บ๊าย บาย ผิวอ่อนแอ ด้วยเซรั่มขวดนี้ที่เก่งรอบด้าน 💪🏼 DermArtlogy New ! Ageless Second Generation Potent Rejuvenating serum

สวัสดีค่ะ ❤️
วันนี้เรามาเจอกันอีกแล้วค่า สำหรับวันนี้โดนัทมารีวิวผลิตภัณฑ์ตัวท็อปสุดๆ งานรีวิวแน่นๆ และเป็นเซรั่มที่คาดหวังผลลัพธ์ด้านผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์ระยะยาวได้ค่ะ

บอกก่อนว่าเป็นเซรั่มที่ดูแลผิวแบบรวบยอดได้เลยตั้งแต่
ผิวหมองคล้ำ
จุดด่างดำ
ปัญหาสิว
ผิวแพ้ระคายเคืองง่าย
ผิวไม่กระชับ และ
ปัญหาริ้วรอยเลยค่ะ

เซรั่มชิ้นนี้โดนัทใช้เวลาทดลองใช้จริงมาเป็นเวลา 4 เดือนก่อนจะมารีวิว

โดยโดนัทได้อัพเดทการใช้บ่อยๆใน IG Story ซึ่งได้เริ่มใช้ตั้งแต่ตัว Prototype และจนมาใช้ตัวจริง
บอกเลยว่าเป็นเซรั่มที่รักมาก
เพราะได้ผลลัพธ์ตั้งแต่ผิวแข็งแรงขึ้น ระคายเคืองลดลง รู้สึกผิวอิ่มแน่นฟูขึ้น

เซรั่มชิ้นนี้พิเศษมากตรงที่ใช้ส่วนผสมที่มีข้อมูลงานวิจัยแน่น และมีการตั้งสูตรได้ดีมากๆ และเทคโนโลยีก็หวังผลลัพธ์ได้

ดังนั้น เรามาอ่านข้อมูลของเซรั่มชิ้นนี้กันเลยค่ะ

เซรั่มชิ้นนี้คือ

DermArtlogy New !  

Ageless Second Generation Potent Rejuvenating serum

ที่เป็นสูตรใหม่ พัฒนาสูตรให้ดีขึ้น 5 เท่า
ขวดนี้ถือเป็น All in One Serum ที่ทุกคนสามารถใช้เพิ่มลงไปในรูทีนประจำได้
เพราะในส่วนประกอบรวบรวมส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพด้านต่างๆที่ทุกผิวต้องการ

โดยจะสามารถแยกส่วนประกอบที่ช่วยดูแลปัญหาผิวใน 4 กลไกหลักๆ

1) ชะลอความเสื่อมของวัย

( Enhancing autophagy process and delay aging processes )

2) ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย

( Antiaging )

3) เสริมชั้นผิวให้แข็งแรงในทุกมิติ

( Barrier Booster and Repair)

4) ปรับผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ

(Whitening booster )

ซึ่งเป็นกลไกที่ทุกผิวต้องการโดยพื้นฐานอยู่แล้ว

อีกความพิเศษของเซรั่มชิ้นนี้คือแบรนด์ DermArtlogy  
เป็นแบรนด์ในเครือของบริษัท NeoPharm ประเทศเกาหลี

ที่เป็นผู้นำด้านงานวิจัยคิดค้นมามากกว่า 10 ปี โดยมีทีมวิจัยและแพทย์ผิวหนังเพื่อต้องการแก้ปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่ายในทุกช่วงอายุ
และยังมี มีการทำวิจัยสารใหม่ๆ โดยเน้นทั้งคุณภาพและความปลอดภัย


ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่โด่งดัง เพราะประสบความสำเร็จในด้านการแก้ปัญหาผิวแพ้และระคายเคืองง่าย
จนได้รับการตีพิมพ์ลงในตำราแพทย์ผิวหนังชื่อดัง นั่นคือ Fitzpatrick’s Dermatology คือเทคโนโลยี MLE ที่เป็นสิทธิบัตรของ Neopharm


ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ และในวงการแพทย์ผิวหนัง รวมทั้งวงการสกินแคร์ให้การยอมรับเป็นอย่างมาก

สมัยก่อนแบรนด์ DermArtlogy เน้นจำหน่ายในคลินิก และโรงพยาบาลเท่านั้น
(แต่ตอนนี้เราสามารถหาซื้อกันได้แล้ว และมี Distributor ในไทยแล้ว)

โดยเค้าได้ Formulate สูตรมาแบบรอบด้าน แต่เน้นเพื่อคนผิวบอบบาง แพ้ ระคายเคืองง่ายโดยเฉพาะ

สำหรับ Active Ingredients ส่วนหนึ่งที่ขอเน้นๆ จะมี

1. Centella Asiatica Cica
ที่ใช้เป็นเกรดมาตรฐานยา โดยมาเป็นอันดับแรก มีปริมาณ 50% ในสูตร และเสริมสารสำคัญในบัวบกอย่าง Madecassoside, Asiaticoside, Madecassic acid และ Asiatic acid ลงมาด้วย

2. Sytenol A 1%
ซึ่งเป็น Bakuchiol ใน % ที่ออกฤทธิ์เยี่ยม

3. Aquatide
ที่เด่นเรื่อง Autophagy หรือการเก็บกินส่วนที่เสียหายแบบออโต้ของเซลล์ในร่างกายเพื่อการฟังก์ชั่นที่ปกติของร่างกายต่อไป

4. Defensamide
กระตุ้นการสังเคราะห์ Antimicrobial Peptides ที่ทำลายผนังเซลล์แบคทีเรีย

5. Niacinamide 5%
เป็น % ออกฤทธิ์ที่มีงานวิจัยด้านการลดปัญหาสิว ผิวกระจ่างใส

6. Dualguard
ที่ร่วมกับ Aquatide ช่วยส่งเสริมการ Autophagy กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดอาการอักเสบผิว

7. MLE
เทคโนโลยีที่ใช้ส่วนผสมเลียนแบบโครงสร้างของชั้นไขมันในผิวตามธรรมชาติที่มีหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว เพื่อเสริมสร้าง Skin Barrier ให้ผิวแข็งแรง

เรามาดู Texture กันก่อนนะคะ

เนื้อเซรั่มเป็นสีขาวขุ่น ไม่มีน้ำหอม รู้สึกถึงกลิ่นสารสกัดได้บางๆ เนื้อค่อนข้างบางเบา มีความเหลวมาก
ทาแล้วลื่นผิว ไม่หนึบและเหนอะหนะ เมื่อทาลงไปแล้วให้ความรู้สึกชุ่มชื้นผิวได้ดี ในสูตรมีไฮยาลูรอนทั้งขนาดโมเลกุลเล็กและใหญ่ แต่ไม่รู้สึกหนึบหรือเหนอะหนะผิวเลยค่ะ

การทำ Texture แบบนี้ออกมาถือว่าเหมาะกับผิวตั้งแต่ผิวมันจนถึงผิวแห้ง โดยผิวมันใช้เดี่ยวๆได้ และผิวแห้งสามารถเสริมครีมบำรุงผิวต่อได้ Texture ใช้ง่าย สบายผิว เราสามารถใช้แทรกลงในรูทีนได้ในขั้นตอน Pre-serum หรือ Serum
ก็ได้
โดยเซรั่มมี pH ประมาณ 5 ค่ะ

ดังนั้นเรามาดูสูตรกันนะคะ ว่าเค้าใช้อะไรเพื่อดูแลในแต่ละปัญหา 4 ข้อที่ List ไว้ค่ะ

1) ชะลอความเสื่อมของวัย 

( Enhancing autophagy process and delay aging processes )

ในส่วนนี้ทาง Dermartlogy โฟกัสที่กระบวนการ Autophagy ที่มีความหมายว่า

Auto แปลว่า ตัวเอง
Phagy แปลว่า กิน

รวมๆแล้วแปลว่า กระบวนการกินตัวเองของเซลล์เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม, สารพิษ, ของเสีย เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเข้าสู่ช่วงเครียดระดับเซลล์ Cellular Stress เช่น เมื่อร่างกายอดอาหาร และ การออกกำลังแบบ Weight training

กระบวนการ Autophagy เกิดขึ้นเพื่อคลีน และสร้างพื้นที่ในการซ่อมแซม หรือสร้างองค์ประกอบเซลล์ใหม่

เพื่อทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
ระดับของการเหนี่ยวนำให้เกิด autophagy เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติของเซลล์ปกติเพื่อกำจัดออร์แกเนลล์ที่มีอายุและเสียหาย และโปรตีนในเซลล์ที่รวมตัวกันมากเกินไป รวมทั้งเชื้อโรค

กระบวนการนี้เกิดขึ้นทั่วร่างกาย รวมทั้งที่ผิวของเราด้วย ดังนั้นกระบวนการ autophagy เกี่ยวข้องแน่นอนกับกระบวนการแก่ชราของผิวค่ะ
นอกจากนั้นยังพบอีกด้วยว่าใน

ผิวคนที่อายุมาก จะมีกระบวนการ autophagy ต่ำกว่าคนที่อายุน้อยค่ะ

โดยในส่วนประกอบในสูตร 2 ชนิด ที่มีข้อมูลว่าสามารถส่งเสริมกระบวนการ Autophagy ได้คือ Aquatide และ Dualguard

ตัวแรกคือ Aquatide (Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12) ที่เป็นส่วนผสมเหรียญทองจากงาน In-cosmetic ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Nobel prize ที่กลไกออกฤทธิ์ผ่าน autophagy

Aquatide มีการออกฤทธิ์ที่จัดการ Inner Stress และ Outer Stress เพื่อลดปัญหา Aging
ที่ 3 Steps คือ

1. Moist Barrier – เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวจากความแห้ง

2. Damage Reduction – ลดปัญหาผิวตั้งแต่อาการอักเสบ, เพิ่มความแข็งแรงของชั้นผิว และกระตุ้นกระบวนการ Autophagy

3. Remodeling – โดยช่วยปรับโครงสร้างผิวจากการกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์, Tight Junction ปัจจัยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิว และพบฤทธิ์ว่าหลังใช้ 8 อาทิตย์พบว่าผิวยืดหยุ่นดีขึ้นและเฟิร์มขึ้น

ผลจากงานวิจัย พบว่า Aqutide มีผลในการลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว โดยประสิทธิภาพยาวถึง 48 ชั่วโมง
และยังเสริมประสิทธิภาพของเอนไซม์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ
โดย Aquatide ถูกเรียกว่าเป็น Skincare Vaccine ที่ช่วยเพิ่มความทนทานของผิวต่อปัจจัยภายนอก

และสามารถกระตุ้นการทำงานของ Autophagy ผ่าน SIRT2/5 ในงานวิจัยทดสอบในคน พบว่าช่วย

เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และปรับโครงสร้างผิวอย่างมีนัยสำคัญ
Aquatide ยังมีส่วนช่วยลดปัญหาผิวที่เกิดจากรังสี UV ที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่ก่อนวัย


Aquatide ยังมีโครงสร้างที่มีโมเลกุลที่สามารถฟังก์ชั่นในการให้ความชุ่มชื้นแบบ NMF ด้วยการโครงสร้างที่คล้าย PCA จึงมีความสามารถเพิ่มความชุ่มชื้น จึงส่งเสริม Skin Barrier Function และลดปัญหาผิวแก่ชราจากปัจจัยต่างๆทั้งภายในและภายนอก

และอีกตัวคือ Dualguard (CaprylamideMEA)

ที่มีงานวิจัยว่า

1. กระตุ้นกระบวนการ Autophagy โดยลดระดับ p62 ( p62 มีความสัมพันธ์ในการทำลายกลไก autophagy)

2. พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ collagen type 1 ในผิว

3. พบว่าสามารถลด IL-8 และ IL-17A ที่เป็น pro-inflammatory cytokine ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบในคนที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ดังนั้นจึงมีความสามารถทั้งด้าน Anti-aging เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และลดอาการอักเสบของผิวได้ ซึ่งจะดีต่อทั้งคนมีผิวอักเสบ คนผิวระคายเคืองง่าย และคนที่เป็นสิวค่ะ

2) ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ( Antiaging )

ในด้านการลดเลือนริ้วรอย สูตรนี้จะเด่นที่ Bakuchiol ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในสูตร โดยใช้เป็น Sytenol® A 1%
โดย Bakuchiol เป็นสารสกัดจากพืชที่ชื่อว่า Psoralea corylifolia หรือ Babchi หรือ
ในไทยคือโกฐนษิณี
ที่ถูกเรียกว่า Phyto-retinol หรือ Retinol ที่มาจากพืช

โดย Bakuchiol พบฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ (anti-inflammatory), แอนตี้ออกซิแดนท์ (antioxidant), anti-tumor, ต้านแบคทีเรีย (anti-bacterial) และ มีผลปกป้องตับ (hepatoprotective)
ซึ่งต่อมาเมื่อนำมาวิจัยต่อในทางสกินแคร์ก็พบว่า Bakuchiol มีฤทธิ์ต่อผิวคล้ายเรตินอล
แต่โครงสร้างไม่เหมือนกัน และการออกฤทธิ์ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด จึงทำให้ได้ผลดีคล้าย Retinol แต่ตัดผลเสียด้านการระคายเคืองต่อผิวออกไป
.
ซึ่งงานวิจัยพบความสามารถ
-ในด้านการลดริ้วรอย พบกลไกว่าช่วยไปกระตุ้น collagen Type I, III, IV จึงทำให้ผิวยืดหยุ่นดี ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้

-ต้าน Photoaging และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก

-ช่วยปรับให้ผิวกระจ่างใสขึ้น จากกลไกการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และ Alpha-MSH

-ช่วยเรื่องสิวได้ เพราะพบฤทธ์ฆ่าเชื้อ C.acne ได้
.
มีผลวิจัยทางคลินิกพบว่าเมื่อทาครีมที่มี Bakuchiol ติดต่อกัน เช้า-เย็นเป็นเวลา 12 อาทิตย์
พบว่าเส้นริ้วรอย,ความแดง, ความหมองคล้ำ,ความยืดหยุ่น, ความกระชับของผิว และ photo-damage ดีขึ้นทั้งหมดเลยค่ะ

ซึ่งข้อดีของ Bakuchiol คือไม่ระคายเคืองผิว เป็นมิตรกับการใช้ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นๆ สามารถใช้ตอนกลางวันได้ และหญิงตั้งครรภ์ใช้ได้

สำหรับในสูตรนี้จะยิ่งเด่นตรงที่มี Bakuchiolแล้ว ยังมี Aqutide และ Dualguard ที่มาช่วยด้าน Autophagy และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้อีก ดังนั้นชะลอชราได้ไปเต็มๆเลยค่ะ

3) เสริมชั้นผิวให้แข็งแรงในทุกมิติ ( Barrier Booster and Repair)

ในด้านการเสริมชั้นผิวก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก MLE® - (Multi Lamellar Emulsion) = [ Ceramide 9S + Cholesterol + Free Fatty Acid ] ที่สูตรนี้เพิ่มปริมาณขึ้นมาอีก

ซึ่งในสูตรมี Pseudoceramide ( Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA)
ที่เป็นสารสิทธิบัตร United States Patent US6221371B1ของทาง Neopharm

(Pseudoceramides, and dermatologic external preparations containing the same) และ free fatty acids, cholesterol ทำเป็น multi-lamellar emulsion [MLE]
.
ซึ่ง MLE® เด่นด้านการเสริมชั้นผิว ด้วยหน้าตาโครงสร้างเวลาส่องผ่าน cross-polarized microscope แล้ว
.
พบว่าโครงสร้างเป็นแบบ Maltese Cross ซึ่งคล้ายคลึงกับ SC Lipid หรือไขมันระหว่างชั้นผิว
ซึ่งมีหน้าที่ช่วยซ่อมแซม ปรับปรุง เสริมความแข็งแรง ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว ช่วยรักษาและกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ชั้นผิวที่อ่อนแอ กลับมาแข็งแรงขึ้น

นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจมาก คืองานวิจัยที่นำ MLE มาวิจัยว่าช่วยลดผลเสียของผิวที่ใช้สเตียรอยด์นานๆได้

ซึ่งในการศึกษาได้ใช้ยาสเตียรอยด์เป็น Hydrocortisone โดยปกติแล้วเมื่อมีการทายาสเตียรอยด์ติดต่อกันนานๆ จะพบว่า Barrier Function ของผิวจะเสียไป ทำให้ผิวอ่อนแอ และเกิดปัญหาผิวตามมา แต่ในโรคผิวหนังบางโรคก็จำเป็นจริงๆที่จะต้องใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่อง

ดังนั้นซึ่งในการศึกษา (Pseudoceramide-Containing Physiological Lipid Mixture Reduces Adverse Effects of Topical Steroids)

พบว่า เมื่อใช้ MLE ร่วมกับยาทาสเตียรอยด์ ไม่ได้ทำให้ฤทธิ์ต้านอาการอักเสบของยาน้อยลง ง่ายๆคือยายังทำงานได้ดีเช่นเดิม
แต่พบว่า Barrier Function เสียน้อยลง, ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มมากขึ้น และ pH บนผิวดีขึ้น เมื่อเทียบกับยาหลอก
นอกจากนั้นยังพบว่าผิวชั้น Epidermis มีความหนามากขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

ดังนั้นแปลว่า นอกจาก MLE® จะช่วยเสริมความแข็งแรงของ Skin Barrier แล้ว ยังสามารถลดปัญหาผิวในคนที่ใช้สเตียรอยด์ได้ โดยแนะนำให้ใช้ควบคู่เพื่อป้องกันปัญหาผิว

และตามความเห็นของโดนัท ข้อมูลนี้มีประโยชน์มากๆ เพราะโดนัทเจอคนไข้ที่มีปัญหาใช้ครีมมีสาร (ที่แอบผสมสเตียรอยด์มา) แล้วเกิดปัญหาผิวฝ่อจากสเตียรอยด์ กลายเป็นคนผิวอ่อนแอ แสบแดง เป็นสิวง่าย

ดังนั้นการใช้ MLE เสริมน่าจะช่วยลดปัญหาผิวได้อีกแรง โดนัทเลยแนะนำคนไข้ไปหลายคน และทุกคนรู้สึกถึงผลลัพธ์ได้ดีด้วยค่ะ
ที่สำคัญคือ MLE® ที่อยู่ใน Dermartlogy Ageless 2 ถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีการตีพิมพ์ในตำราแพทย์ ว่ามีประสิทธิภาพจริงในด้านการเสริมความแข็งแรงของชั้นผิว

นอกจากนั้นในการเสริมชั้นผิวยังมี Defensamide (Methyl Caprooyl Tyrosinate) โดยเป็น Anti-microbial peptide (AMP)
ที่มีหน้าที่สำคัญในระบบป้องกันของร่างกาย โดย Defensamide จะไปกระตุ้นการสร้าง AMPs ในผิว ช่วยเสริมชั้นผิวให้แข็งแรง
ช่วยลดการกระตุ้นการอักเสบ อาการระคายเคือง ทำให้ผิวเข้าสู่สภาวะสมดุล และเสริมระบบ Defense ของผิวให้ดีขึ้นสมชื่อ Defensamide ค่ะ

4) ปรับผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ (Whitening booster )

Centella asiatica ที่มีสารสำคัญหลายชนิด เช่น Asiaticoside ที่ยับยั้ง MITF ให้ผลด้านความกระจ่างใสของผิว
​
Bakuchiol มีการศึกษาว่าเมื่อใช้ Bakuchiol ที่ 0.5% ผิวมีความกระจ่างใสขึ้น 29% ที่ 4 อาทิตย์


Niacinamide หรือ Vitamin B3 ซึ่งอยู่ในต้นสูตร น่าจะอยู่ใน %ที่สูง
โดยในการศึกษาพบว่า Niacinamide สามารถลดความเหลืองของผิว ลดริ้วรอย ลดรอยแดง และลดจุดด่างดำบนผิว


ในด้านไวท์เทนนิ่ง B3 มีฤทธิ์ยับยั้งการนำส่ง melanosome ขึ้นมาบนผิว และยังลด AGEs (Advanced Glycation End Products) ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลผสมผสานกับสารออกฤทธิ์อื่นๆ ทั้ง Aquatide และ Dualguard ที่กระตุ้นกระบวนการ Autophagy แล้ว จะทั้งมีผลในด้านความกระจ่างใสและลดความหมองความเหลืองของผิวลง

สรุปว่า... 

เป็นเซรั่มที่ทุกคนต้องมี  เป็น All In One Serum ที่จัดการดูแลปัญหาผิวตั้งแต่พื้นฐานความแข็งแรงของผิว

และยังส่งเสริมการทำงานของผิวอย่างสมบูรณ์ที่สุดในทุกๆกลไก กำจัดปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และป้องกันปัญหาใหม่
ได้ทั้งเรื่องสิว, ความหมองคล้ำ, ผิวไม่กระจ่างใส, ผิวระคายเคืองง่าย ไม่แข็งแรง หรือแม้แต่ใครที่ผิวเสียจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานค่ะ

สำหรับราคาคือ 1950 บาท ขนาด 40 ml

สามารถหาซื้อได้ทาง Distributor ในไทยที่ Page Dermartlogy Thailand ค่ะ