Review - รีวิวจัดเต็ม All of my Burberry

32 10

นี่คือ Burberry ที่เราพึ่งซื้อเพิ่มมา

ก่อนหน้านี้เราเคยรีวิว Fresh Glow Foundation และ Face Contour ไปแล้ว

รอบนี้เราไปตำของเพิ่มมาอีกทั้งหมด 5 ชิ้น คือ

  • Liquid Lip Velvet No.05 Fawn (ฟรีจากโปรโมชั่น)

  • Liquid Lip Velvet No.17 Dark Rosewood (ได้จากกิจกรรมจีบันxBurberry)

  • Lip Velvet Crush No.70 Dark Russet

  • Fresh Glow Luminous Fluid Base No.01 Nude Radiance

  • Matte Glow Liquid Foundation No.40 Light Neutral (ได้จากกิจกรรมจีบันxBurberry)

Liquid Lip Velvet 


รุ่นนี้เรามีทั้งหมด 2 สีด้วยกัน คือ

  • No.05 Fawn

  • No.17 Dark Rosewood

ราคา 1,300 บาท


เป็นลิปสีโทน Nude สุภาพ ทาได้ในหลายๆ โอกาส ทั้งไปเรียน ไปทำงาน หรือไปงานต่างๆ ก็ได้

เนื้อลิปเป็นแบบ Velvet ไม่ได้ Matte สนิท เนื้อมีความบางเบา ติดทนในระดับนึงเลยแต่หลังกินข้าวอาจจะต้องมีเติมบ้าง สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ เนื้อมันทาแล้วสบายปาก ไม่หนักปาก

แล้วก็เกลี่ยสีได้หลายระดับด้วย

Lip Velvet Crush


  • No.70 Dark Russet

ราคา 1,250 บาท


ต่อกันอีกรุ่นเลย เป็นเนื้อ Velvet เหมือนกัน ตัวนี้เป็นหัวฟองน้ำ พอเนื้อลิปเซ็ทตัวแล้ว

จะ Matte น้อยกว่า Liquid Lip Velvet เราชอบตรงที่หัวเป็นแบบฟองน้ำใช้ง่าย

ที่สำคัญคือปากไม่แห้ง


ปกติเราเป็นภูมิแพ้ ปากจะแห้งมาก กินน้ำทาลิปมันยังไงก็จะมีความแห้งๆ ขุยๆ บ้าง

บางทีทาลิปไประหว่างวันเราปากลอกเลยก็มี เป็นเกือบทุกยี่ห้อเลยที่ทำเราปากลอก

แต่ของ Burberry รุ่นนี้คือเราโอเคแบบมากๆ เพราะมันไม่ทำเราปากลอก

คือตัวนี้เป็นลิปที่เราชอบที่สุดแล้ว เพราะมันทาแล้วมันเบาแล้วเนื้อมันก็เกลือน

กับริมฝีปากได้ดี ไม่เป็นเหมือนอีก Layer ที่เคลือบบนปากเฉยๆ


แต่ข้อเสียมันมีอยู่นิดนึงตรงที่มันเป็นลิปแบบหมุนแล้วเนื้อผลิตภัณฑ์มันจะขึ้นมาที่ฟองน้ำด้านบน แล้วคือจังหวะที่หมุนเนื้อลิปมาเพิ่มมันชอบทะลักออกมาเยอะเกิน

คือเราก็หมุนทีละจังหวะเนี่ยแหละ แต่จังหวะนึงคือเนื้อลิปมันออกมาเยอะไปหน่อย

อันนี้เราลอง Swatch ไล่สี แล้วเอากระดาษทิชชูซับทีนึง

เห็นได้ชัดเลยมาเม็ดสีค่อนข้างแน่น มีความเบาบาง แนบไปกับผิว

หลังจากที่เอา Cleansing แปะ แล้วเช็ดไปรอบนึง

คือลิปทั้ง 2 รุ่นติดทนค่อนข้างพอๆ กันเลย


แต่ส่วนตัวเราชอบ Lip Velvet Crush มากกว่า เพราะมันใช้ง่ายกว่า

ตรงที่เป็นหัวฟองน้ำ ที่สำคัญมีมันทาแล้วปากเราไม่ลอก

Fresh Glow Luminous Fluid Base


  • No.01 Nude Radiance

ราคา 1,850 บาท


ตัวนี้ในไลน์ผลิตภัณฑ์มีทั้งหมด 2 สี สี No.02 จะออกแทนๆ หน่อย

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นเบสไว้ลงก่อนลงรองพื้น แต่บางทีเราก็เอาผสมกับรองพื้น

เนื้อ Matte เพื่อให้รองพื้นมัน Glow ขึ้น


เนื้อ Shimmer มีความละเอียดมากๆ ทำให้มันเป็นตัวที่ช่วยในการกระจายแสงได้ดี


เนื่องจากตัวนี้เป็น Fluid ดังนั้นมันจึงมีพวกบำรุงไปในตัวด้วย

คือมันทำหน้าที่เป็นเบสให้ความชุ่มชื้นและกระจายแสงได้ดีเลย

แต่ไม่ได้คุมมันอะไรทั้งนั้น เราเป็นผิวผสมค่อยไปทางมันคืออยู่ได้แค่

ประมาณ 4-5 ชั่วโมงเต็มที่เลย จากนั้นก็ต้องซับหน้าแล้ว

หลังจากซับหน้าคือมันก็กลับมาโอเคแล้ว


ส่วนตัวคือเราชอบผลิตภัณฑ์ตัวนี้ เพราะว่ามันช่วยให้ได้งานผิวที่ดีขึ้นจริงๆ

แต่ข้อเสียหนักๆ ของตัวนี้คือ มันทำให้หน้ามันไวขึ้น คือเราลองใช้กับ

รองพื้น Matte หลายๆ รุ่นแล้ว ปกติทารองพื้นอย่างเดียวจะอยู่ได้นานกว่า

คือ ถ้าใครรับได้ว่าอาจจะหน้ามันไวหน่อย ซับหน้าบ่อยขึ้น เพื่องานผิวที่

ดูโอเคกว่า เราว่าตัวนี้ก็ถือว่าโอเคเลยทีเดียว

Matte Glow Liquid Foundation


  • No.40 Light Neutral

ราคาประมาณ 2,100 บาท


ขอเล่าถึงไลน์ Foundation ของ Burberry ก่อนเลย ก่อนหน้านี้จะมีรุ่น

  • 2012 Velvet Foundation: medium to high coverage soft-focus velvet finish

  • 2015 Fresh Glow Foundation: medium coverage for a flawless and dewy glow

  • 2016 Cashmere Foundation: soft matte medium to high coverage

  • 2019 Matte Glow Foundation: medium to high coverage, luminous matte finish all day long

รองพื้นของ Burberry ทั้งหมดเป็นแบบ Fluid คือมีบำรุงอยู่ในตัว โดยตัวที่เป็นที่รู้จักกันเยอะสุดเป็นรุ่น Fresh Glow และมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เยอะสุด ส่วนรุ่น Velvet และ Cashmere ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีเรายังเห็นมีขายอยู่ แต่ตอนนี้ในเว็บไซต์ของ Burberry Beauty เอาออกไปแล้ว คิดว่าตัว Matte Glow คงเป็นไลน์ที่เข้ามาแทนที่ เพราะเรื่องของ Coverage ที่ค่อนข้างคล้ายๆ กัน

เรามาต่อกันที่ตัว Matte Glow เลย รุ่นนี้จะมีสีให้เลือกทั้งหมด 30 เฉดสีด้วยกัน

แบ่งเป็น 5 โทน 

  • Fair

  • Light

  • Medium

  • Deep

  • Dark

3 Undertone

  • Cool (rosy tone and burns easily in the sun) 

  • Neutral (more evenly toned, not too pink or golden) 

  • Warm (golden or olive tone and tans easily in the sun) 

คือถ้าสังเกตใน Swatch สีด้านบน มันจะมีโทนที่ค่อนข้างคล้ายกันเยอะ

ก่อนหน้าที่เราจะไปงาน JebanxBurberry เราดูรีวิวรองพื้นรุ่นนี้มากก่อนแล้ว

Blogger หรือ Youtuber บางคนที่สั่งของจากเว็บค่อนข้างมีปัญหา

ในการเทียบเฉดสีประมาณนึงเลย เราเลยแนะนำว่าให้ไปลองที่ Counter ดีกว่า

ยังไงก็จะได้เฉดสีที่ตรงกับผิวเรามากที่สุด

  • เนื้อรองพื้นที่ทาออกมามันไม่ได้ Matte สนิทจนทำให้หน้าดู Flat คือมันทำให้หน้าเรายังเล่นกับแสงอยู่บ้างเล็กน้อย

  •  Coverage นั้นคืออยู่ในระดับ Medium ส่วนตัวรู้สึกว่าคือมันก็ Layer เพิ่มได้ แต่ไม่ได้ Finish ที่เป็น High Coverage แบบแบรนด์อื่นๆ

  • การควบคุมความมัน เนื่องจากเป็นรองพื้นแบบ Fluid มันก็จะอยู่ได้แค่ประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นก็ต้องซับหน้า

  • จุดที่เราประทับใจคือ ตอนที่เราต้องเช็คเครื่องสำอางออก รองพื้นตัวนี้แค่เช็ดไม่กี่ครั้งมันก็ออกหมดแล้ว ถ้าเทียบกับรองพื้น High Coverage แบรนด์อื่นๆ คืออาจจะเพราะมันค่อนข้างบางเบาด้วยแหละ จากตรงจุดนี้เราคิดว่าตัวนี้เป็นรองพื้นที่สามารถใช้ได้ทุกวันในแบบ Everyday Look ได้

ถ้าเทียบกันระหว่างลง Fresh Glow Luminous Fluid Base กับไม่ลง คิดว่าค่อนข้างต่างกันเยอะเลยทีเดียว

สรุปสุดท้ายยยยย

Fresh Glow Foundation, Matte Glow Foundation, Fresh Glow Luminous Fluid Base เลือกตำ 1 อย่างอะไรดี?


ขอตอบว่าเป็น "Fresh Glow Luminous Fluid Base"

เพราะว่า ปรับใช้ได้หลายแบบ ทั้งเป็นเบส, ผสมรองพื้นเพื่อให้ได้ Finish ที่ Glow หรือจะเป็นไฮไลท์ตอนจบก็ได้


แนะนำเพิ่มเติม

  • ถ้ามี Fresh Glow Foundation แล้ว ไม่จำเป็นต้องมี Fresh Glow Luminous Fluid Base ก็ได้ เนื่องจากถ้าเอา Fresh Glow Luminous Fluid Base ไปผสมกับรองพื้นตัวอื่นก็ได้งานผิวที่ค่อนข้างคล้ายกับ Fresh Glow Foundation

  • ส่วนถ้าใครอยากหารองพื้นที่ใช้ได้ทุกๆ วัน ใช้ง่าย ผิวสวย เราแนะนำ Matte Glow Foundation เพราะว่ารองพื้นตัวนี้มีความบางเบา ใช้ง่าย ออก Outdoor ได้นิดหน่อย คือลุยได้มากกว่าตัว Fresh Glow Foundation

  • ส่วนถ้าใครชอบงาน Glow งาน Dewy Skin แนะนำ Fresh Glow Foundation เลย ตัวเดียวจบ ผิวสวย ไม่ผิดหวังแน่นอน


ปล. ถ้าอยากดูรีวิว Fresh Glow Foundation และ Face Contour ของ Burberry เราเคยเขียนรีวิวไว้แล้ว แวะไปอ่านเปรียบเทียบได้จ้า


Na-nacha

Na-nacha

FULL PROFILE