รีวิวสกินแคร์ที่ใช้จริงประจำปี 2019

ก่อนจะลากันไปในปี 2019 ขอมารีวิวสกินแคร์ที่ใช้ตลอดทั้งปีแบบใช้จริง ลองจริง หมดจริงและคิดว่าเป็นปีที่ลองสกินแคร์เยอะที่สุดแล้ว
Disclaimer ส่วนตัวเป็นคนผิวผสมค่อนไปทางแห้ง คือแห้งชนิดเซบเดิร์ม แบบหน้าลอก แต่เป็นเฉพาะช่วงหน้าหนาว หรือมลพิษเยอะ

ถ้าพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยค่ะ 

เริ่มต้นกันที่คลีนซิ่ง/ คลีนเซอร์
ที่ชอบที่สุด ขอยกให้ Bifesta ขวดสีฟ้าสำหรับผิวผสม ใช้มาหลายปี ล้างสะอาดหมดจด มีส่วนผสมของ mineral extract ราคาสมเหตุสมผล (แต่ลืมเก็บขวดไว้) 555555555 ?
แต่เนื่องจากปีสองปีที่ผ่านมา Micellar ก็คือดังมาก เลยต้องหามาลองให้อินเทรนด์
แน่นอนว่าตัว Bioderma ทำได้ดีอยู่แล้ว ล้างสะอาด ไม่ทำให้หน้าแห้ง ไม่มีสิวอุดตันชัดเจนส่วน L’Oréal กับ Garnier ก็ทำคุณภาพได้พอๆกัน แต่ L’Oréal เป็นบริษัทในเครือเดียวกับ Bioderma เทคโนโลยีก็คงแชร์กันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพเลย เพียงแต่หัวบรรจุภัณฑ์ทำออกมาน่าผิดหวังไปหน่อย

ถ้าให้เลือกก็คงเลือก Bioderma กับ Bifesta ต่อไปค่ะ สะอาดปลอดภัย ไว้ใจได้

แล้วก็ลูกรักอีกตัวนึงของ banila co สูตร original - ถ้าวันไหนแต่งหน้าจะไม่ล้างด้วย cleansing water เลย เพราะเปลืองทั้งสำลี และระคายผิวง่าย ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายในระยะยาว เลยเลือกใช้ตัวบาล์มถูๆ จนกลายเป็นน้ำนม ล้างสะอาดหมดจด ไม่แห้งตึง จ้าา

ต่อมา zone: โฟม / เจลล้างหน้า

ที่ 1 ในใจขอยกให้ facelab แบรนด์ไทย เพราะราคาดีมากๆ ล้างแล้วหน้าสะอาดรู้สึกถึงความชุ่มชื่นยังคงอยู่ และไม่มีพวก แอลกอฮอล์ paraben SLS น้ำหอม ผสมอยู่ด้วย คือเลิฟมาก ลักษณะเป็นเนื้อเจล ใส่ไม่มีฟอง ถ้าไม่ได้แต่งหน้าหนัก เราว่าเหมาะกับชีวิตประจำวันมากๆ อารมณ์เหมือนพวก cetaphil แต่ต่างกันที่เนื้อน้ำนมกับเจลค่ะ

สำหรับ Toleriane Laroche Posay เป็นโฟมมีฟอง ไม่มีน้ำหอมเหมือนกัน ล้างสะอาด แบบว่าล้างทั้งๆที่แต่งหน้าโดยไม่ใช่คลีนซิ่งก็ทำได้ แต่บางทีรู้สึกว่าล้างแล้วหน้าแห้งตึงไป นี่ขนาดเลือกสูตรผิวผสมแล้วนะราคาถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะ 800 กว่าบาทใช้มาครึ่งปีแล้ว ยังไม่หมดเลย ต้องทนใช้ต่อไปก่อน

ส่วน duo effaclar ของ Laroche Posay เป็นครีมลดสิวอุดตัน และลดริ้วรอยแดงดำ เราว่าช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น คือเหมือนไม่ทำให้สิวเยอะขึ้น แต่ของเก่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้ยุบหายไปหมด แค่ขนาดเล็กลง เพราะสุดท้ายแล้วก็ควรไปกดออกอยู่ดีนะคะ

น้ำตบ / โทนเนอร์

จริงๆแล้วน้ำตบหรือโทนเนอร์มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำซึ่งคุณสมบัติหลักของน้ำตบมันแค่กันน้ำระเหยออกจากผิวค่ะ เป็น เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรมาก ประสิทธิภาพไม่สามารถช่วยเท่าตัวครีมหรือเซรั่มหรอก อาจจะเป็นแค่คำโฆษณาและการตลาดเท่านั้น

ตัวแรกประเดิมด้วย biotherm แทบทรุดค่ะ ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่แบบ อิหยังของอิหยัง 55555555 มีทุกอย่างทั้งแอลกอฮอล์ และน้ำหอม คือ มาเคลมว่าช่วยเรื่องกระจ่างใสอีกอ่ะ ทุกคนควรหนีไป เพราะว่าไม่เหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย

สำหรับตัวน้ำตบเห็ดยังดีหน่อย ตบแล้วให้ความรู้สึกถึงกลิ่นสมุนไพร ช่วยเรื่องความสดชื่นและปลอมประโลมผิวได้ "อิปลอมประโลมผิวแปลว่าไรวะ" ตอนแรกๆก็สงสัย ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ มันก็คือแบบทำให้ผิวไม่ระคายเคืองนั่นแหละ ใช้ได้เรื่อยๆราคาเหมาะสมที่่จะเป็นน้ำตบ อันนี้คือผ่านนนนน

ส่วน Estée Lauder ใช้คู่กับซีรั่มแล้วรู้สึกว่าเห็นผลดีขึ้น เรียบเนียน อิ่มน้ำ ชุ่มชื้น แต่ถ้าใช้แยกก็ไม่รู้ว่าคุ้มไหมที่จะซื้อน้ำตบราคาขนาดนี้

สุดท้าย glow tonic ขวดสีส้มมีส่วนผสมของ glycerlic ก็คือเป็นสารสังเคราะห์มีความเป็นกรดนั่นแหละ เอามาเช็ดเป็นโทนเนอร์ ให้มีการผลักเซลล์ผิวอ่อนๆก็เหมาะดี แต่ไม่ควรใช้ทุกวันนะคะ

อันนี้ไม่มีอะไรมากเลย คือถ้าหน้าแดงคัน ใช้ physiogel แต่ถ้าต้องการความชุ่มชื้นปกติ Cerave ทำได้ดีและราคาย่อมเยาว์กว่า เห็นผลจริงเหมือนกัน มีสารความชุ่มชื้นครบถ้วนทั้ง ceramide hya ผิวมันขาดน้ำก็ใช้ได้นะคะ เพราะเนื้อบางเบาซึมเร็ว ไม่อุดตันค่าา

ปีนี้ลองเซรั่มถล่มทลายมากค่ะ ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงพัน

เราว่า Fundamental ของไทย ที่เป็น sensitive soothing serum - SSS ก็คือใช้ได้ดีเลยค่ะ เพราะว่าใช้ช่วงต้นปีที่แล้วตอนผิวแห้งคัน ตอน P.M. 2.5 กำลังพีคๆ ก็คือผิวแข็งแรงขึ้น รอยแดงและอาการคันลดลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความที่เป็นสาร active skin แบบไม่มี lab จริงจังก็ไม่รู้ว่าควรใช้ต่อไป ส่วนของ white glow ที่ช่วยปรับสีผิว ก็คือเฉยๆนะคะ เราว่ามันควรใช้ต่อเนื่องมากกว่า 1 ขวดละมั้ง แต่เราไม่มีความพยายามมากพอ555555

ต่อมาขอพูดถึงตัวที่คล้ายกัน ระหว่าง D program - Urban damage กับ Clinique iD soothing jelly กับตัว booster สีขาวที่ช่วยเรื่องปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเจลใสๆ ไม่มีน้ำหอม ช่วยเรื่องการป้องมลภาวะ และเตรียมผิวให้ความชุ่มชื้นดีทั้งคู่ แต่ของClinique พิเศษกว่าตรงที่ว่า นางเคลมว่าตัวเองช่วยเรื่องปรับสีผิวสม่ำเสมอด้วยนะ แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนขนาดนั้นค่ะ

ต่อมาขอเป็น seikisei emulsion อันนี้บอกเลยก็คือเป็นโลชั่นเว่อร์ชั่นเหลวกว่านั่นและค่ะ ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใสได้ดีมากๆ อย่างที่เคยบอกว่ามีช่วงเราไปว่ายน้ำ outdoor คือนางก็ช่วยให้ผิวฟื้นฟูและกลับกระจ่างใสดีขึ้น ข้อเสียก็คือผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นส่วนมาก ไม่ค่อยแบนพวกสาร preservative ก็มีทั้งพาราเบนและแอลกอฮอล์ กลิ่นก็แปลกมาก ใช้จนหมดก็ยังไม่ชินสักที

ต่อไปก็คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Spotless ของ Eucerin ใช้ทั้งตัวที่เป็น corrector และ serum อันนี้บอกเลยว่าช่วยเรื่องความกระจ่างใสและสีผิวสม่ำเสมอชัดเจนที่สุดในบรรดาทุกตัว แต่เรื่องกระ อาจจะดูจางลงแค่ 5-10% เท่านั้น ซึ่งผิวหนังชั้นในอาจจะมีเม็ดสีลดลงก็ได้ ถ้าไปเช็ค skin lab แต่เราไม่โทษสินค้าเขาเลย เพราะกระเป็นกรรมพันธุ์ที่มีมาตั้งแต่เด็กและชัดเจนอยู่แล้ว ก็ถือว่าผลิตภัณฑ์เขาช่วยไม่ให้สีเข้มขึ้นได้ระดับนึง
แต่ยังไงก็แล้วแต่บางครั้งเวลาทาแค่ serum ของเขาอย่างเดียว (แม้ว่านางจะมี hya ผสมมาแล้วก็ตาม) โดยไม่ตามด้วย moisturizer อันอื่น หน้าแอบมีอาการแดงๆ บ้าง อาจเพราะมีสารกลุ่ม vitamin / termidols ที่ช่วงเรื่องปรับสีผิว ผลัดเซลล์อยู่

สุดท้ายยย ตัวที่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เซรัมในตำนาน ANR ของ Estée Lauder คือดีที่สุดในสามโลก เราทาแบบวันเว้นวันนะคะ เฉพาะกลางคืน ตื่นมาคือหน้าอิ่มฟู แบบชุ่มชื้น เหมือนนอนมา 10 ชม. ไม่อุดตัน และทาบำรุงหรือแต่งหน้าติดดีขึ้นด้วย
ต้องไปตำๆๆๆๆๆ และควรซื้อ 100 ml ไปเลย (รอเก็บตังซื้ออยู่เหมือนกันจ้า)

ต่อกันที่สกินแคร์ ที่สำคัญที่สุดในชีวิต
"ครีมกันแดดด ผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนต้องมี ไม่มีไม่ด้ายยยย"

ก่อนหน้าใช้ Smooth E Physical suncreen มานานพอสมควร เพราะเชื่อในเรื่องสารกันแดดของ physical มากกว่า แต่พอหาข้อมูลไปมา พบว่าสมัยนี้สารกันแดดมันก็พัฒนาไปไกลแล้วอะเนอะ ใช้อันที่มันผสมกันทั้ง chemical physical ก็ได้
เพราะฉะนั้น เราเชื่อว่ากันแดดใช้ตัวไหนก็ได้หมดค่ะ
แต่ถ้าให้เลือกตอนนี้ เลือกยูเซอรีนมากกว่า supergoop นะ เพราะเรื่องความเสถียร (กันแดดคงทนกว่า) และสารกันแดดเยอะกว่า

แต่ถ้าออกแดดจัด เล่นกีฬากลางแจ้ง แนะนำต้อง ”Laroche แถบเขียวเท่านั้น” เพราะว่านางกันแดดได้นาน กันน้ำได้ดี เราทาสำหรับว่ายน้ำคืออยู่ทนมาก และสีผิวไม่คล้ำหมอง คือมันคล้ำขึ้นและถ้าออกแดดนานๆ ซ้ำๆ แต่ไม่หมอง และสีผิวกลับสม่ำเสมอได้เร็ว เลิฟสุด ❤️❤️

ส่วนกันแดดตัว ก็เหมือนกับกันแดดหน้าทั่วไปแหละ ทาอะไรก็ได้ก็ดีกว่าไม่ทาทั้งนั้น แต่เราชอบ Biore รุ่นเต้ยอันนี้ เพราะแห้งเร็วดีค่ะ 

ต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึง บรรดา mask แล้วค่ะ

จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าเคยอยากได้ rose face mask ของ fresh มาก่อน แต่ราคาสูงเลยพยายามหาข้อมูลจากเน็ตและพบว่ามี dupe ของ the body shop อยู่ เลยตัดสินใจซื้อมาลอง สรุปเวิร์คมาก ในราคาที่ถูกกว่าครึ่งนึง
British rose เป็นสูตรที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น ทาแล้วเย็นๆ ล้างออกแล้วหน้านิ่มเลยจ้าาา ??
ส่วน Himalaya Charcoal ก็เป็นตัวที่ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตามลักษณะพื้นฐานของถ่าน ด้วยความที่เราหน้าแห้ง เราทาเฉพาะช่วงบริเวณ ทีโซน ตรงจมูกกับคาง ก่อนล้างออกเอาน้ำพรมๆและขัดเบาๆ สิวเสี้ยนก็หลุดเลย ค้นพบวิธีโดยไม่ต้องดึงสิวเสียนด้วย mask pads เลยค่ะ

สำหรับ origins ตัว modern friction ใช้สำหรับสครับหน้าแบบอ่อนโยน ไม่ได้มีส่วนผสมของ microbes นะจ้ะ เป็นเม็ดๆที่ทำมาจากข้าวแทน organic มาก พอเราขัดออกมา หน้านุ่มแบบนุ่มเหมือนแป้งนวดไว้อะค่ะ 5555 ดีจริง แต่ข้อเสียคือมีความระคายเคืองอยู่บ้าง ถ้าโดนบริเวณรอบดวงตา หรือ ถูนานเกินไปก็มีแสบบ้าง

ตัวสุดท้าย drink up วันไหน นอนดึก ตื่นเช้า โบกไปเลยจ่ะ เข้มข้นมาก ตื่นมาหน้ายังอิ่ม และชุ่มชื้นเหมือนเพิ่งทาไปเลยไม่ได้อวย แต่ๆๆๆ ข้อเสียนางก็คือมีกลิ่น fruity เบาๆ และมันซึมช้าอ่ะ คือ เข้มข้นมาก มันเลยแอบหนักหนา เวลาจะนอนค่ะ 

สุดท้ายย หมวดอะไรก็ไม่รู้ แต่อยากแนะนำมากๆค่ะ

จับเต่าเหยียบโลก คือสมุนไพรไทยที่ควรไประดับโลกได้แล้ว เรารู้สึกว่ามันดีกว่า roll on ร้อยเท่าเป็นแป้งสมุนไพรที่ไม่ทำให้เป็นคราบ ไม่มีกลิ่นระหว่างวัน ไม่เลอะเสื้อผ้า

Foot fix ของมิสทีนหาซื้อยากมาก ณ ปัจจุบัน แต่สั่งจากช้อปปี้ได้ คือถ้าเท้าเริ่มด้าน แห้งเมื่อไร ใช้ตัวนี้สองสามวันผิวเท้ากลับมาชุ่มชื้นเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นมาก่อน

Dalan D olive เป็นครีมสารสกัดจากมะกอก ได้มาเป็นของฝากจากตุรกีคือใช้ดีมาก เพราะว่าเวลาหน้าลอกระหว่างวัน มือแห้ง ใช้อันนี้แค่นิดเดียว กลบรอยแห้งเป็นขุยได้ทันที คือเจ้มจ้นกว่านี้ไม่มีอีกล้าวแม่

ส่วน Mederma ซ้ำกับโพสบนแล้วนะคะ ขออภัยอย่างสูง

สำหรับปีนี้มีเท่านี้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
มีอะไรอยากจะแนะนำให้ลองก็แลกเปลี่ยนกันได้เลยนะ ยินดีมากๆค่า 

และสุดท้ายนี้ขอสวัสดีปีใหม่สมาชิก Jeban ทุกคนล่วงหน้าให้มีแต่ความสุขทำอะไรก็เฮงๆ รวยๆทุกคนนะคะ