ใครพัง- ใครรอด - ใครพุ่งไกลในโลกธุรกิจของCeleb

45 8
.






Victoria Beckham กับอนาคตที่ไม่แน่นอนหลังแบรนด์ขาดทุนติดต่อกันหลายปี




บางคนอาจจะประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่า   แม้ Victoria Beckham จะสร้างแบรนดจนขยายสาขาshop ได้ถึง 400 แห่งทั่วโลก  และมักได้รับคำชมจากสื่อ fashionในผลงานที่ดูน่าประทับใจ   แต่สื่อชื่อดังที่ออังกฤษได้รายงานตรงกันว่า   นอกจากแบรนด์ VB จะไม่ทำกำไรแล้วยังขาดทุนเป็นร้อยๆล้านในระยะหลัง ๆ   เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแน่นอนจากตัวผู้บริหารว่า เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการกลับมาทำกำไรอีกครั้ง 


เรื่องแบบนี้ปิดกันไม่อยู่ค่ะ หลายคนผ่านไปผ่านที่ flagship store ของ VB แล้วก้ออกปากตรงกันว่าสัมผัสได้ถึงความเงียบเหงา คุณไม่เห็นคนดังที่มีอิทธิพลต่อการบริโภคของผู้ติดตามเลือกเสื้อผ้าของ VB มาใส่กันมากนัก หลังจากที่ตอนเปิดตัวแรกๆ สร้างความฮือฮาในหมู่เซเลบมากทีเดียวแต่กระแสก็เริ่มแผ่วหายไป ในที่สุด Victoria ก็ได้เปิดใจถึงภาวะขาดทุนนี้ว่า


" ถ้าชั้นอยากจะให้แบรนด์อยู่ต่อไป10 ไปจนถึง 40 ปี ชั้นต้องพยายาามให้ได้ทุนกลับมาให้ได้ค่ะแล้วค่อยมาทำกำไร ตอนนี้เราก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นปุบปับในวันพรุ่งนี้ "



แม้เธอจะหานักลงทุนมาพยุงแบรนด์ให้ไปต่อได้ แต่ก็มีข่าวลือออกมาว่า ธุรกิจที่เข้าเนื้อเป็นร้อยล้านพันล้านนี้อาศัยความช่วยเหลือจากเงินทุนของบริษัทของสามีนักฟุตบอลด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับมาสร้างยอดขายเปรี้ยงปร้างได้



อุปสรรคการอยู่รอดของ VB คืออะไร ?






การแข่งขันอันน่ากลัวของโลก Luxury brand

trench coat เนื้อผ้า cotton สนนราคาห้าหมื่นกว่าบาทเป็นหนึ่งในผลงาน collection ล่าสุดของ VB อาจจะมีราคาเบากว่า coat ของ Burberry หลายๆรุ่น แต่ก็คงปฏิเสธไมไ่ด้ว่า เป้าหมายผู้ซื้อของVictoria คือผู้เสพfashion กระเป๋าหนัก แต่การดึงลูกค้ามาจากห้องเสื้อชั้นสูงชื่อดังเป็นความท้าทายของเหล่าดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ ทำอย่างไรจะสร้าง brand loyalty เหมือนกับ brand ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังมาเป็นสิบๆปีหรือเป็นร้อยปีก่อนได้


และดูเหมือนว่า  VB  ยังก้าวข้ามอุปสรรคหนักหนานี่ไปไม่ได้    เมื่อต้องรับความจริงว่า  กลุ่มผู้ซื้อยังให้ความสำคัญกับการแสดงรสนิยมอันหรูหราจาก luxury brand ดังๆที่มีเหล่าเซเลบปลาบปลื้ม   เมื่อต้องเลือกช็อปสินค้าราคาแพงระยับแล้ว   หลายคนคงเลือกเข้าไปที่ store สัญชาติฝรั่งเศlหรืออิตาลีมากกว่า flagship store ของ VB





พันธมิตรจาก influencer ในโลกออนไลน์


คุณอาจจะเคยได้ยินมาก่อนว่า เมื่อใดที่บ้าน Kardashian จับมือกับดีไซน์เนอร์นำเสนอผลงานออกสื่อเมื่อใด เสื้อผ้าแบรนด์ดังกล่าวจะถูก copy อย่างรวดเร็ว influencer อีกหลายคนก็แต่งตัวแบบเดียวกันโชว์ตามInstagram


ตอนเปิดตัว brand ช่วงแรกๆ  เหล่าเซเลบต่างสวมใส่ชุดของเธอ   ไม่ว่าจะเป็น Beyonce    J Lo     Kate Winslet     Gwyneth Paltrow    Miranda Kerr    Blake Lively      แม้แต่ Blair แห่ง Gossip Girl ก็ยังใส่ใส่เดรส VB หลายครั้ง   เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี  เรากลับไม่ได้เห็นเซเลบใส่ VB กันเพียงประปราย   ไมไ่ด้ใส่ชนกันโครมครามเหมือนกับ luxury brand 



บางคนมองว่า  VB ยังไม่สามารถตีตลาดในระดับ mass จุดเด่นเรื่องสไตล์แบบ minimal  น่าจะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใหญ่  แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป  แม้แต่แบรนด์ชื่อเสียงเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความ Classic อย่าง Christian Dior หรือ Valentino ก็หันมาสร้างกระแสด้วย it girl ที่มีจำนวนผู้ติดตามเป็นร้อยล้าน ไม่ว่าพวกเธอจะใส่อะไรก็สร้างเสียงฮือฮาและกลายเป็นเทรนด์ฮ็อทฮิท

แม้ตัวเลขผู้ติดตามบน Instagram  ของ Victoria จะมีถึง 27.7 ล้าน  แต่สิ่งที่ดึงยอดlike และ comment จากชาวเน็ทได้มักจะเป็นภาพชีวิตส่วนตัวมากกว่าภาพสินค้าจากแบรนด์ VB  เมื่อเธอขยับมาทำ content บน youtube ก็เรียกผู้ติดตามได้เพียง125,000     ซึ่งตัวเลขนี้อาจจะพูดไม่ได้ว่าได้รับการต้อนรับจากแฟนๆอย่างอบอุ่น เมื่อนึกถึงเจ้าแม่ Internet อย่าง Kim ที่มีผู้ติดตามช่อง youtube ถึง 1.54 ล้าน  หรือจะเป็น Kylie ที่มียอดพุ่งกระฉูดไปถึง 7.54 ล้าน !
  Victoria ยอมรับว่าไม่เก็ทเทรนด์ที่ใครๆต่างคลั่งไคล้อย่าง crop top และการใส่jacket ไหล่ตกไปพาดตรงที่แขน  "  พวกเค้าทำเหมือนกับว่ามันตกลงมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ"


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กระแสของ VB เริ่มเป็นที่กล่าวขวัญขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อดัชเชส Meghan ได้เลือกชุดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์มาสวมใส่ออกงานและได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อแฟชั่นและชาวเน็ทว่า sleek style ช่วยเสริมความงามของเธอให้ดูเจิดจ้ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้จะเป็นอะไรที่ดู simple แต่น่าดึงดูดใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ VB ยึดมั่นมาตลอดนั่นเอง




Jamie Oliver


celeb chef ที่ต้องหลั่งน้ำตาให้กับธุรกิจภัตตาคารที่ล้มเหลว

หากพูดถึง  chef ชาวอังกฤษที่โด่งดังเป็นที่จดจำนั้น  หลายคนอาจจะนึกถึง Gordon Ramsay  ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูเป็นเงินเป็นทองไปหมด  แต่ chef รุ่นน้องที่สร้างชื่อเสียงในวงการอาหารและวงการ TV  อย่าง Jamie Oliver  กลับต้องสูญเสียเงินไปมากมายจากการเปิดร้านอาหาร franchise  ที่เคยมีสาขามากมาทั้งในอังกฤษและต่างประเทศ    และไม่สามารถยื้อไปได้ไหว ต้องปิดตัวภัตตาคารอาหาร Italian ลงไปจนเหลือเพียงไม่กี่สาขาเมื่อที่แล้ว  สต๊าฟกว่าพันคนกลายเป็นคนว่างงาน ในขณะที่ Jamie ได้แต่บอกอย่างเศร้าสร้อยว่า  ทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว   ไม่ว่าจะเป็นการอัดเงินลงทุน ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี   แต่ทุกอย่างต้องภินท์พังไปจนหมดสิ้น
เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เขายังมีภาพของ chef หนุ่มหน้าใส  และมีความเป็นกันเองดูเข้าถึงได้  Jamie กลายเป็นขวัญใจผู้ชมโดยไม่ต้องพึง social media  เขามีรายการอาหารเรตติ้งดี รวมไปถึงหนังสือทำอาหารที่ขายดีติดอันดับ 1   .ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ เขาสร้างอาณาจักรขึ้ที่แข็งแกร่งขึ้นมาจนยากจะเห็นความล้มเหลวในรออยู่ภายหน้า

นอกจากจะโด่งดังเรื่องบุคลิกภายนอกที่ดูดึงดูดใจและ style การนำเสนออาหารจานเด็ดที่ดูสบายๆ เข้าถึงได้ง่าย     เรื่องความสามารถนั้นโดดเด่นถึงขนาดถูกสื่อจับไปเปรียบเทียบกับ Gordon Ramsay   จนทำให้ทั้งสองไม่กินเส้นกันจนเปิดศึกออกสื่อเรื่อยมา    เพิ่งจะมาปรับความเข้าใจสร้างมิตรภาพกันอีกครั้งก็ตอนที่ธุรกิจของ Jamie ต้องปิดตัวลง  ทำให้ Gordon เห็นใจchef หนุ่มรุ่นน้องเป็นอันมาก และออกปากว่า
" มันช่างเป็นเรื่องน่าเสียใจที่คนมีพรสวรรค์จะต้องมาพบกับทางตันในธุรกิจเช่นนี้"

แม้จะเคยประกาศว่าจะไม่ยอมให้อภัยกับเรื่องราวบาดหมางในอดีต  แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมวงการต้องเป็นหนี้เป็นสินมหาศาล  Gordonก็รีบติดต่อเพื่อพูดคุยให้กำลังใจให้เดินหน้าต่อไป

" เราเริ่มมั่นใจในตัวเองเกินไป เราคิดว่าทุกอย่างมันจะไปได้สวย เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับ ผมจะไม่ทำมันอีกแล้ว ไม่มีวัน "

" การอยู่รอดในวงการนี้มันยากเย็นเหลือเกิน เมื่อก่อนนั้นผมคิดน้อยเกินไป ผมสามารถบริหารภัตตาคารหนึ่งแห่งได้เป็นอย่างดี แต่ผมคงเรียกตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งไม่ได้"





เจ้าตัวระบุว่า เรื่องของ Brexit คืออีกสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องหมดหนทางในการรักษาธุรกิจที่สร้างมาหลายปี

"โลกมันเปลี่ยนไป ธุรกิจ high street เปลี่ยนไป อะไรๆก็สั่งผ่าน Uber กันหมด บรรดาคู่แข่งของเราก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย มันทำให้รูปแบบของพวกเราดูไม่โดดเด่นแตกต่างจากเหล่าคู่แข่งเหมือนกับตอนแรกๆที่เราเริ่มต้น"

" พอมีเรื่อง Brexit เข้ามา ความมั่นใจของผู้คนก็ไม่เหลือ อุปนิสัยของผู้บริโถคก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"


ชาวเน็ทหลายคนเห็นตรงกันว่า  คนที่ทำอาหารได้เลอรสไม่ได้เป็นคนที่มีหัวธุรกิจเสมอไป  แม้ไอเดียต่างๆของ  Jamie จะฟังดูดี   แต่การบริหารจัดการร้านเป็นสิบๆสาขาไม่ได้มาตรฐานทัดเทียมกับความคาดหวังของผู้บริโภค    แม้เขาจะโด่งดังมาก  แต่ถ้ามีร้านใน franchise ที่สร้างความไม่พึงใจกับกับลูกค้า  ชื่อเสียงก็ไม่สามรรถช่วยเหลือธุรกิจให้อยู่รอดได้   ธุรกิจของเขาล้มละลายและสร้างหนี้สินมากมายกว่าสามพันล้านบาท!






Kylie Jenner  


จากดารา reality ที่ถูกเย้ยหยันกลายมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุด


หนึ่งในความจริงที่สมาชิกบ้าน Kar- Jenner ต้องเผชิญหน้าตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี้คือเสียงวิจารณ์รุนแรงจากผู้คนที่ไม่ปลาบปลื้มในเส้นทางความโด่งดังของพวกเค้า มีชาวเน็ทจำนวนมากที่มองว่า สาวๆเหล่านี้ไม่สามารถไปถึงดาวได้หากไร้พลังการขับเคลื่อนจากแม่ Kris ผู้ดำรงตำแหน่ง Momager ให้กับลูกๆทุกคน และมีความเชื่อว่าแม่ Kris เป็นเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวที่ถือเป็นหัวสมองในการสร้างอาณาจักร Kar -Jenner และเหยียดหยามสาวๆบ้านนี้ว่าเป็นพวกไร้สมองที่ต้องอาศัยคนอื่นคอยจัดการสร้างภาพ "นักธุรกิจหญิง" ผู้เก่งฉกาจ



แต่ความเป้นจริงนั้นเป็นไปตามเสียงโจมตีด้วยอคติหรือไม่ ?

Kylie ถูกจิกกัดว่าสร้างธุรกิจมาจากปากปลอมและapp แต่งภาพเพื่่ออัพโหลดบน Instagram     แต่ในขณะเดียวกัน   พวกเราได้เห็นคนดังที่แต่งเสริมเติมสวยด้วย filler และนำเสนอ lifestyle เลิศเลอผ่าน social media   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  พวกเค้าเหล่านั้นจะสามารถสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจนมีนายทุนกระเป๋าหนักมาเสนอข้อตกลงซื้อหุ้นราคามหาศาล    หลังจากที่ถูกปรามาสว่าจะรักษายอดขายสุดปังได้เพียงระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหมดกระแสความนิยมไปในที่สุด   แต่ Kylie กลับทะยานเข้าสู่รายชื่อนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว  และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งแต่อย่างใด 
ในขณะที่สาวๆบ้าน Kar-Jenner ถูกเยาะเย้ยว่าเป็นพวกไร้ talent ที่อาศัยลูก fluke และเส้นสายจนก้าวมาอยู่แถวหน้าได้  แต่ในขณะเดียวกัน  Kylie กองทัพ fanclub ที่ยกย่องให้เธอเป็นไอดอลที่สร้างแรงบันดาลใจในเรื่องความงามและชีวิตสุดเลิศเลอ     ผู้เขียนเคยพบความเห็นหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า   ความโด่งดังของ Kylie ไม่จำเป็นต้องใช้ talent ที่ดึงดูดใจวัยทีนอย่างเรื่องดนตรีหรือการแสดงเหมือนอย่าง Selena Gomez หรือ Taylor Swift   แต่เธอมีภาพลักษณ์ที่เด็กสาวมากมายใฝ่ฝันถึง      เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้ยึดติดแล้วว่าต้องทุ่มเทพยายามเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อประสบความสำเร็จ   โลกแห่ง social media สามารถให้เนรมิตให้  nobody กลายเป็น somebody ได้ในพริบตา      ก่อนที่เธอจะสร้างธุรกิจ Kylie Cosmetics ขึ้นมา  ก็มีสาวๆจำนวนไม่น้อยที่เปลี่ยน style แล้วโชว์ภาพที่ดูเหมือนกับ Kylie แทบจะแยกไม่ออก   เมื่อได้กลายมาเป็นผู้บริหารบริษัมผลิตภัณธ์เพื่อความงามที่มี followers มากที่สุด     ก็ยิ่งสร้างกระแสความชื่นชมมากขึ้นไปอีกหลายเท่า



ยิ่งมีเสียงต่อต้าน  ยอดขายยิ่งพุ่ง


Kathy Griffin คนสนิทของครอบครัว Kar-Jenner ได้ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ในขณะที่ผู้คนมากมายหัวเราเยาะเย้ยหรือล้อเลียนสมาชิกบ้านนี้ พวกเค้าไม่แยแสแต่กำลังนั่งนับเงินเป็นฟ่อนทุกครั้งที่มีประเด็นโจมตีต่างหาก!



และนั่นไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินเลยแต่อย่างใด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือดราม่า " Self - Made Billionaire" จากการเชิดชูของ Forbes magazine เรียกได้ว่าพอมีการเปิดเผยคำนิยามความเป็นนักธุรกิจที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเองของ Kylie แล้ว ก็ ตู้ม! กลายเป็นดราม่าครันช์เกลื่อนTwitter




แม้ในช่วงแรกที่ถูกโจมตีเรื่องคำว่า self - made นี้ Kylie และครอบครัวจะยืนยันว่า เธอมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับคำนี้เต็มที่ เพราะสร้าง Kylie Cosmetics ขึ้นมาจากเงินทุนที่ตัวเองเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และไม่ได้ใช้เงินมรดกครอบครัวสักเซนต์เดียว แต่ในที่สุด Kylie ก็ได้ยอมรับว่า รูปแบบธุรกิจของเธออาจจะไม่เข้ากับคำว่า self - made ได้เต็มที่


" ชั้นคงพูดไม่ได้ว่าสร้างทุกอย่างด้วยตัวเองหมด คือถ้าตัดสินกันจากเรื่องการเงิน ในทางเทคนิคแล้วก็ใช่นะคะ ชั้นไม่ได้มีเงินช่วยจากมรดกครอบครัว แต่ชั้นได้รับการช่วยเหลือผลักดันมามากมายและยังมีมีต้นทุนความเป็นคนดังอยู่แล้วด้วย"


Kylie ยังต้องเจอกับเสียงโจมตีจาก influencer ชื่อดังถึงคุณภาพของสินค้า แเมื่อนำเสนอ collection แปรงแต่งหน้า ก็ถูกกล่าวหาว่าตั้งราคาสูงเกินเบอร์!  และยังมีการจับผิดไปทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่การตั้งชื่อสินค้าไปจนถึงreview การล้างหน้าบน social media    ซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก  เพราะความสำเร็จถล่มทลายในระยะเวลาเพียงไม่นานของคุณแม่เซเลบยังสาวนี้ทำให้ผู้คนมากมายอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก


แต่ถ้าถามว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ส่งผลต่อธุรกิจของเธอหรือไม่ ?



หลังจากที่มีการตั้งข้อสงสัยกันมาสักพักว่า ตกลงแล้ว Kylie สามารถทำกำไรจากการสร้างธุรกิจนี้จนกลายเป็นคนดังอายุน้อยที่สุดที่มีมูลค่าพันล้านจริงหรือเป็นการปั่นตัวเลขขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการขายหุ้นให้กับนายทุนในภายหลัง Kylie ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า แบรนด์ของเธอมีมูลค่าสูงลิบลิ่วมากพอที่จะทำให้ Coty Inc.ทุ่มเงินหกร้อยล้านเพื่อซื้อหุ้น 51 % จาก Kylie Cosmetics และกลายมาเป็นpartner ที่จะร่วมกันพัฒนาแบรนด์ให้ mass และประสบความสำเร็จขึ้นไปกว่าเดิม แม้เงินจำนวนมหาศาลนี้จะต้องถูกหักภาษีไปเพียบ ( มีรายงานว่า เธออาจจะเสียภาษีกว่าสองร้อยล้าน) แต่ก็เป็นการประกาศศักดาแห่งนักธุรกิจหญิงที่ทรงพลังจนสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ

ไม่ว่าจะสร้างธุรกิจมาด้วยวิธีใด ชีวิตที่สุดเลิศหรูตั้งแต่ลืมตาตื่นไปจนถึงการอุ้มลูกสาวน่ารักมาร่วมประชุมงานในออฟฟิศสีชมพูกลายมาเป็นความฝันของแฟนๆจำนวนมากมาย แม้เส้นทางคนดังของเธอจะเต็มไปด้วยดราม่าและการโจทตีจากชาวเน็ท แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับได้อย่างจริงใจว่าไม่อยากครอบครองความสำเร็จเช่นนี้ ?


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE