ศัพท์ Slang ของชาว Millennials ภาคต่อ

43 10
ยังได้รับคำถามเรื่องศัพท์ที่ฟังแปลกหูที่ได้ยินจาก social media กันอย่างต่อเนื่อง    เราจึงขอรวบรวมอีกหลายคำที่น่าสนใจ จะได้อินกับ gossip กันได้มากขึ้นยังไงล่ะ




Rich- Shaming (N)  หรือ Rich- Shame (V)


คุณอาจจะได้ยินคำว่า body - shaming  (การเหยียดรูปลักษณ์)   หรือ fat - shaming (การเหยียดเรื่องความอ้วน) มาก่อน   แต่พอมาถึงคำนี้  คุณอาจจะสะดุดว่า  เอ๊ะ   ความรวยนี่มันเหยียดกันได้ด้วยเหรอ ? 
ลองคิดถึงคำพูดจิกกัดเหล่านี้สิคะ


" มีเงินอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้อง ... ด้วย"


" ใช้เงินเหมือนเผาเล่นแบบนี้ เคยบริจาคช่วยคนจนบ้างรึเปล่า"


" รวยยังไงก็รสนิยมแย่อยู่ดี"


นั่นแหละคือตัวอย่างของ rich - shaming 

ทำไมผู้คนจึงพยายามวิพากษ์วิจารณ์ให้คนรวยต้องรู้สึกแย่ ?


มันอาจจะเกิดจากหมั่นไส้ในตัวบุคคลที่มีเงินล้นเหลือเป็นทุนเดิม แต่หลายคนก็เชื่อว่า ต้นเหตุส่วนใหญ่ความอิจฉาริษยาที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ปรนเปรอตัวเองด้วยวัตถุจนต้องเข้าไปจิกกัด lifestyle แบบร้วยรวยของคนอื่น และใช้บรรทัดฐานของตัวเองพิพากษาว่า การใช้เงินมากมายขนาดนั้นเป็นเรื่องย่ำแย่ที่ยกจะทำใจยอมรับได้

ดังกรณีที่ Cardi B มอบของขวัญวันเกิดแก่สามีเป็นเงินสดตีมูลค่าเป็นเงินไทยราวๆ 15 ล้านบาท       ปฏิกิริยาของชาวเน็ทมีทั้งอู้วอ้าด้วยความทึ่งในความร่ำรวย  แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่แสดงท่าทียี้แหวะใส่

และยังมีความเห็นอีกมากมายที่ตำหนิ Cardi ว่า ทำไมไม่เอาเงินนั้นไปช่วยเหลือผู้ยากไร้หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เงิน  และไม่สามารถมองข้ามไปได้ว่า  ความเหลื่อมล้ำนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณและไม่มีทีท่าจะยุติไปได้       การใช้จ่ายที่ไม่สิ้นสุดของผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนหนึ่ง  แต่ข้อเท็จจริงก็ยังอยู่ตรงหน้า   ก็นั่นมันเงินของเค้า   หากไม่ได้เป็นการใช้จ่ายที่อยู่บนความผิดศีลธรรมและกฎหมาย  พวกเค้าก็มีสิทธิ์ใช้เงินที่หามาได้อย่างเต็มที่  คำพูดตำหนิติเตียนมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงไปได้



Photo Op



มาจากคำว่า photograph opportunity    หมายถึง  การร่วมถ่ายภาพกับคนดังในสังคมเพื่อใช้สร้างภาพลักษณ์หรือผลประโยชน์บางอย่าง

มีคนถามเราถึงความหมายคำนี้มาแล้วสองครั้งค่ะ   จากข่าวของ Kim K  ที่เคยถูกจัดให้อยู่ในตัวแทนของความฟุ้งเฟ้อในสังคมวัตถุนิยม  เมื่อเจ้าตัวต้องการจะสร้าง platform ที่แตกต่างจากภาพเดิม นั่นคือการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องโทษในเรือนจำที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม   การใช้ power ในฐานะคนดังที่มีผู้ติดตามมากมายทั่วโลกก็ทำให้ได้รับเชิญไปที่ทำเนียบขาวและมี photo op กับประธานาธิบดี Donald Trump   ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์แบบ win - win     Kim สามารถช่วยเหลือนักโทษหญิงสูงวัยที่ได้รับการโทษหนักเกินกว่าความผิดตัวให้ได้รับอิสระได้   ส่วนประธานาธิบดีก็ได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าผู้สนับสนุนและสร้างฐานเสียงให้มั่นคงขึ้น   



Mansplain


มันคือการอธิบายความคิดของผู้ชายต่อสถานการณ์หนึ่งๆ ว่าผู้หญิงควรต้องรู้สึกหรือปฏิบัติตนเช่นไร    น้ำเสียงของคำแนะนำเหล่านี้ จะแฝงไปด้วยการยกตัว และเชื่อความคิดของพวกเค้าย่อม  work กว่า


ช่วงที่ปรากฏการณ์ MeToo กำลังร้อนฉ่า และมีชายที่โด่งดังถูกแฉเรื่องความผิดทางเพศคนแล้วคนเล่า Matt Damon ได้ตกเป็นเป้าโจมตีจากการแสดงความเห็นปกป้องศิลปินดังแห่งวงการตลกที่ต้องหมดอนาคตในการงานเพราะล่วงละเมิดผู้หญิงด้วยการ งัดเอาของลับออกมาสำเร็จความใคร่หน้าพวกเธอ

เพราะอะไร Matt ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก Mansplaining ?




พระเอก A List รายนี้ถูกถล่มเละ จากการให้ความเห็นว่า เรื่องบัดสีของ Louis CK เป็นการกระทำที่อยู่ในลำดับที่ไม่รุนแรงเหมือนกับการข่มขืน

"เราต้องเรียงลำดับให้ดีๆครับ คือการที่ถูกแตะก้น การข่มขืน หรือการล่วงละเมิดทางเพศเด็กมันก็มีความแตกต่างกันนี่นา พฤติกรรมเหล่านั้นจะต้องถูกจัดการไม่ให้เกิดขึ้นอีกโดยไม่ต้องสงสัย แต่เราก็ไม่ควรจัดกลุ่มว่ามันความผิดระดับเดียวกัน"

" พวกที่ข่มขืนและล่วงละเมิดทางพศเด็กก็ต้องไปเข้าคุก แล้วก็ต้องมีการส่งตัวไปบำบัดรักษาให้หยุดพฤติกรรมอาชญากร มันเป็นวิธีรับมือกับพฤติกรรมเหล่านั้น แต่เรื่องอื่นๆ นอกจากนั้นน่ะมันก็แค่เป็นอะไรที่น่าอับอายและน่าขยะแขยงมากกว่า"


ใช่แล้วค่ะ Matt ได้บอกกับพวกเราว่า การเปิดอวัยวะเพศขึ้นมาสำเร็จความใคร่ให้ผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เห็นนั้น ไม่ใช่เรื่องหนักหนาพอจะยุติอาชีพอันรุ่งโรจน์ของLouis C.K


"ผมไม่ได้เป็นคนรู้จักกับ Louis C.K  ไม่เคยพบเค้า  แต่เป็นแฟนของเค้าครับ     ผมไม่คิดว่าเค้าจะทำแบบนี้อีก    ผมมองว่าสิ่งที่เค้าต้องแลกไปมันเหนือกว่าการกระทำของเค้ามาก    เราควรต้องมีการขีดเส้นแบ่งลำดับของพฤติกรรมเหล่านี้ให้ชัดเจน"






ทั้งชาวเน็ทและตัวแทนหน่วยงานที่ปกป้องผู้หญิงจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ชี้ชัดว่า แนวคิดของ Matt อาจจะนำไปสู่อันตรายได้ขนาดไหน

- เขานำพฤติกกรรมโชว์อวัยวะเพศและสำเร็จความใคร่ให้เหยื่อดูไปเปรียบเทียบกับอาชญากรรมที่รุนแรงกว่า เพื่อจะย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก แค่เสื่อมเสียชื่อเสียง และบ่งบอกเป็นนัยว่า ผู้กระทำต้องชดใช้เกินความผิดตัวเองไปมาก

- แต่ Matt ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องมาเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนี้ เขาไม่ได้พูดถึงจิตใจของเหยื่อเลย แต่เน้นไปที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในชีวิตของชายผู้กระทำ คนเรามีการตอบรับกับสถานการณ์เช่นนี้ต่างกัน บางคนอาจจะทำใจได้ว่าเป็นแค่เรื่องร้ายที่ผ่านไปแล้ว แต่ก็ต้องมีคนที่หวาดระแวงว่าจะเกิดเรื่องย่ำแย่แบบนี้อีก

- พฤติกรรมของ Louis C.K. ลำเส้นความปกติไปมาก แม้แต่ในสตูดิโอที่ทำงาน เขาก็ยังบีบให้นักแสดงตลกสาวเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อจะได้ชมฉากช่วยตัวเองของเขาแบบสองต่อสอง

- แต่ Matt กลับฟันธงเอาเองว่า เรื่องพรรค์นี้จะไม่เกิดซ้ำอีก ทั้งๆที่พฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้อีกโดยที่ผู้กระทำไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาใช้ความคิดแบบ Mansplaining ตัดสินว่า เมื่อถูกสังคมลงโทษแล้ว ก็จะไม่มีการกระทำผิดทางเพศซ้ำ ทั้งๆ Matt ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักบำบัดที่ทำงานเพื่อแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้

- Louis C.K. ยอมรับผิดว่าใช้ power บีบบังคับให้ผู้หญิงเพื่อสนองอารมณ์ทางเพศ แต่ตัวเหยื่อที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวถูกแฟนๆของเขารุมด่าว่าอย่างหยาบคายว่าด้วยความโกรธเกรี้ยวว่าได้ทำลายอนาคตของตลกรุ่นใหญ่คนนี้ และ Matt ก็ยังมองข้ามถึงสิ่งที่เหยื่อต้องเผชิญ ทั้งๆที่พวกเธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย


ไม่เพียงแต่ชาวเน็ท เพื่อนร่วมวงการก็ยังแสงความเห็นโต้แย้ง แม้แต่แฟนเก่าของ Matt อย่าง Minnie Driver ก็ออกโรงฉะว่า นี่มันเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ขนาดผู้ชายที่ดีอย่าง Matt ยังคิดแบบนี้แทนที่จะรับฟังและยอมรับว่า การล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องเลวร้าย


เจอกระแสถล่มติดต่อกันพักหนึ่ง Matt ก็ยอมถอยค่ะ

"ผมน่าจะเป็นผู้รับฟังให้มากกว่านี้ก่อนที่จะเสนอความคิดเห็นขึ้นมา และที่สำคัย ผมไม่อยากให้ใครต้องเจอความเจ็บปวดไปมากกว่านี้ด้วยคำพูดหรือการกระทำของผม ดังนั้น ผมเสียใจจริงๆครับ"





แต่นี่ไม่ใช่ดราม่าเรื่อง mansplaining ครั้งแรกของ Matt เมื่อไม่กี่ปีก่อน  เขาก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วง  หลังจากไปพูดขัดผู้กำกับหญิงผิวชื้อสายแอฟริกันที่กำลังอภิปรายปัญหาการขาดความหลากหลายทางเชื้อชาติในวงการ Hollywood  ในขณะที่เธอเป็นผู้หญิงผิวดำเพียงคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนทำหนังผิวขาวในรายการ TV  และมีประสบการณ์ตรงที่ควรจะมีคนรับฟัง   แต่ Matt ไม่ปล่อยให้เธอได้พูดอย่างเต็มที่ กลับอธิบายเรื่องราวสวนขึ้นมาราวกับว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง   และชาวเน็ทก็ไม่ได้ happy  กับเรื่องนี้เอาซะเลย   ในที่สุดเขาก็ต้องส่งคำขอโทษตามมาไม่ต่างจากเรื่องของ  Louis C.K.  

* ในตอนนั้นประเด็นมันร้อนแรงจนมีคนบัญญัติคำมาประชดว่า Damonsplaining และมันก็ได้มีความหมายด้านบวกเท่าไร





Cancel Culture



Taylor Swift ประกาศว่า เธอเบื่อหน่าย cancel culture เหลือเกิน

จริงๆแล้วมันคืออะไรกันล่ะ ?

มันคือปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์เมื่อมีใครบางคนถูกกล่าวหาในบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ชอบใจ และเรื่องนั้นได้ปลุกกระแสต่อต้านบุคคลนั้นไม่ให้เหลือพื้นที่ในสังคม


อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรการันตีว่า cancel culture จะทำลายอนาคตของผู้ที่ถูกโจมตีได้ทุกกรณี คนดังจำนวนไม่น้อยถูกตราหน้าด้วยคำว่า cancel มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอลังการไม่เจอกับขาลง (อะแฮ่ม ๆๆ Kanye West )


แม้จะยังรักษาสถานะความมั่งคั่งได้อย่างไม่ตกหล่น   แต่ cancel culture อาจจะสร้างผลกระทบอันใหญ่หลวงสำหรับใครบางคนได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คงหนีไม่พ้น Taylor Swift ที่ยังคับแค้นใจจากเหตุการณ์ถูก Kim Kardashian ปล่อยคลิปแฉเมื่อ 3 ปีก่อน จนต้องระบายความในใจผ่าน VOGUE ไปไม่นานมานี้




"เมือถูกยัดเยียดความอับอายระดับ mass ที่คนเป็นล้านๆหาว่าคุณถูก cancel ไปแล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากจริงๆค่ะ ชั้นไม่คิดว่าจะมีสักกี่คนที่ทำความเข้าใจความรู้สึกที่มีคนจำนวนมากขนาดนั้นประกาศความเกลียดชังแบบตรงๆต่อคุณมันเป็นยังไง ตอนที่คุณบอกว่าใครบางคนถูก cancel ไม่ได้เหมือนกับการ cancel รายการ TV นะคะ นี่คือคนทั้งคน มีข้อความไม่รู้เท่าไรต่อไรบอกให้คนๆนั้นหุบปากไปซะ หายตัวล่องหนไปเลย หรือเราสามารถตีความออกมาได้ว่าให้ไปฆ่าตัวตายเลยสิ มันทำให้ชั้นต้องตั้งสติจัดการชีวิตตัวเองซะใหม่ เพราะชีวิตมันเละเทะไม่เป็นท่าไปแล้ว    ชั้นคิดทันทีเลยว่าต้องทำเพลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ชั้นรอดพ้นวิกฤติมาได้ มันเป็นหนทางเดียวที่จะปกป้องสุขภาพจิตของชั้น และช่วยบอกเล่าเรื่องราวว่าชั้นผ่านเหตุการณ์ที่น่าอับอายมาได้อย่างไร


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ภาพสาวคันทรีสวยใสก็ถูกแทนที่ด้วยmascot งู   



Deadname



การเรียกชื่อเดิมก่อนแปลงเพศของของtransgender

 ตัวอย่างคนดังที่ถูก deadname บ่อยๆ  คือ Caitlyn Jenner  ทีมักถูกคนล้อเลียนด้วยชื่อว่า ฺBruce Jenner  นั่นเองค่ะ



deadname อาจจะนำพาให้คุณไปพบกับเราม่าเหยียด transgender  เพราะตีความได้ว่า คนที่ชอบเรียกชื่อเดิมก่อนแปลงเพศของผู้อื่นนั้นไม่ยอมรับตัวตนของพวกเค้านั่นเองค่ะ    ยังมีคนอีกมากมายที่คิดว่า transgender เป็นเรื่องตลก   คุณสามารถพบมุกล้อเลียน Caitlyn Jenner ได้ตามเดี่ยวไมโครโฟนของตลกชื่อดังหลายคน





Irrelevant




ถ้าไปเปิดพจนานุกรมแปลเป็นภาษาไทย มันอาจจะไม่ช่วยให้ตีความคำนี้ในข่าวกอสสิปได้ชัดเจนนัก เพราะถ้าเป็น slang จะหมายความวว่า คนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นหรือหมดกระแสไปแล้ว หรือในทางกลับกัน คำว่า relevant ก็หมายถึงว่าการที่ยังสร้างกระแสความสนใจจากผู้คนได้อยู่ ยกตัวอย่างประโยคที่อาจจะเห็นได้บ่อยๆ

" บ้าน Kardashian ต้องขายดราม่าที่ทำให้ชาวบ้านต้องอยากรู้อยากเห็นจะได้ stay relevant ไปอีกนานๆ "

" เสียดายที่ Lindsay  Lohan  ขาลงมาหลายปีจน irrelevant  ไปแล้ว  แต่ก่อนเธอเคยโด่งดังระดับปรากฏการณ์แท้ๆ"



Trigger

เจอคำนี้เกลื่อน social media    ทำให้นึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่เราเคยตีความไม่ออก จนต้องไปค้นใน urbandic ถึงพอจะget ขึ้นมาได้


trigger คือ สถานการณ์ , คำพูด , ภาพ หรือบางสิ่งที่ตอกย้ำถึงความทรงจำที่เจ็บปวดซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิริยาหรือการแสดงอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นมา มักจะใช้กับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือติดสารเสพติด เช่น

- คนที่เคยป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารแล้วรักษาตัวจนเริ่มดีขึ้น แต่เมื่อถูกคนอื่น bully ก็เริ่มกลับมาอดอาหารอีก
- การได้เห็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงคนรักที่จากไปไม่มีวันกลับ ถึงแม้จะดูเหมือนทำใจยอมรับได้ แต่ก็รู้สึกซึมเศร้าขึ้นมาอีก

แต่ตอนนี้ ชาวเน็ทนำมาใช้กับทุกสถานการณ์เพื่อบรรยายความโกรธเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ทำใจยอมรับไม่ได้

- เธอหน้าด้านแหกกฎห้ามเดทกับผู้ชายคนเก่าของเพื่อนซี้ได้ลงคอ   I'm so triggered!
- พนักงานเสิร์ฟมั่นหน้าเสิร์ฟอาหารให้ชั้นผิดมาสองครั้งแล้ว He triggered me!
-  My worst trigger is เพื่อนร่วมงานที่แอบกินขนมของฉันแล้วโกหกว่าไม่ได้กิน
ตัวอย่างกรณี trigger ในวงการบันเทิง


Kanye West เปิดใจว่า ดราม่า Taylor Swift เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขา "น็อตหลุด" แร็พเพอร์ชื่อดังที่ป่วยเป็น bipolar ได้อธิบายว่า ตั้งแต่มีเรื่องกับ Taylor เหล่าคลื่นวิทยุก็ไม่ได้ให้สัมพันธ์ไมตรีกับเขาเหมือนเดิม และยิ่งรู้สึกอับจนหมดหนทางเมื่อได้รู้ว่า Kim K ถูกโจรบุกปล้นที่ Paris ไม่นานจากนั้นก็เกิดอาการ "breakdown " จนถูกหามเข้าโรงพยาบาลจิตเวช






Self - made



กลายเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอย่างเผ็ดแซ่บ หลังจากที่ Forbes ยกให้ Kylie Jenner เป็นมหาเศรษฐีแบบ self- made ผู้คนต่างพยายามหาเหตุผลมาหักล้างกันว่า เธอมีคุณสมบัติที่อยู่ในกลุ่ม self made จริงหรือ ?


แล้ว self- made คืออะไร ?


มันคืองผู้ที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง ต้องทุ่มเทพยายามจนประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ใช่ผู้มีอันจะกินที่ครอบครัวสนับสนุนทางด้านการเงินอยู่แล้ว


เมื่อฝั่ง Kylie ประกาศตัวว่าเป็นมหาเศรษฐีพันล้านแบบ self - made      ชาวเน็ทก้สาด comment กันนัว   เอาเป็นว่า admin ของ dictionary.com  ยังออกมาทักท้วง


มีต่อ


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE