร์ในปีนี้ เราขอฝากกับภาพนี้ก็แล้วกันค่ะ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ Bye.