เส้นทางของดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex หลังจากการประกาศลดบทบาทจากราชวงศ์

83 16


ทันทีที่ดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex ประกาศผ่าน website ถึงเจตนารมณ์ที่จะลดบทบาทจากเชื้อพระวงศ์อาวุโสมาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สามารถพึ่งพาตัวเองทางการเงินได้ internet ก็แทบระเบิดไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการนำเสนอทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ


แต่เราจะไม่ใช้การเดาสุ่มมาอธิบายถึงเหตุผลการตัดสินใจของพวกเค้า แต่จะนำข้อสังเกตและ fact ต่างๆ มาวิเคราะห์ถึงเส้นทางใหม่ที่ครอบครัว Sussex กำลังจะก้าวไป


มาติดตามกันค่ะ



ลดบทบาท  มิใช่การสละฐานันดร

หากอ่านพาดหัวข่าวผ่านๆ  อาจจะทำให้บางคนเข้าใจผิดว่า  เจ้าชาย Harry และชายาประกาศสละฐานันดรเพื่อไปใช้ชีวิตอย่างสามัญชน  ไร้คำว่า  His และ Her Royal Highness นำหน้าชื่ออีกต่อไป    แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองว่าจะเจรจากับราชวงศ์ออกมาเช่นไร      จากแถลงการณ์ที่ได้ชี้ชัดว่า  พวกเค้าต้องการจะจัดสรรการใช้ชีวิตทั้งในอังกฤษและต่างประเทศให้ลงตัว    และยังให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูทายาทตัวน้อยที่สอดคล้องธรรมเนียมของราชวงศ์รวมไปถึงความเป็นส่วนตัวของครอบครัวที่จะก้าวไปสู่เส้นทางใหม่


ดังนั้นเจ้าชายก็ยังเป็นเจ้าชายที่ได้รับพระราชทานฐานันดรจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ  ไม่ต่างจาก Meghan  ที่ยังไม่ได้สละความเป็นดัชเชสไป   ส่วนเรื่องความเปลี่ยนแปลงฐานันดรจะเกิดขึ้นจริงๆหรือไม่  เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามในอนาคตค่ะ





Senior royal  , Working royal  , Non-working royal  มีความแตกต่างกันอย่างไร




สิ่งที่ทำให้ราชวงศ์อังกฤษสั่นสะเทือนก่อนหน้าที่จะมีเรื่องของครอบครัว Sussex คือ ข่าวฉาวของเจ้าชาย Andrew หลังจากที่ในระยะเวลาหลายปีมานี้ได้เข้าไปพัวพันกับJeffrey Epstein อาชญากรทางเพศและยังถูกกล่าวหาว่าเคยใช้บริการทางเพศจากเด็กสาวที่ถูกบังคับให้ค้าประเวณี เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ชาวอังกฤษตื่นตัวมากนัก ดูเหมือนจะเป็นกอสสิปธรรมดาที่ผู้คนไม่ได้ใส่ใจมาตั้งป้อมโจมตี จนประทั่ง Epstein ได้เสียชีวิตลงในคุกก็เป็นเหมือนเชื้อเพลิงมาราดใส่กองไฟแห่งความอื้อฉาวเพิ่มขึ้นไปอีก แรงกดดันจากสังคมทำให้เจ้าชายตัดสินใจมาให้สัมภาษณ์กับ BBC แต่กลายเป็นว่ามันเป็นความผิดพลาดอย่างแรงมากขนาดที่ถูกเรียกว่า "สัมภาษณ์หายนะของเจ้าชาย Andrew" เหล่าสปอนเซอร์ที่เคยสนับสนุนมูลนิธิและงานต่างๆของเจ้าชายต่างถอนตัวไปไม่ขอร่วมงานต่อเพราะมองแล้วไม่คุ้มเสี่ยงต่อชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย และส่งผลให้เจ้าชายต้องลดบทบาทการทำหน้าที่ในฐานะเชื้อพระวงศ์อาวุโส





กรณียกิจในฐานะเชื้อพระวงศ์ที่โดดเด่นของดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex ที่ผ่านมาคือการเยี่ยมเยือนประเทศในเครือจักรภพ แคมเปญการช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆรวมไปถึงการเยี่ยมเยียนราษฎร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าพวกเขาคือ full time working royal แตกต่างจากพระญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างเจ้าหญิงแห่ง York ทั้งสองผู้เป็นธิดาของเจ้าชาย Andrew หรือจะเป็น Zara Tindall และ Peter Phillips
ทายาทของเจ้าหญิง Anne ที่มีสถานะเป็นสามัญชนจากการตัดสินใจของเสด็จแม่ที่ไม่ต้องการให้พวกเค้าต้องแบกรับภาระกับหน้าที่และถูกบีบให้อยู่ในกรอบราชประเพณีอันเคร่งครัดของราชวงศ์   แม้จะมีคนคิดว่ามันไม่ยุติธรรมทีพวกเค้าไม่ได้เป็นเจ้าหญิงเจ้าชายเหมือนกับลูกพี่ลูกน้อง  แต่ Zara กลับชื่นชมการตัดสินใจของเจ้าหญิง Anne ที่ทำให้เธอได้มีอิสระได้ทำหลายสิ่งที่ต้องการ    



แม้ว่าเหตุผลในการลดบทบาทนี้จะแตกต่างจากดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex แต่พวกเค้า(เคย)มีสถานะเชื้อพระวงศ์อาวุโสหรือ senior royal ไม่ต่างกัน นั่นหมายถึงการอยู่ในลำดับเชื้อพระวงศ์มีสิทธิในพระราชบัลลังก์ที่ใกล้กว่าพระประยูรญาติอื่นๆ รวมไปถึงคู่สมรสที่จะได้มีสถานะเดียวกันไปโดยอัตโนมัติ เชื้อพระวงศ์อาวุโสจะได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในพระนามของสมเด็จพระราชินี รวมไปถึงการเป็นตัวแทนของพระองค์ในกรณียกิจสำคัญไม่ว่าจะเป็นที่สหราชอาณาจักรหรือต่างประเทศ



หน้าที่ที่ผูกพันแน่นหนากับฐานันดรนี่เองที่กำลังมีความเปลี่ยนแปลง แต่ในกรณีของครอบครัว Sussex นั้น ดูจะซับซ้อนกว่าเสด็จอาที่ต้องเก็บตัวเงียบเพื่อให้ข่าวอื้อฉาวสงบลงไป ส่วนสาเหตุที่ทำให้เลือกเส้นทางนี้ ก็น่าจะเป็นตามที่หลายคนคาดคิดไว้


นั่นคือสงครามระหว่างเจ้าชาย Harry กับสื่ออังกฤษนั่นเอง


ผู้ติดตามราชวงศ์อังกฤษหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า เจ้าชาย Harry ดำเนินรอยตามสเด็จแม่ไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากหย่าขาดจากเจ้าฟ้าชาย Charles แล้ว แต่
เจ้าหญิง Diana ได้ตกหลุมรักชายต่างเชื้อชาติต่างศาสนาและถูกสื่อรุมทึ้งราวกับเป็นเหยื่อชั้นดี ในสมัยนั้น "ภาพเด็ด" ที่ล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเจ้าหญิงถูกตั้งราคาไว้สูงหลายสิบล้านบาท ความกดดันนี้ทำให้เธอเหลืออด เคยกรีดร้องใส่พวก paparazzi ว่า "พวกคุณทำให้ชีวิตชั้นเหมือนอยู่ในนรก" เพราะนอกจากจะถูกไล่ล่าถ่ายภาพแล้ว ก็ยังถูกแทบลอยด์นำไปพาดหัวด้วยคำพูดใส่ร้ายป้ายสีสร้างความเจ็บช้ำตลอดระยะเวลาที่ก้าวเข้ามาร่วมในราชวงศ์


และแม้ว่าจะมีการสรุปสาเหตุของโศกนาฏกรรมที่ได้พรากชีวิตเจ้าหญิงไปจากโลกนี้ว่ามาจากการดื่มแอลกอฮอลล์เกินขนาดของคนขับรถ และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า กลุ่มช่างภาพนับสิบที่คอยไล่ล่าติดตามเจ้าหญิงและคนรักไปถึงต่างประเทศนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้พระองค์ต้องคอยหลบหนี ตามที่เจ้าชาย Harry เคยประกาศไว้ว่า สื่อนั่นแหละที่ทำให้เสด็จแม่ของพระองค์ต้องจบชีวิตลง






เจ้าชายต้องการปกป้องครอบครัว  เพราะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่าสูญเสีย  และการเติบโตมาท่ามกลางการจับผิดอย่างรุนแรง

"ทุกสิ่งที่เสด็จแม่ต้องพบเจอและเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นมันยังย้ำเตือนข้าพเจ้าจนทุกวันนี้   และไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าระแวงไปเอง   ข้าพเจ้าไม่ต้องการมีเรื่องซ้ำรอยดังในอดีต      การทำใจดีสู้เสือและเมินเฉยต่อคำสบประมาทคือส่วนหนึ่งของงานพวกเรา       พวกเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความจริงใจและคนสำคัญที่เราต้องการจะปกป้องและยืนหยัดในสิ่งที่พวกเราเชื่อมั่น     ข้าพเจ้าจะไม่ยอมรับการบีบคั้นให้ตกอยู่ในเกมการไล่ล่าที่ปลิดชีวิตเสด็จแม่"





"ข้าพเจ้าได้คำนึงถึงบทบาทแห่งการเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์นี้  เมื่อต้องปฏิบัติงาน  ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้เห็นกล้องถ่ายรูป  ได้ยินเสียงกดคลิก  ทุกครั้งที่เห็นแสงแฟลชสาดใส่ก็ได้ตอกย้ำถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น  พูดได้ว่ามันคือเครื่องย้ำเตือนถึงชีวิตอันแสนเศร้าของเสด็จแม่"




เจ้าชาย Harry สูญเสียเสด็จแม่ไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ สีหน้าที่ใจสลายของเจ้าชายน้อยที่มองขบวนรถเคลื่อนร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงที่เขารักที่สุดนั้นยังตราตรึงในใจผู้คนมากมาย


แต่สื่อให้ความเห็นใจเจ้าชายได้เพียงไม่นาน






พระองค์เติบโตมาด้วยข้อหาว่าเป็นลูกชู้รักเพราะมีเกศาสีแดง แม้ว่าลักษณะทางพันธุกรรมนี้จะปรากฏในตระกูล Spencer ฝั่งเสด็จแม่ คำพูดหยามหยันนี้เพิ่งจะมาเบาบางลงเมื่อพระองค์กลายเป็นหนุ่มเต็มตัวและฉายแววความคล้ายคลึงกับทั้งเจ้าชายPhilip และเจ้าฟ้าชาย Charles อย่างชัดเจน แต่แทบลอยด์รวมทั้งสื่อออนไลน์ทั้งก็ยังวนเวียนหากินกับประเด็นนี้แบบกัดไม่ปล่อย

นักเขียนข่าวหลายคนไม่สนใจโครงหน้าทั้งรูปทรงดวงตาชิด จมูก  ริมฝีปาก รวมไปถึงรอยยิ้มที่คล้ายคลึงกับเสด็จปู่และเสด็จพ่อ แต่ต้องการจะดึงยอดเข้าชมมากกว่า  ปัจจุบันก็ยังมีการเปรียบเจ้าชาย  Harry กับอดีตคนรักของเจ้าหญิง Diana   รวมถึงสื่อดังอย่าง Cosmopolitan  ที่สร้าง content ป้ายสีเรื่องชาติกำเนิดของเจ้าชาย Harry ก่อนวันเสกสมรสเพียงไม่นาน  และไม่แยแสใดๆต่อคำติเตียนของชาวเน็ทที่เข้ามาปกป้องเจ้าชาย Harry  รวมถึงแจกแจงให้เห็นข้อเท็จจริงว่า   คำกล่าวอ้างว่า James Lewitt เป็นบิดาทางสายเลือดของเจ้าชายไม่ได้สมเหตุสมผล  เพราะทั้งคนใกล้ตัวของเจ้าหญิงรวมถึงนาย Hewitt เองก็ยืนยันว่า   เจ้าชายHarry ได้ถือกำเนิดก่อนที่เขาจะได้พบกับเจ้าหญิงเป็นปีๆ


ที่ผ่านมานั้น เจ้าชายได้เผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาไม่สิ้นสุด ทั้งยังถูกเปรียบเทียบกับเสด็จพี่ที่มีความปรีชาในด้านวิชาการจนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เมื่อก้าวสู่เส้นทางที่ไม่เหมาะสมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นความอับอายของราชวงศ์ แต่เมื่อพยายามแก้ไขความผิดพลาดและดำเนินบทบาทในฐานะเชื้อพระวงศ์อาวุโสที่เป็นแบบอย่างอันดีงาม เจ้าชายก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของสื่อ หรือแม้กระทั่งเปิดเผยความอัดอั้นตันใจจากความสูญเสียในวัยเด็กที่ต้องมารับรู้ว่าเสด็จแม่เคยได้รับการปฏิบัติจากสื่อมาอย่างไรบ้าง



แต่เมื่อเจ้าชายได้สร้างครอบครัวของพระองค์เอง ก็เกิดความวิตกกังวลว่าประวัติศาสตร์กำลังกลับมาซ้ำรอยกับสมาชิกครอบครัวที่รักสุดหัวใจ



แต่มาตรการที่พระองค์เชื่อว่าจะช่วยป้องกันชายาและโอรสที่ไร้เดียงสานั้นจะส่งผลดีในระยะยาว  หรือยิ่งต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหามากกว่าเดิม ?



ปมปัญหาความขัดแย้งกับราชวงศ์



ที่ผ่านมา  เจ้าชาย Harry อาจจะมีภาพของราชนิกูที่เคยเกเรแต่ก็ดูเป็นนัดดาที่สมเด็จย่าทรงโปรดมาโดยตลอด  แต่หลังจากที่เสกสมรสและต้องพบกับขวากหนามจากข่าวแทบลอยด์รายวัน    เจ้าชายก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ ITV ถึงการตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ชาวเน็ทที่แสดงตนเป็น team Sussex ได้แสดงความไม่พอใจ  เมื่อพบว่าเจ้าชาย Andrew ผู้ถูกโจมตีว่าเป็นความเสื่อมเสียของราชวงศ์ ยังได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระราชินี  หรือจะเป็นสำนักราชวังที่ทำหน้าที่โต้แย้งแทบลอยด์ที่คอยปล่อยข่าวลือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์  แม้กระทั่งเมื่อดัชเชส Catherine  ถูกสื่อระบุว่าไปฉีด ฺbotox มาก็แก้ข่าวให้ว่าไม่เป็นความจริง      แต่บางครั้งสำนักพระราชวังก็ดูจะนิ่งเฉยกับเรื่องคู่สามีภรรยาแห่ง  Sussex  ที่ตกเป็นเป้าโจมตีรายวัน  หลายคนจึงเชื่อว่า  นี่อาจจะเป็นต้นเหตุของรอยร้าวในครอบครัวผู้สูงศักดิ์   และกลายมาเป็นแรงผลักดันให้เจ้าชายและชายาต้องการอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น


ส่วนรายงานจากแทบลอยด์ชื่อดังหลายเจ้าได้นำเสนอว่าว่าสมเด็จพระราชินีทรง "กริ้ว" บ้างก็ว่าทรง "โทมนัส" และ ตั้งพระทัยจะรับฟังคำอธิบายและแก้ไขปัญหาความไม่ลงรอยนี้ อย่างไรก็ตาม ต่างสื่อ ก็มีคำอธิบายเหตุการณ์แตกต่างกันออกไป และไม่ได้เป็นถ้อยคำที่ถ่ายทอดจากพระประมุขแห่งราชวงศ์โดยตรง แต่หากมองจากรูปการณ์ที่ผ่านมา การลดบทบาทครั้งนี้อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาตามธรรมเนียมราชวงศ์ Windsor ดังที่เจ้าชาย Harry ได้อธิบายไว้ (การนิ่งเฉยกับคำหยามหยันและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) อีกทั้งภาพลักษณ์แห่งความเป็นเชื้อพระวงศ์ยุค modern ของครอบครัว Sussex ก็ได้สร้างความนิยมในกลุ่มคนหนุ่มสาวมากขึ้น เมื่อประกาศฟันธงออกมาว่า จะถอยจากการเป็นเชื้อพระวงศ์อาวุโสที่ทำงานแบบ full time มาสร้างผลงานในรูปแบบของจนเอง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ราชวงศ์จะร่วมแสดงความยินดีได้เต็มที่ แม้เจ้าชาย Harry และดัชเชส Meghan จะยืนยันว่าจะยังสานต่อกรณียกิจร่วมกับสมเด็จพระราชินี เจ้าฟ้าชาย Charles และเจ้าชาย William ก็ตาม แต่หลายคนถือว่าการประกาศย้ายถิ่นฐานไปที่แถบอเมริกาเหนือนั้นเปรียบดังกับการลดถอยปฏิสัมพันธ์กับราชวงศ์ไปด้วย



ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน



ครอบครัว Sussex อาจจะยังไม่ได้ประกาศว่าจะย้ายไปอาศัยที่ใดในทวีปอเมริกาเหนือ   แต่หลายคนคิดว่าพวกเค้าน่าจะเลือกประเทศแคนาดา  ไม่ใช่เพียงเพราะทริปช่วงหยุด Christmas อย่างลับๆ (อยู่พักหนึ่งก่อนจะถูกสื่อตามเจอ)  แต่มองแล้วมีความเหมาะสมต่อครอบครัวที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว  หากเป็นอเมริกา   สื่อทั้งหลายอาจจะแสดงอคติกับพวกเค้าน้อยกว่าในอังกฤษก็จริง   แต่ก็ถือเป็นตลาดขายกอสสิปขนาดใหญ่ที่สุดของโลก  คงเลี่ยงไม่พ้นเรื่องราวการขุดคุ้ยและขายข่าวลือไม่ต่างจากถิ่นเดิม  



อย่างไรก็ตาม  ยังมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายครั้งนี้ว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด   เมื่อพวกเค้ายืนยันว่าต้องการอิสรภาพทางการเงิน    ในอนาคตข้างหน้าจะยังรับรายได้ที่ได้รับจัดสรรปันส่วนจาก Sovereign Grant หรือไม่ (เงินปีส่วนพระมหากษัตริย์หรือผลกำไรจากทรัพย์สินและการลงทุนต่างๆของสมเด็จพระราชินีที่นำมาบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆในราชวงศ์  รวมไปถึงเงินส่วนแบ่งสำหรับเชื้อพระวงศ์อีกด้วย)   และยังมีคำถามต่องบประมาณในการรักษาความปลอดภัยและการรับรองครอบครัวราชนิกูลว่า หากย้ายมาพำนักที่แคนาดาจริงๆ   รัฐบาลแคนาดาจะต้องเจียดเงินภาษีของประชาชนในประเทศมาดูแลสิ่งนี้  หรือพวกเค้าพร้อมที่จะแยกตัวออกมาใช้ชีวิตโโยการพึ่งพาตนเองจริงๆ ?


ข้อมูลจาก  Tom Bradby    สหายของเจ้าชาย  Harry 



Tom Bradby คือผู้สื่อข่าวหนึ่งเดียวที่ได้สัมภาษณ์ดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex แบบตัวต่อตัวระหว่างการทัวร์เยี่ยมเยียนประเทศแถบแอฟริกา แลเป็นที่ทราบกันดีว่า เขาได้รับโอกาสในการสร้างสารคดีที่สร้างความสนใจอย่างล้นหลามเพราะมีมิตรภาพที่ดีต่อทั้งคู่นั่นเอง


และความเห็นและข้อมูลที่เขาได้ฝากไว้ในบทสัมภาษณ์กับ  People magazine ก็ทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก   เพราะเขายืนยันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งภายในราชวงศ์นั้นเข้าขั้นวิกฤติ  


นี่คือความเห็นส่วนหนึ่งจากTom Bradby


- ความขัดแย้งเริ่มเกิดระหว่างช่วงพิธีเสกสมรส มีการทะเลาะเบาะแว้งและใช้คำพูดที่รุนแรงเกินเลย เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆคิดว่าเจ้าชาย Harry และMeghan มีพฤติกรรมที่ยากจะรับมือ แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่ากำลังถูกบีบให้ถอนตัวออกไป

- จะมีเรื่องน่าปวดหัวแทรกซ้อนขึ้นมอีกา ทั้งความขัดแย้งและความโกรธเคือง เรียกได้ว่า สถานการณ์มีแต่จะแย่ลง


- หลังจากที่หารือกับสมาชิกครอบครัวราชวงศ์คนอื่นๆมาหลายอาทิตย์ก่อนหน้า เจ้าชาย Harry ได้รับคำแนะนำให้บรรยายความคิดในเรื่องการลดสถานะเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเจ้าชายมิได้ต้องการจะทำเช่นนั้น เพราะเกรงว่าข่าวจะรั่วออกไปยังสื่อ แต่เชื้อพระวงศ์หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ได้ยืนยันว่าจะมีการหารือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง หากเจ้าชายยอมเขียน เมื่อตกลงทำตามก็มีข่าวรั่วไปถึง The Sun ทั้งคู่จำเป็นต้องประกาศข่าวเรื่องนี้ แม้ว่าราชวงศ์ต้องการให้ชะลอไปก่อน แต่เมื่อเจ้าชายพบว่ามีการปล่อยเรื่องสำคัญไปยังสื่อที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา จึงตัดสินใจไม่เก็บเงียบอีกต่อไป

(คำบอกเล่าของ Tom Bradby สวนทางกับแทบลอยด์ที่ระบุว่า สมเด็จพระราชินีและเชื้อพระวงศ์อาวุโสคนอื่นได้รับรู้ข่าวนี้จากสื่อ และคู่ Sussex ก็ได้ข้ามหน้าข้ามตาประกาศเรื่องใหญ่โตขนาดนี้โดยมิได้หารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ก่อน)


- คู่ Sussex คิดว่าไม่มีพื้นที่ให้พวกเค้าในราชวงศ์จึงต้องถอยออกมาเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบตัวเอง สำหรับอภิสิทธิ์ต่างๆ เช่น ที่พำนัก การป้องกันดูแล ฐานันดร หากราชวงศ์ต้องการจะยึดกลับไปก็ไม่ว่าอะไร พวกเค้าต้องการสนับสนุนสมเด็จพระราชินีต่อไป มีส่วนร่วมในการดำเนินงานการกุศลรวมไปถึงการทำงานระหว่างเครือจักรภพ แต่หากได้รับการชี้ชัดว่าไม่มีสิทธิ์จะเกี่ยวข้องกับงานเหล่านี้อีก พวกเค้าก็ยอมรับ




" บางคนอาจจะแย้งว่า Harry และ Meghan หัวแข็งและมีอิสระมากไป แต่หมู่สหายต่างเชื่อว่าพวกเค้าถูกบีบให้ออกไปต่างหาก คนสนิทของคู่นี้บอกว่า หากจะลดจำนวนเชื้อพระวงศ์ลง นี่เป็นการก้าวเดินที่ถูกทิศแล้ว แต่ความยุ่งยากซับซ้อนจะตามมาแน่นอน นี่คือสงครามครั้งใหม่ของราชวงศ์ Windsor  และสงครามก็ยังไม่ยุติ" Tom Bradby สรุปอย่างมั่นใจ



candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE