เพราะอะไรชาวเน็ทจึงไม่เชื่อถือ drama บ้าน Kar-Jenner (LIVE)

54 4

"ครอบครัว KarJenner  กินข่าวฉาวเป็นอาหารเช้า"


นี่คือคำเปรียบเทียบที่ชัดเจนที่สุดจาก E! News  สื่อดังที่เป็นพันธมิตรปลุกปั้นให้KarJennerได้แจ้งเกิดจนกลายมาเป็นกลุ่มคนดังที่มีผู้ติดตามหลายร้อยล้าน  
อาณาจักรที่รุ่งเรืองของพวกเค้ามาได้ไกลจนแทบลืมเลือนถึงจุดเริ่มต้นที่เคยถูกหยามหยันว่าเป็นกลุ่มดารา reality show ที่ wannabe  และถูกวงการ A List เมินหน้าหนี    แต่ตอนนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของบ้าน KarJenner ถูกตีมูลค่าไว้สูงลิบลิ่ว และยากที่จะถูกแทนที่ได้




แต่ความสำเร็จนี้ก็ตีคู่มากับแรงต่อต้านจากผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีสร้างความโด่งดังแบบ KarJenner Style  ยิ่งมีคนชื่นชมยกเป็นไอดอลมากมายเท่าใด  ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเค้าก็มีคนตามไปคอมเมนท์กล่าวหาว่าจอมปลอม     รวมถึงการจับผิดและปล่อยข่าวลือทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ



"ชาวเน็ทเกินครึ่งแสนร่วมลงชื่อขอให้ถอด Kylie  ออกจาก WAP"



"คนวงการกฎหมายปรี๊ดใส่ Kim เรียนกฎหมายไม่ได้ง่ายอย่างที่บอก"



" Forbes ประกาศ Kylie โกหกว่าเรื่องสถานะ Billionaire "



"จัดฉากหรือไม่ ?   ชาวเน็ทตั้งข้อสงสัยเหตุการณ์ Kim ถูกปล้นที่ Paris "




" แฟนเก่ายื่นเรื่องต่อศาล    ถูกTristan Thompson นอกใจไปหา Khloe ตอนที่กำลังตั้งท้อง"



" นางแบบไม่พอใจ Kendall ให้สัมภาษณ์ไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมวงการ"




พาดหัวข่าวเหล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อยจากสารพัดเหตุการณ์ดราม่าบ้าน KarJenner ที่มีตั้งแต่ข่าวซุบซิบเล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องร้ายแรงชวนช็อค แต่ชาวเน็ทจำนวนมากกลับไม่เชื่อถือในเรื่องราวที่พาดหัวตามสื่อ และหันมาสนใจทฤษฎีสมคบคิด ทั้งๆที่บางเหตุการณ์เข้าขั้นคอขาดบาดตาย ตอนที่ Kim ถูกปล้นเพชรมูลค่าหลายร้อยล้านที่ฝรั่งเศส ก็มี flood คำถามว่าเป็นการจัดฉากเพื่อกระตุ้นกระแสให้ยิ่งพุ่งกว่าเดิมหรือไม่ แม้กระทั่ง Howard Stern ก็ยังแสดงความเห็นที่ไม่เชื่อถือข่าวนี้เต็มร้อย ล่าสุด การแฉแหลกจาก Kanye ที่มีอการ Bipolar กำเริบ ก็ยังมีชาวเน็ทจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าเป็นการเตี๊ยมกันเองจากครอบครัวนี้!


เพราะอะไรผู้คนจำนวนมากจึงขาดความเชื่อถือต่อครอบครัว KarJenner ?

"ครอบครัวของเรารับรู้จากประสบการณ์ตรงว่าวงการโทรทัศน์นั้นเกิดจากคนจริงที่เป็นตัวของพวกเค้าเองที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของพวกเค้า โดยไม่เสแสร้งและจัดฉากขึ้นมา"


script ของ Kim และ Kendall  ในงานประกาศรรางวัล Emmy Awards ทำให้เหล่าผู้ชมจากแวดวง TV ระเบิดเสียงหัวเราะ  และสร้างความสงสัยว่า นี่เป็น script ที่ตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อจิกกัดตัวเองด้วยอารมณ์ขันแบบร้ายๆ     แต่สีหน้าที่เจื่อนลงของทั้งสองทำให้ชาวเน็ทเชื่อว่า พวกเธอไม่ได้ขึ้นเวทีมาเล่นมุก และสามารถพูดการนำเสนอความ realไม่เสแสร้งอย่างจริงจัง  แม้ว่าจะแบรนด์ของพวกเธอจะไม่ได้อยู่ใกล้เคียงกับความ real เท่าใดนัก



Keeping Up With The Kardashians  ถูกจับโป๊ะมาแล้วหลายครั้งว่าจัดฉากขึ้นมาโกยเรตติ้ง


จริงๆแล้วมีหลายคนคิดว่า สมาชิกครอบครัว KarJenner ต่างก็สร้างความโด่งดังกลายเป็นเศรษฐีกันทุกคน ไฉนจึงต้องถ่ายรายการ Keeping Up With Kardashians เรตติ้งมันยังสูงปรี๊ดอยู่รึเปล่า ?

คำตอบไม่ยากเลยค่ะ แม้จะมีหลายคนที่ยืนยันไม่สามารถฝืนชมรายการนี้ได้จนจบตอน ( ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป) แต่ถึงจะไม่ใช่แฟนรายการนี้ เพียงแค่ไฮไลท์ที่ตัดเอามาแต่ตอนเด่นๆก็สร้างกระแสได้ล้นหลามแล้ว และยังมีไม้ตายสำคัญที่ทำให้ครอบครัวนี้ไม่ fade ออกจากวงการเหมือนดารา reality show คนอื่นๆ คือการแสดงภาพให้ผู้ชมได้สัมผัสดราม่าต่างๆที่เคยเกิดขึ้น อย่างตอนที่มีข่าวฉาวโฉ่ว่า Tristan Thompson นัวเนียกับ Jordyn Woods ที่ party จนถูกบ้าน KarJenner เฉดหัวไม่ยอมญาติดีอีก สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้ชมขาเผือกว่าปฏิกิริยาของสาวๆ KarJenner จะเป็นเช่นใด และฟันธงได้ว่า ทีมงานรายการจะต้องจับภาพที่เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ของพวกเธอมานำเสนอ ดราม่าที่เงียบหายไปแล้วก็กลับมาสร้างเสียงฮือฮาได้ใหม่ หมุนเวียนแบบนี้ไปทุกซีซัน และอย่างทุกคนรู้ ดราม่าของบ้านนี้มีมากมายจนจับมาเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว



ที่ผ่านมา reality show บางรายการจะระบุไว้ชัดเจนว่า ใช้ script สร้างเรื่องน่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ชม แต่สำหรับ Keeping up with the Kardashians พี่น้องบ้านนี้ก็เคยยืนยันว่า story ในรายการเป็นเรื่องจริง และมีสิทธิ์ที่จะ edit และให้ความเห็นชอบต่อซีนต่างๆที่จะถูกปล่อยสู่สายตาสาธารณชน


จุดหักเหก็คือ มีคนพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่า หลายๆเรื่องเป็นการเขียน script ขึ้นมาสร้างกระแสความสนใจ จาก timeline ที่ไม่สอดคล้องกัน และหลักฐานอื่นๆ




เหตุการณ์ Khloe ที่ถูกจับข้อขาเมาแล้วขับ   แต่มีหลักฐานฟ้องชัดว่า  เธอถูกจับก่อนที่สถานีโทรทัศน์จะตกลงสร้าง Keeping Up With The Kardashians  ซะอีก   แล้วอารมณ์สุด panic ที่ปรากฏต่อหน้าของครอบครัวมาจากไหนกัน ?
Episode นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในตำนาน selfie ของ Kim  จากโมเมนท์ที่ทุกคนอกสั่นขวัญแขวงว่า Khloe จะต้องถูกขังคุก แต่ Kim กลับยกกล้องมาถ่ายรูปสวยๆ จนแม่ Kris จะต้องกรีดว่า หยุดซะทีเหอะ!  

แต่นั่นกลับเป็นซีนที่ถูกจัดว่า fake ที่สุดของรายการไปแล้ว
ฉากKris Humphries  ประดับประดาห้องด้วยดอกไม้และคุกเข่าขอ Kim แต่งงาน   แต่ในขั้นตอนกระบวนการหย่าร้าง     executive producer ของรายการต้องขึ้นให้การยอมรับว่า แม้จะดูเซอร์ไพรส์มากมาย   แต่Kim  รับรู้เรื่องแผนการขอแต่งงานนี้เป็นอย่างดี    สอดคล้องกับข่าวลือเรื่องที่ Kris ต้องขอเธอแต่งงานหลายครั้งจนกว่าจะได้ภาพที่ถูกใจ   เรื่องการขอแต่งงานแบบจัดฉากไว้ก่อนนี้ยังส่งผลให้มีข่าวลือหนาหูว่า  ภาพการขอแต่งงานของ Kanye West ก็ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์เหมือนที่สื่อในรายการ  เพราะมีภาพ Kim ใส่แหวนหมั้นเพชรเม็ดเป้งใน episode ก่อนหน้าที่จะถูกขอแต่งงานต่อหน้ากล้อง  
  executive producerยังยอมรับว่ามีหลายฉากที่ต้องถ่ายทำซ้ำ  ตัดต่อเปลี่ยนแปลงสถานที่   ตัวอย่างคือ  ฉากที่Kim ปรึกษาแม่เรื่องปัญหาชีวิตคู่ที่ทำให้เธอทุกข์ใจในขณะที่ทั้งคู่อยู่ที่ดูไบ  ก็มีคนจับผิดได้ว่าเป็นการถ่ายทำในอเมริกาจากเสื้อผ้าที่ตรงกันกับภาพจากพาพาราซซี่      และKim เองก็ได้ยื่นขอหย่าจาก Kris ไปแล้วซะด้วยซ้ำ  

 การใช้scriptดำเนินเรื่องเช่นนี้ยังสามารถควบคุมเรื่องราวให้ตรงกับการ PR  ของครอบครัวนี้   ในกรณีของ Kris Humphries ก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาว่าเป็นฝ่าย "ผู้ร้าย"  ในชีวิตแต่งงานเพียง 72 วัน โดยใช้การสร้างสถานการณ์ใน reality show ชื่อดังนี้เป็นตัวชี้นำให้คนคล้อยตาม  แต่การดำเนินการทางกฎหมายก็ทำให้หลายอย่างกระจ่างชัดขึ้นมา

การจัดฉากที่ถูกจับผิดในหลายๆตอน ทำให้หลายคนกังขาว่า  เรื่องใดคือเรื่องจริง เรื่องใดถูกปั้นแต่งขึ้นมา   แม้กระทั่งภาพของพี่น้องตบตีกันพัลวันหน้ากล้องก็ถูกตั้งคำถามว่า  fake ขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสหรือไม่ ?  เพราะ "พล็อท"  Kourney ไม่ปลาบปลื้มกับการถ่ายทำ reality show จนกระทบชีวิตส่วนตัวและครอบครัวและสร้างความร้าวฉานระหว่างความสัมพันธ์ของพี่น้องได้ดำเนินมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเธอจะออกจากรายการ
เมื่อพี่น้องทะเลาะกันผ่านสื่อออนไลน์อย่างไม่ปิดบัง  ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นเพียงหนึ่งใน storyline   ไม่เพียงแต่ชาวเน็ทที่ไม่ปลื้มพวกเธอเท่านั้น  แต่สื่ออย่าง Elle  ก็เคยฟันธงอย่างมั่นใจว่าเป็นการเตี๊ยมเพื่อดึงดึงดูดความสนใจ     Alyssa Bailey  บรรณาธิการข่าวของ Elle ได้สาวๆไว้ว่า

" นี่หรือคือคอนเทนท์ที่ไร้การเติมแต่งแบบ Kardashian ? ก็ไม่เชิงซะทีเดียว
แต่ถ้าดูจากคอมเมนท์ รีทวีท และไลก์เป็นพันเป็นหมื่น ศึกพี่น้องจิกกันผ่าน Twitter ก็ถือเป็นวิธีขายรายการ KUWTK ได้ฉลาดเลยทีเดียว"






ไม่ว่าจะเป็นดราม่าเรื่องอะไร ผู้คนมักจะเชื่อว่ามีแม่ Kris อยู่เบื้องหลังเสมอ

ฉายา Pimp Mama Kris อาจจะฟังแรงเกินเบอร์ก็จริง แต่ก็มีที่มาที่ไป

ฉายา Pimp Mama Kris  อาจจะฟังแรงเกินเบอร์ก็จริง  แต่ก็มีที่มาที่ไป
การเปรียบเทียบว่าเป็น pimp mama อาจจะฟังดูแรงเกินไปสำหรับบางคน    แต่ไม่ว่าใครก็ทราบดีว่า   Kris Jenner คือมันสมองของครอบครัว Kardashian     และเส้นทางแห่งการปั้นความสำเร็จให้ลูกๆทุกคนไม่ได้มาในสายโลกสวยยูนิคอร์นบินว่อนแน่นอนค่ะ       model การตลาดของ Kris Jenner   นั้นสามารถดึงดูดใจให้แวดวงนักธุรกิจได้นำมาวิเคราะห์ด้วยความสนอกสนใจ   เพราะที่ผ่านมานั้น  บอกได้เลยว่าแทบจะไม่มีดารา reality show ที่สามารถโด่งดังได้ยาวนานและครอบครองความนิยมได้ถึงเพียงนี้   แม้แต่ Paris Hilton ที่เมื่อนานหลายปีมาแล้วเคยเป็นเซเลบที่ผู้คนสนใจและใช้ google ค้นหาข้อมูลมากที่สุด   เธอก็ peak ได้เพียงไม่กี่ปี ก่อนที่จะ fade ออกจากกระแส  แม้จะวนเวียนรับงานบันเทิงมาตลอด  แต่ก็ถูกกระแส Kardashian เบียดบังไปหมด
ไม่เพียงแต่หอบไอเดียการถ่ายทำreality showไปนำเสนอ E! News      แต่ยังมีเสียงเล่าลือ   รวมถึงข้อมูลจากอดีตลูกเขยอย่าง Kris Humphries ที่ส่งข้อความไปเล่าให้แฟนเก่าฟังว่า    sex tape ของ Kim ที่ทำให้ชาวบ้านชาวช่องรู้จักชื่อ Kardashian ขึ้นมา  เป็นผลงานการจัดการของแม่ Kris  และมันหาได้เป็นความบังเอิญ เมื่อการสร้างความโด่งดังดังรูปแบบนี้ไปเหมือนกับเส้นทางความดังของ Paris Hilton แบบเป๊ะๆ   (   เมื่อ Kanye West ทิ้งระเบิดทาง Twitter แฉแม่ยายเรื่องหากินกับ sex tape ของลูกสาว ก็ทำให้ผู้คนมั่นใจในความลือนี้มากขึ้นไปอีก)


ในฐานะ Mastermind ของอาณาจักร KarJenner การบริหารจัดการดราม่าของครอบครัวให้ทำรายได้มหาศาลคืองานสำคัญที่แม่ Kris ตั้งแต่ที่ยังไม่เคยมีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพวกเค้า Kris เป็นคนวิ่งหางานเพื่อสร้างชื่อในวงการให้ได้ ตั้งแต่นักพูดสร้างแรงบันดาลใจของ Bruce ( Caitlyn) ที่ช่วยหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อ Kim กลายเป็นหัวข้อข่าว "เทปหลุดเพื่อนของ Paris Hilton" จากนั้นพวกเค้าก็ไต่เต้าจากดารา reality ที่ผู้คนหยามหยันว่าเป็นพวก D Lister จนกลายมาเป็นครอบครัวทรงอิทธิพลที่สุดในโลกออนไลน์


นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ดราม่าที่ถูกตีแผ่ไปหมดเปลือกจะสร้างความเชื่อถือไปได้หมด แม้ว่าเรื่องราวสุดช็อคที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ได้เตี๊ยมกันของ The KarJenner จะแหวกแนวแทบไม่ต่างจากพล็อทซีรีส์

- พ่อที่เปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงข้ามเพศเหมือน Transparent ,
- มหากาพย์ศึกสาดโคลนกับ Taylor Swift
- เพื่อนสุดซี้ของ Kylie นัวเนียกับแฟน Khloe ใน party
- Rob หมั้นหมายและมีลูกกับผู้หญิงที่เป็นศัตรูของครอบครัว

และยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องคลิกติดตามอยู่ไม่ขาด    แต่อคติเรื่องการสร้างดราม่าปลอมก็ยังทับถมสูงขึ้นเรื่อยๆ    บ้างก็ข้องใจว่าเรื่องไหนปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างกระแส  เรื่องไหนreal กันแน่    ชาวเน็ทหลายคนก็เชื่อว่า  หลายๆเรื่องคือ ผลงานของแม่ Kris ที่ผลักดันให้ครอบครัวโด่งดังได้จนถึงทุกวันนี้
Kris  ยังสร้างพันธมิตรที่เป็นปึกแผ่นกับ Harvey Levin      boss  แห่ง  TMZ   ที่สามารถการันตีได้ว่า  ช่วงเวลาก่อนที่ Keeping Up With The Kardashians  จะเปิด season ใหม่   สื่อเจ้านี้จะได้ข้อมูลสุดเด็ดมาปล่อยก่อนใคร  ดึงเรตติ้งเปิดตัวของรายการให้สูงขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ   และกลายเเป็นแพทเทิร์นที่หลายคนมองออกว่า ใกล้ออนแอร์เมื่อไร  มีข่าวใหญ่ออกมาเมื่อนั้น     สำหรับหลายคนแล้ว แผนการปล่อยข้อมูลที่คิดคำนวณผลลัพธ์ไว้ล่วงหน้าอาจจะฟังดูไม่จริงใจนัก  แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาก็ตาม



หากย้อนไปก่อนที่ Kylie จะฉีดปาก จะมีใครที่มองออกว่า น้องเล็กที่ดังน้อยที่สุด และอยู่ภายใต้เงาของพี่ๆมาตลอดจะก้าวแซงKim ที่เปรียบเสมือนนางเอกของบ้านมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากที่สุด มีผู้ติดตามมากที่สุด และเพราะอายุที่ยังน้อย เธอก็น่าจะสร้างความโด่งดังได้อีกนานเลยทีเดียว แน่นอนว่าเจ้าตัวให้ credit แม่ Kris ไว้เต็มที่ เพพราะตอนที่เริ่มทำธุรกิจความงาม เจ้าตัวก็ยังเป็นสาววัยทีนที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก จึงมีแม่เป็นตัวตั้งตัวตีช่วยให้ Kylie Cosmetics ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย

"ด้วยความสร้างสรรค์ของชั้น และหัวด้านธุรกิจของแม่ ทำให้พวกเราเป็น dream team ค่ะ"


อย่างไรก็ตาม การตลาดแบบ KarJenner ก็ได้สร้างข้อครหาครั้งใหญ่ เมื่อสื่อดังอย่าง Forbes ถอดสถานะ Billionaire ไปจาก Kylie แม้จะคำนวณข้อมูลมาใหม่ว่า เธอมีทรัพย์สินใกล้เคียงพันล้าน (และคงจะขึ้นเป็นพันล้านในอีกไม่ช้าไม่นาน) แต่ก็ยืนยันว่า ทีมของเธอพยายามมานานข้ามปีเพื่อจะโน้มน้าวให้กองบรรณาธิการเชื่อว่า ธุรกิจที่ Kylie เป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวนั้นมีค่าเป็นพันล้านจริงๆ ก่อนที่จะขายหุ้นครึ่งหนึ่งให้กับ Coty ด้วยมูลค่า 600 ล้านเพื่อตอกย้ำว่าเธอคือ Billionaire อย่างเต็มภาคภูมิ
แต่เมื่อ Forbes สืบค้นหลักฐานต่างๆ ก็ทำให้เชื่อว่า น่าจะมีการตกแต่งตัวเลขเพื่อสร้างมูลค่าให้สูงขึ้น แม้ Kylie จะโต้กลับด้วยอารมณ์ว่า ไม่เคยง้อให้ใครมาแต่งตั้งสถานะความรวยให้ เมื่อถูกสื่อธุรกิจประจานว่าเป็นนักธุรกิจสาวจอมโกหก ทั้งๆที่มันอาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบเรื่องรายได้ของเธอ ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาก็ดูเสียหายไปไม่น้อย หลายคนแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า แผนการตลาดนี้ Kylie อาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่น่าจะเป็นแม่ของเธอต่างหากที่เป็นตัวตั้งตัวตีนำทีมเข็นโครงการ "เปิดตัวสถานะ Billionaire บนปก Forbes" จนสำเร็จ แต่ภายหลัง สื่อดังหักมุมด้วยการฉีกหน้ากันซะงั้น




การยืนกรานปฏิเสธเรื่องความเปลี่ยนแปลงของรูปลักษณ์ว่าไม่พึ่งศัลยกรรม
ในยุคนี้  ผู้คนได้เปิดใจให้กับการศัลยกรรมกันมากมายกว่าในอดีตมากมายนัก  และยังมีคนที่ถือเป็นเรื่อง  empower  เมื่อมีคนที่ตัดสินรับการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ตรงตามความปรารถนาและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคอยกังวลกับส่วนที่ไม่มั่นใจอีกต่อไป       จะพบได้ว่าชาวเน็ทมักมีปฏิกิริยาในด้านบวกต่อคนดังและ influencer  ที่เปิดเผยเส้นทางของการศัลยกรรมและ nonsurgical treatment ต่างๆ  (  พวก filler และ botox) และชื่นชมพวกเค้าว่า มีความจริงใจต่อผู้ติดตาม     ตัวอย่างชัดเจนคือ Cardi B ที่ประกาศหมดเปลือกถึงการศัลยกรรมและผลข้างเคียงต่างๆ     สื่อและชาวเน็ทหลายคนแสดงความนิยมชมชอบว่า เธอมีด้านที่ raw และ real  โดยไม่ต้องโกหกให้เสียความรู้สึก




Pinocchio   Butt  คือคำที่เราเพิ่งรู้จักตอนทีติดตามครอบครัวนี้  และตีความได้ว่า   ยิ่งพวกเธอยืนกรานปฏิเสธทำศัลยกรรมหนักแน่นเท่าไร  ก้นพวกเธอก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ต่างอะไรจากจมูกของ  Pinocchio 

"สาวๆจ๋า เราอยากรู้มากกว่าว่าพวกเธอทำศัลยกรรมคลีนิคไหน ช่วยระบุชื่อแพทย์ให้ด้วยได้มั้ย"

นี่คือปฏิกิริยาจากชาวเน็ทบางคนเมื่อมีข่าวรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงของพี่น้อง KarJenner และพวกเธอก็ยืนกรานว่า ไม่ได้พึ่งพาคลีนิคศัลยกรรมความงามเลยจริงจริ๊ง!


" หน้าอกตู้ม(ขึ้นหลาย cc) เพราะเมนส์มา

" หุ่นอวบอั๋นเพราะน้ำหนักขึ้น"

"ออกกำลังกายหนักปั้นก้นจนใหญ่สบึมส์"

"คอนทัวร์เปลี่ยนรูปจมูกได้รายวัน"


เรื่องไม่ยอมรับว่าทำศัลยกรรมหรือ filler หน้าตาจนเปลี่ยนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับชาวเน็ทหลายคน  แต่ประเด็นที่ทำให้ครอบครัวนี้ขาดความเชื่อถือลงไป คือการเลือกกรับงานต่างๆที่เกี่ยวกับรูปร่าง  ไม่ว่าจะเป็นครีมช่วยให้ก้นเด้งและหน้าอกอวบอิ่ม  ถึงจะเห็นได้ชัดว่าภายในดูจะเป็นซิลิโคนมากกว่า  หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน  waist trainer ที่ยกให้เป็นไอเท็มสุดเจ๋งเพราะทำให้เอวเล็กเป็นเอวมดเหมือนพวกเธอ


แต่ทุกครั้งที่พี่น้อง KarJenner ใช้พื้นที่ social media เพื่อโพรโมทสินค้าพวกนี้  ทั้งชาวเน็ทและผู้เชี่ยวชาญจะรีบออกโรงเตือนถึงภัยที่อาจตามมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยลดน้ำหนัก หรืออุปกรณ์ที่ทำให้รูปร่างดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งตามเทรนด์      มีจำนวนไม่น้อยที่ปรี๊ดใส่ว่า  ที่พวกเธอสร้างความโด่งดังจากหุ่นแบบนี้ก็มีหมอศัลยกรรมดูดไขมันรอบหน้าท้องและฉีดคืนเข้าที่ก้นจนใหญ่เบ้อเริ่มมิใช่หรือ ?   


บางคนวิเคราะห์ว่า   หากพวกเธอยอมรับว่าทำศัลยกรรมมาจริงๆ    อาจจะเรียกค่าตัวจากข้อตกลงทางธุรกิจกับแบรนด์สินค้าเหล่านี้ได้ไม่สูงเท่ากับตอนนี้     คนที่ได้เครดิตกลับจะกลายเป็นหมอศัลย์แทน   ถ้ายืนกรานต่อว่าเป็นความงามตามธรรมชาติและการอุทิศตนออกกำลังปั้นหุ่น  แฟนๆที่ชื่นชมยกให้พวกเธอเป็นไอดอลย่อมถูกโน้มน้าวใจกดสั่งซื้อสินค้าได้ง่ายกว่า


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE