รีวิว 5 ส่วนผสมเด็ดในครีมลดรอยแผลเป็น แบรนด์ไหนจัดเต็มสุด!

57 26

สวัสดีค่ะสาวๆ ^^


  ปัญหา PM2.5 และน้ำประปาเค็มตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำหน้าเราพังยับเยินมาก สารพัดสิวบุกหน้า ทั้งสิวผด สิวอุดตัน และสิวอักเสบบุกหน้าผาก กรอบหน้าและใต้คางหนักมาก โดยเราก็รักษาด้วยการใช้น้ำดื่มล้างหน้า เช็ดน้ำเกลือ ใช้ครีมแต้มสิวและกดสิวออก จนสิวลดลงและหายไปในที่สุด แต่รอยสิว รอยแดง รอยดำ ที่ทิ้งไว้นี่สิ ยังต้องรักษากันอีกยาวเลย แก่แล้วด้วยมันจางยากมากนะ T^T 


    เราเลยหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเยอะมากๆๆ เพื่อหาครีมลดรอยแผลเป็นที่จะมาใช้รักษารอยสิว  ทำให้เรารู้ว่าครีมลดรอยแผลเป็นตัวดังหลายแบรนด์ มักมีส่วนผสมเดิมๆ ที่ซ้ำกันอยู่ คืออ่านเยอะจนตกผลึกออกมาได้เป็น 5ส่วนผสมเด็ดที่มักเจอในครีมลดรอยแผลเป็นนั่นเอง 


    วันนี้ก็เลยอยากมาแบ่งปันข้อมูล โดยรีวิวครีมลดรอยแผลเป็น 7 แบรนด์ยอดฮิตในท้องตลาด นั่นคือ  Scargel, Lavita Scar care, Mederma, Smooth E Acne Scar, Erase Gel, Hiruscar Postacne, Medmaker


มาดูกันว่าแต่ละใส่ส่วนผสมตัวไหนบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้กันค่ะ 

1. สารสกัดจากหัวหอม : Allium Cepa


บอกได้เลยว่าครีมลดรอยแผลเป็นแทบทุกแบรนด์ต้องมีเจ้าตัวนี้เป็นส่วนผสมชูโรง นั่นเป็นเพราะสารสกัดจากหัวหอม มีสารกลุ่ม Flavonoid อันได้แก่ Quercetin และ Kaempferol อยู่ในนั้น


 -    ทำหน้าที่ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic scar) โดยไปลดการอักเสบของแผล (Wound Healing Effect) และช่วยชะลอการทำงานของ Ficroblasts ไม่ให้หลั่งสารไปที่บริเวณบาดแผลมากจนเกินไปจนเกิดแผลปูดนูน 

-    ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของกระแสโลหิตเข้าสู่แผลเป็นที่นูนแข็ง ทำให้แผลเป็นนิ่มขึ้นและสีผิวจางลง 

-    ช่วยยับยั้งการหลั่งของ Histamine ทำให้การรักษาแผลเป็นต่างๆ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 

-    ช่วยให้เส้นใยคอลลาเจน ภายในชั้นเนื้อที่เป็นแผลเป็นลดลง แผลเป็นจึงนิ่มขึ้น


 *จากรายงานผลงานวิจัยของ Hosnuter M. (J Wound Care.2007) นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในไทยที่พบว่า สารสกัดจากหัวหอม 12% จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นนูนและช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้จริงอีกด้วย (อ้างอิง) เพราะมีคุณสมบัติที่ดีแบบรอบด้านอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้แทบทุกแบรนด์ใส่เจ้า Allium Cepa เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลเป็น ซึ่งจากที่เราสำรวจมาตามท้องตลาด เน้นวางขายตามร้านขายยาก็มีดังนี้

2. สารสกัดจากใบบัวบก : Centella Asiatica 

เป็นสมุนไพรไทยที่มีดีมากกว่าแค่แก้ช้ำใน  เพราะ Centella Asiatica ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งในสารสกัดจากใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ตัวที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็นนั่นคือ Madecassid และAsiaticoside 

-    กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว 

-    มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ ช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นมีขนาดเล็กลง 

-    ยับยั้งกระบวนการเกิดแผลเป็นชนิดนูน 

-    มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและลดอาการอักเสบ 

-    ลดรอยหมองคล้ำ รอยด่างดำของผิว รอยแดง รอยแผลเป็นต่างๆ 

-    ลดอาการบวมช้ำให้เลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว 


มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าครีมลดรอยแผลเป็นที่มีสารสกัดจากใบบัวบกเป็นส่วนผสม มีคุณสมบัติในการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนได้เทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน (อ้างอิง) แต่สารสกัดจากใบบัวที่จะออกฤทธิ์ได้ตามคุณสมบัตินั้นต้องมีอัตราส่วนความเข้มข้นของสาร Madecassid และAsiaticosideที่พอเหมาะ ซึ่งจากที่หาข้อมูลมาในบ้านเราก็สามารถสกัดเจ้าสารสองตัวนี้ในอัตราส่วนที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดและมีความบริสุทธิ์สูงถึง85% โดยมีชื่อว่า ECa233 (เป็นงานวิจัยจากคณะเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์) เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ! 

3. Vitamin E


เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้วิตามินอีในการทารอยแผลเป็น เพราะจัดเป็นตัวช่วยเรื่องลดรอยแผลเป็นในยุคแรกๆ เลย และถึงแม้ตอนนี้จะมีสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ ที่เด็ดกว่าออกมา แต่วิตามินอีก็ยังคงเป็นหนึ่งในส่วนผสมของครีมลดรอยแผลเป็นต่างๆ ในท้องตลาดอยู่ดี  ซึ่งวิตามินอีหรือสารโทโคเฟอรอล (Tocopherol) นั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นโดยมีคุณสมบัติดังนี้

-    ช่วยลดการสร้างของอนุมูลอิสระที่ไปขัดขวางการฟื้นตัวของแผล

-    มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่จะช่วยในเรื่องการสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง

-    ให้ความชุ่นชื้น ลดความแห้งกร้านและริ้วรอย


ถึงแม้วิตามินอีจะได้รับความนิยมในการใช้ทาเพื่อลดรอยแผลเป็นมานาน แต่ก็มีหลายงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินอีไม่ได้ลดการเกิดรอยแผลเป็นได้จริง (อ้าว...ไหงงั้นอ่ะ) เช่น งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารศัลยกรรมพลาสติกตกแต่งและความงาม (Journal of plastic, reconstructive and aesthetic surgery) ในปี 2011 ได้บอกว่าการทาวิตามินอี 5% วันละ 2 ครั้งนั้นไม่มีผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นเลย โดยการทดลองคือให้ผู้เข้าร่วมเริ่มทาวิตามินอี 5% ที่แผลผ่าตัดหลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์โดยทานาน 6 สัปดาห์แล้วรอยแผลเป็นก็ยังอยู่ในสภาพเดิม 


หรือ อีกงานวิจัยได้ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การดูแลแผลไหม้และการฟื้นฟู (Journal of burn care and rehabilitation) ในปี 1986 ได้ใช้วิตามินอีทาแผลผ่าตัดตกแต่งที่เกิดจากไฟไหม้ โดยใช้การทาวิตามินอี การทาสเตียรอยด์ และทายาหลอก มาเทียบกัน พบว่าทั้งวิตามินอีและสเตียรอยด์ ไม่ช่วยทั้งการตึงรั้งของแผล ความหนาของรอยแผลเป็น ขนาดของแผลเป็น หรือแม้กระทั่งความสวยงาม


โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ใช้วิตามินอีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเท่าไหร่ เพราะใช้บนหน้าทีไรสิวอุดตันบุกทุกที แต่ชอบใช้กับผิวแห้งลอกตามข้อศอก ตามแขนขามากกว่า ใครใช้แล้วเวิร์คไม่เวิร์คยังไงก็มาเล่าให้กันฟังมั่งนะ 

4. วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) 


รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมักมีสีที่คล้ำกว่าผิวหนังปกติ เช่น รอยดำ รอยแดง จากสิว ครีมลดรอยแผลเป็นจึงต้องใส่ส่วนผสมที่ช่วยปรับสภาพสีผิวตรงรอยแผลเป็นให้จางลง กระจ่างใสขึ้น ซึ่งวิตามินบี3 เป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดนิยมด้าน Whiteningในครีมลดรอยแผลเป็นหลายแบรนด์ในท้องตลาด
- มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง
- ช่วยลดการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (Melanin) เข้าสู่เซลล์ผิว ในบริเวณที่มีการซ่อมแซมรอยแผล จึงช่วยลดรอยแดงหรือรอยคล้ำได้
- ช่วยกระจายเม็ดสีผิวที่จับตัวเป็นก้อนสีเข้มให้กระจายออกไปด้านล่างของชั้นผิว
- เร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อเผยผิวใหม่
- เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มความยืดหยุ่นและความเข็มแรงของชั้นผิว

เรียกได้ว่าเป็นวิตามินแห่งความขาวกระจ่างใสจริงๆ ใครที่มีรอยดำ รอยแดงจากสิว จะเลือกซื้อครีมลดรอยแผลเป็นก็อย่าลืมเช็คด้วยนะว่ามีส่วนผสมของวิตามินบี3 หรือเปล่า

5. ไฮยารูลอนิค แอซิด : Hyaluronic acid


ไฮยารูลอนิค แอซิด โดดเด่นในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแบบสุดๆ ครีมลดรอยแผลเป็นในท้องตลาดหลายแบรนด์จึงนิยมใช้ ไฮยารูลอนิค แอซิด เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผล

- ทำหน้าที่เป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง กักเก็บน้ำไว้บนผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา

- ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตก ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ช่วยลดขนาดของบาดแผล บรรเทาอาการปวด และอาจช่วยบรรเทาอาการของแผลไฟไหม้ได้ด้วย

- ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น


จากการวิจัยพบว่าช่วงเดือนแรกของกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง (Wound Healing Process) การดูแลรักษาแผลให้มีความชุ่มชื้นตลอดเวลาจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นถึง 40% เชียวนะ (อ้างอิง) เนื่องมาจากแผลที่ชุ่มชื้นทำให้เซลล์ผิวหนัง และ Growth Factor ต่างๆ ที่อยู่รอบแผลซ่อมแซมผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดการอักเสบของแผล และเซลล์พังผืดบางชนิด จึงเชื่อว่ามีผลทำให้โอกาสการเกิดแผลเป็นลดน้อยลง


 โอ้โห มีดีมากกว่าแค่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและแผลเป็นนะเนี่ย!

เพื่อความชัดเจน เราเลยทำตารางสรุปไว้ให้ด้วย

ต้องบอกก่อนว่าการให้คะแนนเราอิงตามความรู้สึกของเราเป็นหลักนะคะ เน้นเรื่องประสิทธิภาพในการลดเลือนรอยสิว รอยแดง รอยดำ โดยเรื่องปริมาณและราคามีผลต่อการให้คะแนนด้วย 


MEDMAKER : ชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อครีมหนักแต่นุ่ม เหนอะผิวและอุดตัน ไม่ช่วยเรื่องรอยแดงรอยดำใดๆ เหมาะกับการเอามาทามือ จมูกเล็บ หรือข้อศอกก่อนนอน อันนั้นเริ่ดมาก ดีที่ราคาถูก   ให้ 6/10 ค่ะ 


CYBELE Scagel : กลิ่นแปลกๆ เนื้อค่อนข้างหนึบหน้าอาจเพราะเราใช้แบบมี SPF30 (คนขายเชียร์มากบอกคุณสมบัติเหมือนเดิมเพิ่มเติมตรงกันแดด) รอยสิวจางแต่ช้า ที่ไม่ชอบคือใช้แล้วผิวแห้งลอก อาจเพราะเค้าใช้สารสกัดจากมะขามในการผลัดเซลล์ผิว ให้รอยจางลง คนที่ผิวบอบบางแพ้ง่ายอาจต้องระวังหน่อย หลอดใหญ่แต่บีบนานมากกว่าจะออก ลมเยอะเกิ้น ให้ 7/10 ค่ะ 


Mederma : ทาแล้วเย็นๆ ผิว กลิ่นแอลกอฮอล์ชัดมาก เนื้อเจลซึมช้ามาก นวดไปนวดมา เอ้า ลอกเป็นขี้ไคลอีก คือซื้อมาใช้ได้แต่ก่อนนอน ใช้เช้าแล้วแต่งหน้าไม่ได้ แต่ช่วยเรื่องรอยแดงได้ดีนะ มันจะคันยิบๆ ตอนทานิดนึง โดยรวมโอเคแต่ไม่ได้ว้าวอะไร ราคาแรงด้วย หัวหลอดก็กลมๆ มนๆ ใช้ยาก ให้ 7/10 ค่ะ 


La Vita Scar care : ตัวนี้กลิ่นดีสุด หอมอ่อนๆ ไม่ฉุน เนื้อเจลบางเบาซึมไว ไม่เหนอะผิว ใช้แล้วลงครีม แต่งหน้าได้ปกติเลย ช่วยเรื่องรอยแดง รอยดำได้ดี แถมเวลามีสิวใหม่เริ่มปูดแดงๆ โปะหนาๆ ก่อนนอน เช้ามาหายอักเสบเฉยเลย ตัวนี้ดีมาก ราคาถูกด้วย ที่ไม่ชอบคือ ลมเยอะมาก กว่าจะบีบเนื้อเจลออกมาได้ ต้องสะบัดหลอดแรงๆ หงุดหงิดอ่ะ 555 ให้ 9/10 ค่ะ 


Smooth E Acne Scar : ตัวนี้เพิ่งใช้ไม่นานแต่ชอบนะ เพราะส่วนผสมแน่นแบบถูกทุกข้อ! แต่ราคาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เนื้อเป็นครีมสีขาวแน่นๆ หนักๆ  กลิ่นคือไม่ไหว ไม่โอเคสำหรับเรา ใช้แล้วรอยแดง รอยดำจางไวนะ ไม่แสบ ไม่ลอกด้วย แต่เพิ่งเริ่มใช้ไม่นานไม่รู้ว่าจะอุดตันมั้ยเพราะเนื้อเค้าหนักจริง แถมมีวิตามินอีที่เราไม่ค่อยถูกโรคอีก ให้ 9/10 ค่ะ 


Erase’ : ตัวนี้เคยใช้ตอนผ่าคลอดแล้วรอยแผลเป็นที่นูนแดงยุบลงจริง คือแผลผ่าตัดเราว่าเค้าเริ่ดมากนะ เลยลองเอามาใช้กับรอยสิวบ้าง กลิ่นแอลกอฮอล์แรง เนื้อเจลใสซึมช้า ค่อนข้างหนึบผิว ใช้แล้วรอยแดง รอยดำจางช้า น่าจะเหมาะคนที่มีปัญหาคีลอยด์หรือแผลผ่าตัดมากกว่า ราคาไม่แรงเท่าไหร่ ให้ 8/10 ค่ะ 


Hiruscar Postacne : ตัวนี้กลิ่นน้ำหอมแรง เนื้อเจลทาแล้วซึมไวนะจะลื่นๆ เหมือนเคลือบผิวแต่ใช้แล้วเหมือนรอยสิวจะสีเข้มขึ้นแล้วค่อยๆ ลอกออก ไม่แสบ ไม่คัน แต่ใช้ๆ ไปสิวอุดตันบุกหน้าเราซะงั้น หยุดทาตัวนี้สิวหาย กลับมาทาใหม่กลับมาอีก เฮ้อ รอยเก่าจางแต่สิวใหม่มาแล้วจะใช้ทำไม ราคาแพงด้วย ให้ 6/10 ค่ะ 


ต้องขอบอกก่อนว่ารีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเรา จากการใช้งานจริง คนอื่นๆ อาจใช้แล้วได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกับเราก็ได้นะคะ เพราะสภาพผิวของคนเราแตกต่างกัน ดังนั้นก็ขอแบ่งปันข้อมูลและรีวิวครีมลดรอยแผลเป็นจากการใช้จริงให้เพื่อนๆ นำไปพิจารณาเลือกใช้กันเองแล้วกัน ใครชอบไม่ชอบตัวไหน หรือแบรนด์ไหนใช้แล้วเห็นผลดีสุดๆ ก็มาแชร์กันจ้า 


ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ ^^  


Noomani

Noomani

สาวออฟฟิส ที่ติดซีรีย์หนักพอกับการช้อปปิ้งออนไลน์

FULL PROFILE