5 พฤติกรรมแตกต่างสุดขั้วของไอดอลเกาหลี - ตะวันตก

62 4



ออกเดทอย่างเปิดเผย


ในช่วงแรกเริ่มที่ได้ติดตามช่าวบันเทิงเกาหลี เราเคยทึ่งในรูปแบบภาพ paparazzi แดนกิมจิ จากบรรดา "หลักฐาน" ที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Dispatch นำมาเปิดโปงความสัมพันธ์ลับสุดยอดของคนดัง



- ทั้งๆที่คุณไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ในframe เดียวกัน แต่สื่อสามารถฟันธงไปได้เลยว่าพวกเค้ากำลังเดทกันอยู่ ด้วยรายละเอียดเรืองต่างๆ เช่น การอาศัยรถของผู้จัดการหรือคนสนิทที่รู้เห็นเป็นใจในการแอบนัดพบกัน

- ไอดอลต้องระแวดระวังในเจอกันข้านอกด้วยการปกปิดใบหน้าเต็มที่ ทั้งเสื้อฮู้ด mask แว่นตากันแดด ถ้าสื่อไม่บอกว่านี่คือใครก็แทบจะมองไม่ออก

- แม้จะได้ยินข่าวลือมานานแล้วว่า มีคนดังที่ร่วมมือกับช่างภาพเพื่อให้ได้รูปออกมาแบบ papstroll ( จัดฉากว่าถูกแอบถ่ายเพื่อสร้างกระแส) แต่ว่ากันว่า ไอดอลจะต้องถูกกดดันให้รักษาความลับมากกว่านักแสดง โดยเฉพาะกรณีที่อีกฝ่ายเป็นไอดอลชายที่แฟนคลับขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุ ฝ่ายหญิงอาจจะต้องเผชิญกับวิกฤติ cyber bully และเสี่ยงต่อความนิยมที่เสื่อมถอยลงไป


 - ชาวเน็ทยืนยันว่า  แฟนๆที่คลั่งไคล้ไอดอลจะมีสัญชาตญาณที่แม่นยำไม่ต่างจาก "ภรรยา" ตอนกำลังสงสัยว่าสามีจะนอกใจ   หลายครั้งที่พวกเค้าสัมผัสได้ว่าเมนของตัวเองกำลังมีความรัก และอาจจะรู้ก่อน Dispatch ซะอีก!    บน internet จะเต็มไปด้วยภาพการจับผิดไอดอลว่ากำลังแอบคบกัน  และแม้ว่าจะมีแฟนๆที่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะแยกแยะความปลาบปลื้มชื่นชมไอดอลจากชีวิตส่วนตัวได้  แต่ก็ยังมีอีกมากที่ไม่สามารถยอมรับเรื่องความรักของไอดอลสุดหวง   แน่นอนว่า ดราม่าชวนเหนื่อยใจก็ต้องตามมารัวๆ
Park Jin-young  ผู้บริหาร JYP Entertainment ได้ยอมรับว่าทางค่ายกฎห้ามมีแฟนสามปีจริง  แต่เป็นการแบนในช่วงที่ไอดอลยังเป็นเด็กฝึกหัดเพื่อจะช่วยให้พวกเค้ามุ่งมั่นกับการฝึกฝนอย่างเต็มที่โดยไม่เสียสมาธิ  เมื่อผ่านพ้นสามปีไปแล้ว กฎแบนสามปีก็จะคลายความเข้มงวดลงไป

แต่พวกเราต่างก็ทราบกันดีว่า แม้ค่ายจะยินยอมให้ไอดอลมีความรัก แต่ความเป็นไปได้ที่พวกเค้าจะคบหากับใครสักคนอย่างเปิดเผยช่างดูริบหรี่ แม้ HyunA และ Dawn จะเป็นตัวอย่างไอดอลที่สวีทกันโดยไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ แต่กว่าจะฝ่าฟันมาได้ แฟนๆก็น่าจะทราบถึงผลลัพธ์ในการตัดสินใจของพวกเค้ากันเป็นอย่างดี HyunA ถูกแฟนๆของหนุ่มคนรักโจมตีอย่างรุนแรง พกวเค้าต้องออกจากต้นสังกัด และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินขึ้นมาใหม่ท่ามกลางกระแสกดดัน



ส่วนซุปตาร์จากอีกทวีป   แม้จะต้องรักษา image ตามที่ต้นสังกัดกำหนดให้  แต่พวกเค้ามีอิสระในการมีคนรักอย่างเปิดเผย   ถึงจะมีคนที่ไม่ค่อยปลาบปลื้มหรือรู้สึกเหมือนอกหัก  แต่ถ้าไอดอลจับคู่กันเองก็ไม่ค่อยจะมีดราม่าจากแฟนคลับมากมายนัก  ดูเหมือนจะยิ่งปลุกกระแสให้ยิ่งดังแบบแพคคู่มากกว่า   

ความสัมพันธ์ของไอดอลที่จับคู่ออกเดทกันสามารถสร้างเสริมพลังของ fandom ให้มหาศาลไปกว่าเดิม แต่ความไร้วุฒิภาวะของแฟนบางกลุ่มก็อาจจะทำให้เกิดพฤติกรรม toxic สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อย่างกรณี Justin Bieber ที่มีพฤติกรรมเจ้าชู้และนอกใจSelena Gomez มาหลายครั้ง เมื่อมีข่าวร่ำลือหนาหูว่า JB พยายามจีบนางแบบสาวคนงามBarbara Palvin ที่เจอกันใน VS show เหล่า stan ของ "Jelena" ก็ไม่ลังเล ส่งข้อความขู่เธอจนเจ้าตัวสยอง แต่ Barbara ก็ไม่หวั่นที่จะตอบโต้ว่า "เรื่องราวมันเริ่มต้นเมื่อ Selena รีทวีทภาพคู่ที่เธอถ่ายกับ Justin และ Lil Twist หลังเวที " เมื่อผู้หญิง post ภาพแฟนตอนอยู่กับคนสวยๆคนอื่น แฟนๆของเธอก็ย่อมจะปักใจว่ามันคือสัญญาณความไม่พอใจหรืออาจจะมองว่าเป็นการเปิดไฟเขียวให้ไปรุมถล่มผู้หญิงที่ Justin หมายตา ในขณะฝ่ายชายจะลอยตัวอยู่เหนือดราม่า Barbara ก็ต้องเจอกระแสถล่มจนต้องออกมาประชดว่า

" ใจเย็นกันหน่อยหน่อยจ้ะ เขาเป็นของพวกคุณอยู่แล้ว"

" ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ ที่กลายมาเป็นข่าวได้เนี่ยบ้าบอมากเลยค่ะ"
Barbara อธิบายว่าเธอแค่พบปะพูดคุยกับ Justin ไม่มีอย่างอื่น " ก็แค่นั้นจริงๆค่ะ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงพิลึกนัก เหล่าแฟน Jelena เชื่อว่าชั้นเป็นตัวการของดราม่า ทำให้พวกเค้าเลิกกัน" และเธอก็เพียงแต่เป็นแฟนของเค้าคนหนึ่งเท่านั้น
" ชั้นอยากพบตัวจริงของเค้ามากๆค่ะ ชั้นเคยดูหนังของเค้าและก็คิดว่า เด็กคนนี้เก่งชะมัด อยากจะขอเค้าแฮะ พอชั้นได้เดิน VS show ก็ได้มีโอกาสเจอกับเค้าและแน่นอนว่าเราพูดคุยกันแล้วก็ถ่ายรูปคู่กับเค้าค่ะ" นอกจากนั้น Barbara ก็อธิบายอย่างละเอียดว่า Justin ช่วยให้พี่สาวของเธอไปดูบรอดเวย์ด้วยกัน และอีกฝ่ายก็ยกขบวนเพื่อนไปด้วย มันจึงเป็นการแฮงค์เอาท์แบบเพื่อนฝูงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ Barbara จะโด่งดังหรือสร้างผลงานที่ดีใน VS show มากแค่ไหน หลังจากดราม่าเรื่องนี้ เราก็ไม่ได้เห็นเธอกลับมาเดินเวที glitter อีกหลายปี แต่ในที่สุดก็ได้รับการทาบทามให้เป็นนางฟ้าเมื่อปีที่แล้วนี่เองค่ะ


เรียกได้ว่า เมื่อไอดอลเกาหลีเปิดเผยความสัมพันธ์ก็อาจส่งผลกระทบต่อความนิยมจนอาจจะทำให้เส้นทางที่กำลังรุ่งโรจน์ต้องมัวหมองลง แต่ในทางกลับกัน คู่รักไอดอลตะวันตกที่ได้รับความนิยมมากอาจจะทำให้คนอื่นที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในเส้นทางความรักของพวกเค้าถูกโจมตีอย่างแรง ทั้งๆที่เจ้าตัวอาจจะยอมรับผิดว่า มีพฤติกรรมชู้สาวไม่เหมาะสม แฟนๆที่ภักดีก็จะให้อภัยเสมอ ( Justin ยอมรับเรื่องการเสพติด sex และอดีตที่เคยนอกใจ แต่แฟนๆก็ให้กำลังใจและเชื่อมั่นว่าเขาได้กลับตัวแล้ว)







การเปิดเผย lifestyle ท่ามกลางสาธารณชน

สังเกตกกันมั้ยว่า  เพราะอะไรเหล่าไอดอลเกาหลีจึงแต่งตัวเป๊ะมากๆตอนเดินทางทางเครื่องบิน 

airport style  เป็นสิ่งที่สำคัญต่อไอดอลเกาหลีมาก เพราะมันคือโอกาสที่แฟนๆจะได้รู้สึก "เข้าถึง"  ชีวิตของพวกเค้านอกเหนือเวลาทำงาน    เพราะภาพ lifestyle ช่วงอื่นๆ จะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนารัดกุมจากต้นสังกัด  นั่นไม่ได้หมายถึงบอดี้การ์ดร่างโตที่จะสร้างความอุ่นใจเวลาไปไหนแต่ไหนเท่านั้น  แต่มันคือชีวิตที่ต้องปลีกตัวออกจากคำว่า public ให้มากที่สุด  คำว่า street style  จึงแทบไม่มีอยู่อยู่จริงในวงการ K Pop   เพราะพวกเค้าไม่สามารถเดินอยู่ข้างนอกอย่างมีอิสระได้นั่นเอง   อย่างมากที่สุดก็อาจจะใส่ mask และชุดพรางตัวมากที่สุดเดินออกจากรถในระยะทางสั้นๆ  ไม่ใช่การแฮงค์เอาท์อย่างเปิดเผย
การนัดเที่ยวกับเพื่อนฝูง ดินเนอร์ เที่ยวทะเลวันหยุด  ช็อปปิ้ง    คุณอาจจะนึกภาพไอดอลเกาหลีทำสิ่งเหล่านี้ในประเทศไม่ค่อยออก   แม้จะแบ่งปันภาพทาง social media ให้แฟนๆได้ติดตามlifestyle เริ่ดๆ  แน่ล่ะ พวกเค้ามีโอกาสท่องเที่ยวไปในสถานที่สวยงาม  แต่จะเดินอยู่ข้างนอกได้อย่างมีอิสระมากขึ้นก็เมื่อได้ไปต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นทริปที่ส่วนตัวสุดๆ   ภาพจากสถานที่ปิดอย่างห้องอาหารที่เป็นส่วนตัวหรือโรงแรม  หรือโพสท่าถ่ายภาพอยู่โลกภายนอกที่เป็น public ได้ก็มักเป็นต่างประเทศที่ผู้คนอาจจะจดจำพวกเค้าไม่ได้  
แน่นอนว่า Lisa แห่ง BLACKPINK โด่งดังสุดๆในบ้านเรา  แต่เธอสามารถเดินเที่ยวห้างได้ แม้แฟนๆจะคลั่งกันมากมาย แต่ก็ยังมีโอกาสได้ช็อปปิ้ง    เธอโผล่ไปที่ Big Cและร้านอาหารแนว street food โดยไม่พรางหน้าตาด้วยซ้ำ     การสัมผัสชีวิตหนุ่มสาวธรรมดาบ้างสักครั้งอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ไอดอลเกาหลีโหยหาก็เป็นได้

เมื่อหลายปีก่อน BTS เคยมาเที่ยวไทยแบบปะปนไปกับคนทั่วไปได้ แต่เราไม่แน่ใจว่า ในปัจจุบันพวกเค้าจะทำเหมือนเดิมได้หรือไม่ นั่นเป็นเพราะว่ากระแสความคลั่งไคล้หนุ่มๆพุ่งสูงขึ้นมาอีกหลายเท่าค่ะ

ถ้าเป็นในประเทศบ้านเกิด  แฟนๆนึกภาพหนุ่มๆ BTSเลือกซื้อมะม่วงกันที่แผงไม่ออก


ไอดอลตะวันตก ...


การใช้ชีวิตในสาธารณชนอาจจะมีข้อจำกัดจากสายตาผู้คน และแฟนๆที่ไม่รีรอจะพุ่งเข้าหา แต่พวกเค้าก็เดินหน้าใช้ชีวิตที่ดูไม่ต่างจากคนทั่วไปนัก

- พาสุนัขออกมาเดินเล่น

- จ็อกกิ้งเพื่อสร้างเสริมความแข็งแรงริมถนน

- สเก็ตไปตามฝูงชน


- ซื้อกาแฟดื่มเอง (และเผื่อคนอื่นด้วย)

- ช็อปปิ้งแบบไฮเอนด์ตามช็อปอย่างเปิดเผย

- ใช้ชายหาดร่วมกับคนอื่นโดยที่ไม่แตกตื่นไปกันหมด

การใช้ชีวิตที่ผูกติดกับสาธารณชนทำให้เหล่าไอดอลมีความสัมพันธ์แบบตัดกันไม่ขาดกับ paparazzi   มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พวกเค้ามีกระแสไม่ห่างหายไหน  หากเก็บตัวเงียบ โผล่มาเฉพาะตอนที่โพรโมทผลงานก็อาจจะถูกยัดเยียดตำแหน่ง "ไอดอลขาลง" เพราะ lifestyleที่ไม่เป็นที่กล่าวขวัญก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากแบรนด์และสปอนเซอร์ที่สามารถทุ่มเทค่าจ้างมหาศาลให้    พวกเค้าจะต้อง "สร้างเทรนด์" เสมอ  แม้จะยังไม่มีผลงานก็ตาม
ดีกรีของความเผยที่ว่า ไม่ได้หมายถึงความ glam เสมอไปค่ะ   คุณสามารถพบภาพไอดอลที่ดูปล่อยตัวสบายๆ หน้าไม่แต่ง หัวมัดจุก มีแผ่นแปะสิวบนหน้าเป็นเรื่องปกติ
หรือจะเป็นการเดินไปกินไป อ้าปากกัดอาหารคำใหญ่อย่างหิวโหยอยู่ข้างนอก

ความคลั่งไคล้ในตัว Justin Bieber  เคยทำให้เกิดจลาจลในการเดินทางไปเปิดการแสดงในยุโรป   แต่เขาสามารถเป็นขาประจำเทศกาลดนตรี Coachella โดยไม่ได้เป็นศิลปินขึ้นเวทีเท่านั้น  แต่ยังเอนจอยกับการแสดงของศิลปินคนอื่นท่ามกลางฝูงชนได้ด้วย  บางทีก็เต้นอย่างเมามันอยู่กลางลานไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์แต่อย่างใด
อาจจะดูเหมือนว่า ไอดอลตะวันตกจะใช้ชีวิตกลางที่สาธารณะได้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป     แต่จริงๆพวกเค้าต้องอยู่กับความสนใจจากทุกสายตาให้ได้ค่ะ  แน่นอนว่าจะต้องมีแฟนๆเข้ามาขอพูดคุยถ่ายรูปด้วย แต่ก็ต้องผ่านด่านบอดี้การ์ดตัวโตไปก่อน  และมีโอกาสที่ไอดอลจะเปิดไฟเขียวให้แฟนๆมีโอกาสเข้ากระทบไหล่ โดยที่ไม่ต้องทุ่มเงินซื้อบัตร meet and greet   แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเสมอไป     พวกเค้าต้องยอมรับว่าอาจจะได้รับคำปฏิเสธที่เข้าขัดเวลาส่วนตัวของไอดอลที่ชื่นชม   แต่บางครั้งคนที่ทำใจกับคำปฏิเสธไม่ได้ก็เคยนำภาพที่ไอดอลไม่ยอมถ่ายรูปคู่มาแฉ   แต่อย่าคิดว่าจะได้รับความเห็นใจจากชาวเน็ทไปหมดค่ะ  เพราะยังมีผู้คนอีกมากที่เคารพพื้นที่ส่วนตัวของไอดอล  (  เมื่อ 4 ปีก่อน  Justin เคยประกาศอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่หยุดกิจกรรมของตัวเองเพื่อถ่าย selfie กับแฟนๆอีกต่อไป แต่ก็ดูจะมีข้อยกเว้นบ้าง )


การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง (โฟกัสไปที่สิทธิสตรี)

ทุกวันนี้ การแสดงความเห็นของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบ free speech เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาต่างๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในหลายประเทศ   รวมถึงเกาหลีใต้ ประเทศที่พัฒนาจนก้าวมาเป็นชั้นแนวหน้าของเอเชีย   ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายต่างๆเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนรวมไปถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ก้าวหน้าไม่แพ้โลกตะวันตก  ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการลาคลอด เงินอุดหนุนสำหรับการดูแลเด็กและการส่งเสริมให้สังคมเปิดใจยอมรับความเท่าเทียม   แต่ในทางปฏิบัติ แนวคิดการกัดกันทางเพศที่ฝังรากลึกจนยากจะเปลี่ยนแปลงสร้างความชอกช้ำให้กับประชาชนจำนวนมากมายมายาวนาน  

- เกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่ติดอันดับรั้งท้ายในเรื่องการจ้างงานหญิงในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ แม้ผู้หญิงเกาหลีใต้มีมีการศึกษาดีติดลำดับสูงของโลก ในการวิจัยของสภาเศรษฐกิจโลกพบว่า เกาหลีใต้ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ติดอันดับ115 จาก149 ประเทศ แม้ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม

- แม้จะไม่อ้างอิงตัวเลขทางสถิติ เพียงแค่เปิดหน้าจอชมซีรีส์ คุณก็จะพบอคติมากมายต่อผู้หญิง แม่เลี้ยงเดี่ยวคือเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับและโทษว่าผู้หญิงคือฝ่ายผิดและต้องใช้ชีวิตอย่างกดดัน เมื่อมีการหย่าร้างเกิดขึ้น ฝ่ายภรรยามักเป็นคนผิดในสายตาคนอื่นเสมอ นักเขียนบทมักใช้ประเด็นผู้หญิงที่เสียสละยอมทิ้งความฝันและความสุขของตัวเองในการทำงานหนักเพื่อให้พี่น้องผู้ชายหรือสามีได้ประสบความสำเร็จ การใช้ความรุนแรงที่ที่ผู้หญิงมีหน้าที่ต้องยอมรับว่า ถึงผู้ชายในครอบครัวหรือผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าในที่ทำงานทำร้ายร่างกายหรือล่วงละเมิดทางวาจาก็ต้องอดทน

แต่เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจว่าจะไม่ทนต่อปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศอีกต่อไปและร่วมเรียกร้องเพื่อความเปลี่ยนแปลง แต่ผู้คนที่พอใจกับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่รับไม่ได้กับแนวคิดความเท่าเทียมและพยายามปิดปากผู้ที่ "เห็นต่าง" โดยเฉพาะเมื่อคนๆนั้นคือไอดอลหญิงที่ดำเนินชีวิตผิดแผกแตกต่างจากความคาดหวังของสังคม cyberbully ที่รุนแรงก็ได้ตามหลอกหลอนเธอจนเกิดโศกนาฏกรรมในที่สุด


กว่าที่เธอจะได้รับการเชิดชูว่าเป็นนักสิทธิสตรีผู้กล้าหาญ ก็เมื่อหมดลมหายใจจากโลกนี้ไปแล้ว

ถึงจะไม่ได้ประกาศตัวว่าสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศอย่างอย่างชัดเจน  แค่มีสัญญาณนิดๆหน่อยๆก็กลายเป็นดราม่าได้แล้ว อย่าง แค่Irene แห่งred Velvet เผยว่าอ่าน Kim Jiyoung, Born 1982 หนังสือชื่อดังที่ตีแผ่การแบ่งแยกทางเพศและความทุกข์ของหญิงเกาหลีจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก    fanboy บางคนแทบคลั่งเอารูปเธอมาตัดและเผาโชว์ชาวเน็ท  แต่นั่นยิ่งกลายเป็นการประชาสัมพันธ์ให้หนังสือขายดีมากขึ้นหลายร้อยเท่า!  แต่คนที่มีแนวคิดอยุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการให้สตรีมีปากมีเสียงคงไม่ปลาบปลื้มเธอเท่าใดนัก
Seolhyun   แห่ง AOA ไม่ได้ประกาศโจมตีถึงสังคมที่ไม่เท่าเทียมกับเพศหญิงออกมาตรงๆ  แต่บอกว่ากำลังเรียนรู้ปัญหาสังคมที่โฟกัสไปที่เรื่องของเพศหญิง  เพียงแค่เธอกด follow   Suzy  ที่สนับสนุนหนัง  Kim Ji Young, Born 1982   ก็ทำให้ชาวเน็ทนั่งไม่ติดตามเช็คจนพบว่าเธอกด like  post พูดถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ    แม้จะมีเสียงชื่นชมถึงการแสดงความสนับสนุนสิทธิสตรี  แต่ก็มีความกังวลว่าเธอจะเสียแฟนคลับเพศชายที่รังเกียจคำว่า feminist เข้าไส้
เราเคยเห็นคำอธิบายมาแล้วหลายครั้งว่า  ที่ไอดอลที่จิกกัดเรื่องการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศนั้นมีสาเหตุมากจากพฤติกรรมของแบบhardcoreของfeminist บางกลุ่ม กราดด่าผู้ชาย ประท้วงด้วยวิธีพิลึกพิลั่น  แต่ต้องย้อนกลับไปดูข้อมูลตัวเลขกันอีกครั้งค่ะ ช่องว่างความเท่าเทียมมันห่างกันมาก   หนังสือ Kim Jiyoung, Born 1982  ที่สร้างข้อโต้แย้งใหญ่โตนี้ได้ใช้รายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งเรื่องกฎหมายและสถิติต่างๆที่ยืนยันได้มาประกอบคำพรรณนาที่ real จนอาจจะทำให้บางคนต้องหลั่งน้ำตาตาม   และไอดอลที่กลายมาเป็นหัวข้อ gossip เพราะถูกจับผิดว่าเป็น feminist หรือไม่ ก็แทบไม่ได้ถกถึงปัญหาสังคมอันนี้ด้วยซ้ำ พวกเธอเพียงแค่กด like ข้อความหรืออ่านหนังสือที่เกี่ยวกับสิทธิสตรี    แม้กระทั่งกรณี Naeun แห่ง Apink   ที่ใช้ case โทรศัพท์ที่ติดประโยค Girls can do anything ยังถูกวิจารณ์หนักจนต้องลบภาพ  ทั้งถูกด่าแรงๆ และมีคำเตือนที่แสดงถึงความคิดของคนหมู่มากไว้ว่า  

"การสนับสนุนสิทธิสตรีเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในเกาหลีใต้ อย่าคิดจะสนับสนุนเรื่องนี้ผ่าน social media เลย"

มันจึงนำไปสู่คำถามที่ว่า หากใช้ case โทรศัพท์สโลแกนfeminist ยังต้องรีบถอยแทบไม่ทัน แล้วจะมีไอดอลคนไหนอาจหาญแสดงตัวเป็นfeminist แบบhardcore บ้าง ? แม้แต่ Sulli ผู้ล่วงลับที่แสดงจุดยืนสนับสนุนความเท่าเทียมอย่างเปิดเผยก็ไม่ได้มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับความรุนแรงแต่อย่างใด แต่สังคมที่ไม่สามารถยอมรับความแตกต่างก็ทำให้บน social media เต็มไปด้วยข้อความว่าร้ายเธอว่าเป็นโสเภณีหรือไม่ก็สติแตกจนควรจะไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช



หลายต่อหลายครั้ง โพรดิวเซอร์วางconcept ให้ไอดอลหญิงในภาพของ bad ass ที่ไม่จมปลักกับผู้ชายที่หลอกลวงหรือความสัมพันธ์ toxic แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ต้องระมัดระวังตัวกับการแสดงความคิดเห็นในเชิง politic กันแทบจะกระดิกไม่ได้ เพราะมันอาจนำไปสู่ดราม่าที่ดึงภาพลักษณ์ให้ตกต่ำหรือนำพามาซึ่ง cyberbully ซึ่งดูย้อนแย้งกับการแสดงทางดนตรีที่แสดงความหญิงยุคใหม่สุด strong


เพราะวัฒนธรรมที่แตกต่างกันสุดขั้ว   ไอดอลในโลกตะวันตกจึงจัดเต็มในเรื่องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ  ไม่ได้บอกใบ้มาจากหนังสือที่อ่านและหนังที่ชอบ  แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นทุกครั้งที่มีโอกาส    Ariana Grande ที่เคยตกอยู่ในวิกฤติ scandal เลียโดนัทก็กลับมาผงาดขึ้นมาสู่ระดับ top   แม้ว่าจะมีข่าวลือเรื่องพฤติกรรมแบบ diva มาโดยตลอด  แต่เธอก็มี feminist moment ที่สร้างเสียงชื่นชมจากสื่อและแฟนๆ อย่างการให้สัมภาษณ์แบบสดๆ ที่เธอสามารถฟาดฟันกับคำถามที่ฟังดูเหยียดเพศได้อย่างแสบซ่า   เพลงดังของเธอบรรยายเรื่อง girl power และเธอยังใช้ social media แสดงการสนับสนุนความเท่าเทียมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆที่ยกให้เธอเป็นแบบอย่างอีกด้วย
และไม่ใช่แต่ไอดอลหญิงเท่านั้นที่สนับสนุนความเท่าเทียม   Harry Styles ที่ได้แรงบันดาลใจในการสนับสนุนสิทธิสตรีมาจากแม่และพี่สาวยืนยันว่า  แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งอย่างที่หลายคนเข้าใ

" แนวคิดเรื่อง feminism มาจากเรื่องสิทธิหญิงชายที่ควรจะเท่าเทียมกันใช่มั้ยล่ะครับ พอบอกว่าชั้นเป็น feminist นะ ผู้คนมักจะคิดว่า เราเชื่อว่าผู้ชายควรจะมอดไหม้ในนรกและผู้หญิงต้องเเหยียบคอผู้ชายให้จมดินไปเลย"

" ไม่ถูกนะครับ คุณต้องมองว่า ผู้หญิงต้องเท่าเทียมกับผู้ชาย มันไม่ใช่แนวคิดที่แปลกประหลาดสำหรับผมเลย "


กลายเป็นว่าไอดอลชายบางคนจะถูกกดดันด้วยคำถามว่า "เป็น feminist หรือไม่" ด้วยซ้ำไป  เมื่อใช้สิทธิ์หลีกเลี่ยงการตอบคำถามตรงๆ  อย่าง Shawn Mendes ที่ตอบว่า

 ไม่สามารถเลือกคำตอบออกมาเป็น Yes หรือ No แต่ต้องใคร่ครวญคำตอบให้ดีก่อน เพราะคนอื่นไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเขาจะให้คำตอบที่โดนใจทุกคนได้"  ก็ทำให้แฟนๆบางคนแสดงความไม่พอใจที่มุมมองทาง politic ของนักร้องหนุ่มหล่อไม่เป็นตามที่คาดหวังไว้
Miley Cyrus มีจุด peak ในช่วง  Bangerz   ที่สร้างกระแสได้มากที่สุด ขายดิบขายดีที่สุด และถูกด่ามากที่สุด  และเจ้าตัวได้ยืนหยัดสนับสนุนสทธิสตรีและประกาศต่อต้านความสองมาตรฐานในสังคมมาตลอด  แม้จะสร้างความไม่พอใจในกลุ่มfeminist จากการแสดงเพลง "Blurred Lines  คู่กับ Robin Thicke  (เพลงที่ถูกโจมตีหนักว่าเหยียดเพศและโพรโมทวัฒนธรรมข่มขืน)  แต่เมื่อผ่านพ้น phase ความโป๊เปลือยของ  Bangerz  ไปแล้ว  ดูเหมือนว่าผู้คนจะรับฟังเธออย่างจริงจังมากขึ้น   จากที่เคยถูกมองเป็นไอดอลเจ้าปัญหาอยู่คู่ข่าวฉาว   หลายฝ่ายชื่นชมเธอในฐานะ feminist ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์มากขึ้น   แต่เมื่อใดก็ตามที่ไม่ได้ระวังคำพูด  ดราม่าก็บังเกิดทันที  อย่างตอนที่เธอแนะนำสาวๆว่า ยังมีผู้ชายดีๆอยู่ในโลกนี้  ถึงจะเคยช้ำใจจากชายเลว  แต่จงหาผู้ชายดีๆต่อไป และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองมารักเพศเดียวกัน   ทำให้ชาวเน็ทไม่ว่าจะ gay หรือ straight  ไม่พอใจกับการใช้คำพูดที่สื่อว่า  การเป็นเกย์สามารถcontrol หรือเลือกได้ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น และโจมตีถึงจุดยืนการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศของ Miley จนเธอต้องรีบแก้ไขคำพูดตัวเองและย้ำว่าสนับสนุนชุมชนชาวLGBTQ  ไม่เปลี่ยนแปลง


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE