4 วิธีจากคนดังที่ใช้ต่อสู้กับ Cyberbully

86 14



เก็บตัวไม่ตอบโต้  แล้วกลับคืนสู่วงการแบบสวยๆ ประสบความสำเร็จให้ hater จุกอก

วันเวลาที่ผ่านไปอาจจะทำให้หลายคนลืมเลือนไปแล้วว่า Anne Hathaway เคยเป็นเหยื่อcyberbully  แบบไร้เหตุผลสุดๆ    เธอไม่ได้ออกมาว่าร้ายใครออกสื่อหรือทำตัวเป็นตัวอย่างไม่ดี   เพียงแต่มีกระแสหมั่นไส้จากที่ Anne ได้แชร์ถึงประสบการณ์ในการรับบทหนัง Les Miserables  ที่ว่ากันว่าเป็นบทที่นางเอกทั่ววงการใฝ่ฝันอยากจะเล่น    พูดให้ชัดๆก็คือ  เพียงก้าวแรกเมื่ออดิชั่นผ่านก็เห็นรางวัลOscar  อยู่ไม่ไกลแล้ว      และเธอก็คว้ารางวัลออสการ์มาจริงๆ  (และกวาดมาอีกหลายรางวัลจนน่าจะแน่นชั้นวาง)     แต่ก่อนหน้านั้น  Anne ถูกกระหน่ำด้วยคำวิจารณ์ที่แรงขึ้นมาเรื่อยๆ   ชาวเน็ทเยาะเย้ยเธอว่าเป็นนางเอกขี้โม้น่ารำคาญและถูกประเมินไว้สูงเกินไป     จากอดีตที่เคยเป็นเจ้าหญิงDisneyที่ได้รับความนิยมและความชื่นชมสูง    กลับกลายเป็นว่าเธอมีชื่อติดโผคนดังที่ถูกเกลียดมากที่สุด!
การส่งแรงเกลียดชังในตัว Anne ถึงขนาดมีการรวมกลุ่ม Hathahater  กลายเป็นหัวข้อข่าวไปทั่ว ตั้งแต่ tabloid ที่ดูไม่มีความน่าเชื่อถือไปจนถึงสำนักข่าว CNN    ผู้คนโจมตีเธอตั้งแต่การบรรยายการเข้าถึงสวมบทบาทหญิงสาวผู้ระทมทุกข์ลึกล้ำไปจนถึงจิตวิญญาณ   ความยากลำบากในการลดน้ำหนักแบบสุดโต่งจนทำให้จิตตก   script ที่เธอเตรียมเพื่อกล่าวรับรางวัล  เอาเป็นว่า ผู้คนยังรุมด่าเธอได้เพียงเพราะว่าเธอแสดงท่าทางช็อคที่คว้ารางวัล  

สิ่งเหล่านี้ นักแสดงคนอื่นต่างก็เคยเปิดเผยออกสื่อไม่ต่างกัน เธออาจจะเน้นย้ำหลายครั้งว่า บท Fantine แห่ง Les Misérables นั้นโหดหินมากขนาดที่ส่งผลต่อจิตใจเธอ แต่ผลงานการแสดงและรูปร่างที่ผอมฮวบฮาบลงไปก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เธอบอกเล่านั้นไม่ได้เกินจริง แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้จาก cyberbully ที่ตามมาทำร้าย Anneจนเธอต้องเก็บตัวเงียบไปพักใหญ่
ประเด็นนี้ฮือฮามากจนสื่อดังหลายเจ้าต้องวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ Anne ต้องกลายเป็นเป้าของความเกลียดชัง     และ hollywood.com ก็ได้สรุปมาได้ตรงใจเราที่สุด      เรียบเรียงมาได้สั้นๆก็คือ   ผู้คนจำนวนมากไม่นิยมผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานแห่งความกระตือรือร้นและพูดถึงความทุ่มเทในการทำงานอย่างมั่นใจ           เมื่อลองคิดภาพคนรอบข้างที่คอยเบะปากเยาะเย้ยผู้หญิงที่มีนิสัยแบบRachel ใน Glee หรือ Hermione ใน Harry Potter มันก็ make sense!     หากคุณแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้ชนะโดยไม่ถ่อมตน  สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าอาจจะร้ายกาจเกินกว่าที่คาดคิด
จากที่ถูกกล่าวหาว่าประดิษฐ์จน fake  (จากการให้สัมภาษณ์ไม่กี่ครั้ง+ การกล่าวขอบคุณตอนรับรางวัลการแสดงที่ไม่โดนใจผู้ชม)   และนักเขียนจากสื่อดังหลายเจ้ายังจิกเธอแบบไม่อ้อมค้อมว่า มีบุคลิกของสาวชมรมการละครที่น่ารำคาญจนต้องแอบกลอกตาใส่  เมื่อปีที่แล้ว นักเขียนจาก Glamour คนหนึ่งได้ยอมรับว่า  เป็นหนึ่งในกลุ่ม Hathahater   แต่ก็มาสำเหนียกได้ไม่นานนี้ว่า   ความทุ่มเทที่ดู "พยายามมากเกินไป"นั้นไม่เห็นผิดตรงไหน    และเธิก็มีผลงานดีๆออกมาตั้งเยอะ  ไม่ใช่พวกที่เอาแต่ขี้โม้ถึงความสำเร็จของตัวเองสักหน่อย

แต่กว่าจะมีคนคิดแบบนี้ได้ Anne ก็พบกับความเจ็บปวดไม่น้อยค่ะ เธอเก็บตัวไม่ตอบโต้กระแสแอนตี้ และเริ่มกลับมาทำงานแสดงและคว้าบทดีๆตามมาอีกหลายเรื่อง เธอยังยึดกับตำแหน่งนางเอก A List อย่างเหนียวแน่น

เธอเปิดเผยถึงความกดดันจากดราม่า Les Misérables ว่า

"ชั้นต้องเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าร่วมงานประกาศรางวัล Oscar ในนาทีสุดท้าย แต่พอได้ชุดมาก็พบว่ามันมีดีไซน์เหมือนกับว่าหัวนมชั้นกำลังชูชัน ชั้นต้องร้องเพลงแม้ว่าจะเป็นกล่องเสียงอักเสบ แล้วสื่อต่างก็เล่นประเด็นพวก hater เพราะว่าพวกเค้าเอาแต่โจมตีชั้น แต่รู้อะไรมั้ยคะ มันก็ยังเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอยู่ดี"
นั่นสิ ทำไมเราจะภูมิใจกับ moment ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ล่ะ ? เราต้องแสดงออกว่าตัวเองยังอ่อนหัดและไม่คู่ควรกับรางวัลที่ทุ่มเทจนได้มางั้นเหรอ ?


* Anne ถูกล้อเลียนหนักมากจากชุด Prada สีชมพูเพราะจีบตรงหน้าอกทำให้เหมือนกับหัวนมเธอพุ่งจริงๆ   เธอมาเปลี่ยนใจจากชุดที่ตั้งใจไว้แต่แรกเพราะมารู้ว่า ชุดของ Amanda Seyfried มีความคล้ายคลึงกันมากค่ะ  ประเด็นนี้ก็ทำให้เธอถูกจิกกัดว่า trying too hard อีกตามคาด  ซึ่งความเป็นจริงแล้ว  มันเป็นเรื่องปกติคนดังจะมีความกดดันเรื่องลุคและหลีกเลี่ยงที่จะใส่ชุดที่ซ้ำกับคนอื่น  โดยเฉพาะนางเอกที่ได้เข้าชิงค่ะ เราจึงเข้าใจถึงการตัดสินใจของ Anne ที่เปลี่ยนชุดที่เตรียมมาไว้เป็นเดือนในนาทีสุดท้าย
"ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะวอกแวกไปฟังเสียงคนพวกนั้น   ถึงพยายามจะไม่ใส่ใจมันซะ  แต่ก็ทำไม่ได้      แต่จากนั้นชั้นก็ตระหนักได้ว่า  ที่ชั้นยังใส่ใจกับมันอยู่เป็นเพราะชั้นยังรักตัวเองไม่พอ   ยิ่งมีคนมาพูดจาว่าร้ายใส่ มันก็พาลทำให้เราคิดจริงๆว่าหรือเราไม่ดีอย่างที่ถูกด่า        ดังนั้นชั้นจึงบอกตัวเองว่า  ไม่นะ ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าคำพูดของพวกเค้ามันเป็นความจริง     ไม่มีทางเด็ดขาด  และชั้นก็ต้องการจะใคร่ครวญว่าตัวตนที่แท้จริงของชั้นเป็นเช่นไร"


ในปัจจุบัน กระแสแอนตี้ Anne จางหายไป  ภาพลักษณ์ของเธฮดูดีขึ้นมาก  มากถึงขั้นที่คนเคยจิกกัดเธอต้องประกาศขอโทษเลยทีเดียว
เมื่อหกปีก่อน สื่ออาจจะพร้อมใจกับนำเสนอบทความเพื่อวิจารณ์ว่า "ทำไมทุกคนจึงเกลียด Anne "  แต่ปัจจุบันกลับมีบทความที่จั่วหัวข้อว่า " คุณผิดพลาดและงี่เง่ามากที่คอยจงเกลียดจงชัง Anne "  หรือ  " การแสดงความเกลียดในตัว Anne มันไม่ได้ทำให้คุณดูเท่อีกต่อไป"         แม้จะมีชาว Twitter อีกมากที่ยังประกาศความจงเกลียดจงชังในตัวเธอ และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่รู้ทำไมถึงเกลียด แต่ก็แค่เกลียดน่ะ get ปะ!  

แต่พวกเค้าละเลยที่จะมองในด้านดีๆในตัวเธอ

Anne คือนางเอกที่ตอกกลับพิธีกรที่ใช้คำถามเหยียดเพศกับเธอแบบไม่ไว้หน้า (ปัจจุบันพิธีกรคนนั้นถูกกล่าวหาเรื่องล่วงละเมิดเพื่อนร่วมงานจนถูกเขี่ยออกจากวงการ)

ผลงานที่หลากหลายของเธอทำให้ถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มนางเอกที่แสดงหนังแล้วทำกำไรสูง และยังมีหลากหลายรางวัลมาการันตีความสามารถในการแสดง

มีความโดดเด่นในเรื่องกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ได้รับรางวัล Human Rightsจากบทบาทการส่งเสริมความเท่าเทียมของกลุ่มเพศทางเลือก


เมื่อนึกถึงAnne ที่เคยถูกล้อเลียนอย่างไร้สาระและจิกกัดแบบไม่สิ้นสุด เธอถูกยกไปอยู่ในรายชื่อเซเลบน่ารำคาญและถูกเกลียดชังร่วมกับเซเลบที่มีข่าวฉาวจากการใช้คำพูดเหยียดหยามคนอื่นและคนที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการอวดอ้างความสำเร็จ เป็นเพียงเพราะเธอเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่ามุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อความสำเร็จมากแค่ไหน ความโหยหาที่จะคว้ารางวัลสีทองตัวนั้นก็ไม่ได้ต่างจากนักแสดงทั่งวงการ แต่เพราะคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบใจต่อ "จริต"ที่ "ประดิษฐ์"เกินไป จากความหมั่นไส้เล็กๆก็กลายเป็นการรวมพลัง bully ผู้หญิงทำงานที่ไม่ได้มีพิษภัยใดๆต่อสังคม

เมื่อคิดถึงความผิดพลาดที่ผ่านมา  ตัวแทนจากสื่อหลายเจ้าจึงออกปากขอโทษ Anne  และชี้ให้ชาวเน็ทได้ตระหนักสักทีว่า  ดราม่าที่ผ่านมามันงี่เง่ามากแค่ไหน
"มันย่ำแย่จริงๆ     แต่คุณจะได้พบว่า ในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเหมือนแทบตายลงไปเพราะความอับอายขายหน้า  แต่ที่จริงแล้วคุณจะรอดมาได้ค่ะ"

เราชื่นชมความเข้มแข็งของ Anne นะ  แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะลุกขึ้นมาก้าวเดินต่อไปจากเรื่องร้ายๆอย่าง cyberbully ได้   มันทำให้เราต้องเจอกับความสูญเสียไม่รู้กี่ครั้ง    โลกเราก็โหดร้ายเช่นนี้เอง







ตักเตือนด้วยเหตุผล  ถ้ายังล้ำเส้นก็boycott ไปเลย


พลังด้านลบของวัฒนธรรม fandom มีให้เห็นไปทุกที่ค่ะ   แม้จะเป็นศิลปินที่โด่งดังจากUSA   ที่ศิลปินไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของต้นสังกัดมากขนาดถึงกับต้องปิดบังชีวิตส่วนตัวและไม่สามารถมีชีวิตรักได้อย่างเสรีเหมือนที่เราได้เห็นจากศิลปินจากฝั่งเกาหลีหรือญี่ปุ่น         แต่จะด้วยการความขาดวุฒิภาวะหรือความคลั่งไคล้แบบไม่สนตรรกะก็ตาม   ยังมีแฟนกลุ่มใหญ่ที่ใช้ internet จองล้างจองผลาญคนรักของศิลปินที่ตัวเองไม่ approve       ความหึงหวงถือสิทธิ์เป็นเจ้าของนี้เคยทำให้ตัวศิลปิน "ของขึ้น"และโต้กลับแฟนๆระดับ die hard มาแล้ว
Justin Bieber เป็นซุปตาร์หนุ่มที่ควงสาวมาแล้วหลายคนแ   ที่ผ่านมาบรรดาข่าวฉาวอย่างพวกภาพหลุดหรือพฤติกรรมเหวี่ยงใส่แฟนๆที่คลั่งไคล้เกินความพอดีไม่สามารถฉุดความนิยมของเขาให้ตกต่ำลงไปได้   ฐานแฟนคลับที่สะสมกองกำลังมาเป็นสิบปีมีความแข็งแกร่งจนขึ้นชื่อลือชา

แต่มันก็มีจุดที่ JB ทนกับ cyberbully ไม่ไหว แม้มันไม่ได้เกิดกับตัวเขาเอง แต่เป็นคนรักที่คบกันอย่างออกหน้าออกตาอย่าง Sofia Richie แฟนๆของเขาออกอาการไม่พอใจเธอขนาดหนักที่บังอาจสวีทกับไอดอลหนุ่มอย่างมีความสุข เหล่าแฟนเดนตายเหล่านี้ไม่รอช้าที่จะส่งข้อความเกลียดชังเกลื่อน social media คนที่อยากจะร่วมวงก็เพียงแค่พิมพ์คำว่า Sofia Richie ugly บน twitter แล้วด่าว่าเธออย่างแรงไปถึงขั้นขู่ฆ่า



JB ทนไม่ไหว เขาออกมาเตือนให้ทุกคนว่า นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว หากเป็นแฟนกันจริงๆ ก็ไม่ควรจะใจร้ายใจดำกับผู้หญิงที่เขาชอบ และขู่ว่าจะปิด Instagram account หากยังมีคนด่า Sofia อีก


และเขาก็ปิด account จริงๆ   ทำเอาแฟนๆช็อคไปถ้วนหน้า     social media เป็นพื้นที่ที่สร้างรู้สึกเข้าถึงศิลปิน  และหลายครั้งพวกเค้าก็พูดคุยผ่านตัวอักษรกันจริงๆ   การตัดความ toxic ออกไปก็ทำให้ผู้คนทึ่งถึงความใจเด็ดของ  JB  


เรื่องมันไปไกลกว่านั้นก็ตอนที่ Selena Gomez ได้ปรามแฟนเก่าตัวเองว่า ถ้าไม่อยากถูกกดดันก็อย่าpost ภาพแฟนสาวสิ และศิลปินก็ไม่ควรโกรธเคืองแฟนๆ เพราะมีทุกวันนี้เพราะแรงสนับสนุนจากแฟนๆมีที่มาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนจะควงกับผู้หญิงซะอีก
( ตรรกะเดียวกันที่ทำให้ fandom ยกตัวว่ามีบุญคุณเหนือศิลปินและล่วงละเมิดชีวิตความส่วนตัวของพวกเค้าอย่างไม่รู้สึกผิด)

แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า เธอจะคิดได้ว่าใช้อารมณ์ส่วนตัวเข้ามาพัวพันกับการแสดงความเห็น จึงรีบส่งข้อความขอโทษที่พูดจาเห็นแก่ตัวและไม่สร้างประโยชน์ให้กับฝ่ายใด

JB เป็นหนึ่งในคนดังที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายตั้งแต่ยังเป็นผู้เยาว์ และผลกระทบจากชื่อเสียงมากมายนี้ก็ส่งผลต่อ mental health อย่างหนักหน่วง เขาเรียนรู้ที่จะไม่โอนอ่อนตามกระแสความคลั่งไคล้ไปไปตลอดเวลาและลุกขึ้นมาปฏิเสธหากรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น ในบางครั้งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแสดงพฤติกรรมหยาบคายไม่ไว้หน้าแฟนๆ



หรือจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง  Justin หันมาคบกับ Hailey เพื่อเรียกร้องความสนใจจาก Selena  ที่โต้แย้งกันมาอย่างยาวนาน  ขนาดว่าเค้าแต่งงานเปลี่ยนนามสกุลกันไปแล้ว  ฝ่ายที่เชียร์ Jelena ก็ยังไม่หยุดด่าว่า Hailey     และ Justin ก็เคยปรี๊ดใส่แฟนที่ใส่ร้ายพวกเค้ามาแล้วค่ะ



JB จึงจัดเต็มใส่ไปว่า

"คุณนี่ไม่รู้จักโตเลยนะ การทีคุณสร้างเพจเพื่อจะมาว่าร้ายภรรยาและตัวผมน่ะมันเหลวไหลสิ้นดี ทำไมผมต้องอุทิศทั้งชีวิตเพื่อในการครองคู่แต่งงานกับใครบางคนเพียงเพราะประชดแฟนเก่าด้วย ใครก็ตามที่ทำใจเชื่อเรื่องพวกนี้ได้เป็นพวกจิตใจร้ายกาจหรือไม่ก็เด็กสิบขวบหรือเด็กกว่านั้นอีก เพราะคนที่มีตรรกะปกติไม่พูดหรือคิดอะไรแบบนี้ได้หรอก คุณควรจะละอายในตัวเองบ้างนะ"


  ผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้ปลาบปลื้ม JB เป็นพิเศษ  แต่ respect  ฮีที่ยืนหยัดต่อสู้กับ toxic fans ที่ล่วงละเมิดตัวเองและคนที่รักโดยไม่หวาดหวั่นว่าจะสูญเสียความนิยม


บางคนอาจจะนึกสงสัยว่า เมื่อเกรี้ยวกราดแบบนี้แล้ว JB ไม่เกรงกลัวกระแสแอนตี้และการตามจองเวรจาก hater จนไม่ผุดไม่ได้เกิดเลยหรือไร

หากเป็นที่ไอดอลเกาหลีใต้ การแสดงจุดยืนแบบนี้อาจจะทำให้ไม่มีที่ยืนในวงการอีก แต่ที่ USA อันเป็นอุตสาหกรรมดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของโลก ศิลปินอาจจะถูกโจมตีหนักจากเรื่องฉาวต่างๆ แต่ยังมีคนอีกมากมายที่มองศิลปินด้วยความเข้าใจว่า พวกเขาจะมีชื่อเสียงเงินทองมากล้นจากแรงสนับสนุนของแฟนๆ ก็จริง แต่พวกเขาก็มิใช่product ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนองตอบความต้องการของคนแปลกหน้าเพียงเพราะออกเงินซื้อผลงานเพลงหรือคอยมาดักรอ
    คนดังพวกนี้ถูกล่วงละเมิดมาแล้วทุกรูปแบบ   ทั้ง stalker น่าขนลุก ถูกจับเนื้อต้องตัวและของสงวน   พอมีแฟน แฟนก็ถูกขู่ฆ่า   ถึงจะจ้างบอดี้การ์ดร่างยักษ์ก็ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ   เปิด social media ขึ้นมาก็เจอแต่การใส่ร้ายป้ายสี    พวกเขาจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ไม่ให้มีการล้ำเส้นมากไปกว่านี้    แฟนๆที่มีวุฒิภาวะเพียงพอก็ยังคอยติดตามสนับสนุนอยู่เสมอ   นั่นอธิบายได้ว่า  แม้จะผ่านมรสุมข่าวฉาวมามากเท่าไร   หากยังสร้างผลงานโดนใจผู้คนออกมาได้     ศิลปินดังจะไม่ให้ราคากับแฟนที่มีพฤติกรรม toxic   และมุ่งให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองเป็นหลัก 






ด่าได้ด่าไป  โต้กลับด้วยอารมณ์ขันสุดเจ็บแสบสะใจกว่า




จากการติดตามวงการบันเทิงมา   เราคิดว่าน่าจะเรียนรู้การตอบโต้ cyberbully จาก Chrissy   Teigen  ค่ะ


แฟนๆของ Chrissy หลายคนยอมรับว่า แม้จะไม่ได้ติดตามเธอในฐานะนางแบบและพิธีกร แต่หน้า Twitter ของเธอเป็นอะไรที่เผ็ดแซ่บมากกกกกก เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้สึกผิดที่อยากเป็นที่สนใจ และแสดงความ real ของชีวิตเซเลบแบบไม่ต้องเสแสร้งว่าเป็นคนสูงส่งแสนดี

และจุดเด่นที่ทำให้เธอมีผู้ติดตามมากขึ้นอีกเยอะคือวิธีการตอกกลับ bully นั่นเองค่ะ

อย่างตอนที่ Chrissy ขึ้นปก Glamour ในฐานะที่ได้รับเลือกเป็นผู้หญิงแห่งปี แต่ใครบางคนกลับไม่สนใจว่า เธอมีศักยภาพใดจึงได้รับการชื่นชมเช่นนี้ แต่จิกัดเธอว่านี่เป้นหน้าปกที่ย่ำแย่เกินทน "มองแว้บแรกนี่แทบจำเธอไม่ได้เลยนะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอคงไม่สน แต่ช่วยพยายามให้สมกับเป็นนางแบบปกแม็กกาซีนให้มากกว่านี้หน่อยเหอะ"



และนี่คือคำตอบของนางแบบสาวลูกครึ่งไทย


"ขอบคุณนะจ๊ะ ต่อไปในอนาคต ชั้นจะพยายามมากขึ้นเพื่อจะเป็นนางแบบปกแม็กกาซีนที่ดีที่สุดเลยจ้ะ ขอความกรุณาเธอส่งเคล็ดลับดีๆ หรือตัวอย่างปกที่เคยเธอเคยถ่ายแบบมาให้ศึกษาเป็นตัวอย่างก็จะเยี่ยมมากๆเลยจ้า"



และยังมีอีกหลาย moment ที่ทำให้เรารู้สึกเงิบแทน hater


นั่นเป็นเพราะว่า หากคนดังแสดงความคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ไม่หวั่นกระแสตีกลับ ก็จะดึงดูดนักเลง keyboard เข้ามารุมจิกกัดเสมอ สำหรับ Chrissy ถ้าจะบอกว่าแค่หายใจก็ยังถูกจับผิดก็ไม่น่าจะเกินไปค่ะ เธอเจอมาเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่อง mom - shaming (การตำหนิติเตียนวิธีการเลี้ยงดูลูกของบุคคลอื่น)



แต่สิ่งที่ Chrissy ตอกกลับเหล่าพ่อแม่ผู้แสนสมบูรณ์แบบที่มีเวลาว่างมากพอมาด่าเธอก็คือ


"พวกคุณไม่มีทางทำให้ชั้นสะเทือนได้แม้แต่ปลายเล็บ"

พวกเราต่างคุ้นเคยกับภาพหนู Luna  ที่แต่งตัวสะสวยสมวัยและมี lifestyle หรูเริ่ดจากความร่ำรวยของพ่อแม่    แต่ไม่วาย Chrissy ก็ยังถูกติเตียนจากชาวเน็ทบางคนว่าไม่สนใจใยดีดูแลเรื่องทรงผมของลูก   ตอนที่เธอแชร์วีดีโอง social media ก็มีคนตามมาเหน็บแนมว่า "ในที่สุดก็มีคนหวีผมให้ลูกสาวเธอซะที"

เห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่า Luna เป็นลูกครึ่งที่ได้รับกรรมพันธุ์ผมหยิกฟูมาทางพ่อ เธอก็ไม่ต่างจากเด็กหญิงคนอื่นที่มีคนดูแลจัดทรงผมให้เสมอ ทั้งมัดแกละ ถักเปีย หรือจะเป็นจุกน้อยๆที่ดูน่ารัก แต่ตอนที่อยากจะปล่อยให้ผมฟูฟ่องไปตามธรรมชาติ มันก็ไม่ควรไปสะกิดต่อมจุ้นจ้านของใครเข้า Chrissy จึงกรีดกลับไปว่า


"ลูกชั้นหวีผมเองจ้ะ   คุณน่าจะลองขอให้เธอช่วยแต่งหน้าให้บ้างนะ"


ผู้คนอาจจะมองว่า meme ล้อเลียนเรื่องก้น Chrissy เป็นเรื่องตลก และเธอดูไม่ serious ว่าคนอื่นจะจิกกัดว่าก้นเธอแบนราบจนสามีต้องละเหี่ยใจ แต่ถ้าลองคิดว่าถ้าเป็นเราล่ะ เมื่อภาพสัดส่วนร่างกายถูกนำไปส่งต่อเป็น viral ให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เราคงเจ็บปวดเกินกว่าจะโต้กลับ

แต่ Chrissy เธอก็ประกาศว่า

" เค้ารู้เรื่องก้นชั้นดีมาตั้งแต่คืนแรกที่ได้เจอกัน ถึงตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันมา 13 ปีแล้วจ้ะ"


"มีคนตั้งเยอะที่ฉีดก้นและแต่งภาพลง Instagram แต่ไหนแต่ไรชั้นก็เป็นสาวไร้ก้น นี่มันเป็นข่าวใหม่ล่าสุดสำหรับพวกคุณเหรอเนี่ย"


strong ม้ากกกกกกกกกกกก!


ด้วยความเผ็ดที่ขึ้นชื่อลือชา ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่อยากจะเข้ามา "ลองของ" กับ Chrissy อย่าง hater ที่ด่านเธอว่าอ้วนและควรจะไป gym ซะบ้าง แต่เมื่อดู profile picture แล้วก็เข้าทาง Chrissy


"นี่ก็ไม่ได้อยากจะว่าอะไรเลยนะคะ  แต่คุณก็ไม่ใช่คนผอมเพรียวอะไรนี่นา  และชั้นยังไม่สนเรื่องน้ำหนักตัวเองด้วย   ดังนั้นถึงจะคุณจะด่าชั้นก็จะไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกจ้ะ"







ถ้า Cyberbully แล้วจะฟินขนาดนั้น  ก็ฟ้องเลยจ้ะแม่!


เราได้ยินมาบ่อยครั้งว่า  ในประเทศที่มีปัญหา bully นั้น ต้นตอของปัญหาน่าจะมาจากความตึงเครียดของผู้คนในสังคมที่ไม่สามารถแสดงออกตามที่ใจต้องการ ด้วยบรรทัดฐานของสังคมที่บีบบังคับให้ฝืนความรู้สึกเพื่อเอาตัวรอดในโลกแห่งความเป็นจริง     และเลือกระบายความอารมณ์กับผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือสังคมออนไลน์ที่สามารถปิดบังตัวตนได้   และวิธีที่ระบายความเครียดเหล่านั้นก็กลายมาเป็นปัญหาสังคมจนมีคนต้องสังเวยชีวิตจากความเจ็บป่วยทางจิตใจเป็นจำนวนมาก


หลายคนมักจะข้องใจว่า ศิลปินจากเกาหลีใต้ต้องเผชิยหน้ากับ cyberbully มาหนักมากขนาดนั้น เหตุใดจึงไม่ดำเนินคดีเอาผิดเหล่า hater ซึ่งความเป็นจริงคือ ทั้งต้นสังกัดและศิลปินเคยแจ้งตำรวจและเดินเรื่องฟ้องร้องนักเลงkeyboard เหล่านี้แล้ว แต่เมื่อตามสืบเสาะจนหาตัวพบ ก็พบว่าเป็นนักเรียนวัยทีนรวมไปถึงผู้คนจากหลากหลาย background ที่พอจะถูกดำเนินคดีจริงๆก็อ้อนว้อนขอความเมตตาจากเหยื่ออารมณ์ของตัวเองจนตัวศิลปินใจอ่อนยอมถอดใจไม่เอาความ กลายเป็นว่ากรณีตัวอย่างมันไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้ชาวเน็ทยำเกรงได้ cyberbully จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ก่อความทุกข์ใจให้กับคนดังมากมาย


แต่เมื่อคนดังเลือกจะไม่ทนอีกต่อไป   พวกที่เคยเก่งอยู่แต่เบื้องหลัง keyboard ก็ต้องร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา
ตอน  bully คนอื่นล่ะคงจะฟินจนได้ใจ  แต่พอได้หมายเรียกจากตำรวจก็ต้องถึงคราวจิตตกเหมือนกัน

นี่คือเหตุการณ์ antifan ของ BTS ต้องpost หาความช่วยเหลืออย่างร้อนรนใจหลังจากที่ถูกต้นสังกัดของวงไอดอลชื่อดังห้องร้อง เค้าระบายถึงความหวาดกลัวว่าครอบครัวจะรับรู้ถึงสิ่งที่ทำลงไป และขอร้องให้ชาวเน็ทช่วยแนะนำว่าจะเข้ากระบวนการนี้ตามลำพังได้อย่างไร ยังอ้างด้วยว่าไม่ได้post ความเห็นที่รุนแรงขนาดนั้น รวมถึงอยากทราบความเป็นไปได้ที่จะฟ้องต้นสังกัดกลับเพราะคิดว่าทำเกินไปที่จะฟ้องเธอ และยังอยากทราบตัวเลขค่าปรับเพราะตัวเองไม่ได้มีเงินมากมายนัก


Big Hit ได้ประกาศเตือนมาก่อนหน้าแล้วว่า จะเอาจริงเอาจังกับการเก็บรวบรวมหลักฐานจำนวนมากมายเพื่อเอาผิดกับผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีและหมิ่นประมาทศิลปินอย่างร้ายกาจ

Cyberbully ที่คอยจองล้างจองผลาญ BTS นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา KBS News ได้รายงานว่า Big Hit ได้ยื่นฟ้องชาวเน็ทไปเพียง 30 คนเท่านั้นค่ะ เราเชื่อจริงๆว่า กว่าที่จะฟ้อง antifanได้ ต้นสังกัดจะต้องมั่นใจถึงหลักฐานอันแน่นหนา มันไม่ใช่แค่การกระทำเกินกว่าเหตุเพียงแค่ถูกจิกกัดเล็กๆน้อยๆ อยู่แล้ว
ในปัจจุบัน   BTS อาจจะเป็น K Pop band อันดับ 1 จากสายตาคนมากมายทั่วโลก  ทั้งจากยอดขายและความสำเร็จที่ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกายอมรับได้  แต่จุดหนึ่งในชีวิตศิลปินของพวกเขาก็เคยถูกตราหน้าว่าเป็น boy band จอมโกหก หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าปลอมแปลงชาร์ทยอดขายของตัวเองจนแซงหน้า Big Bang ที่เป็นวงระดับตำนาน

แต่ความสำเร็จถล่มทลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย กระแสตอบรับจากสื่อตะวันตก รวมไปถึงกระแสความคลั่งไคล้จากแฟนๆข้ามทวีป มิใช่แต่เพียงใน Asia เท่านั้น ก็ทำให้ความคลางแคลงใจต่อหนุ่ม BTS จางหายไป

แต่คงไม่ใช่ antifan     ได้ยินมาว่า คนเหล่านี้ผนึกกำลังจาก fan club ศิลปินคู่แข่งและไม่ต้องการให้ใครมาเทียบรัศมีไอดอลในดวงใจ     ความยึดมั่นรุนแรงที่ขึ้นชื่อลือชาของ toxic fan นี่เองที่คอยตามมาเป็นขวากหนามความรุ่งโรจน์ของศิลปิน  พวกเขาทุ่มเทเวลาให้กับการขุดคุ้ยและสร้างข่าวลือจากการมโนหลักฐานต่างๆทั่ยั่วยุให้เกิดแรงเกลียดชัง
สิ่งที่ Jimin ต้องเจอนั้นร้ายแรงถึงขั้นถูก post ขู่ฆ่า  ถ้าต้นสังกัดไม่เคลื่อนไหวเพื่อหาตัวคนผิด เราก็คงต้องเสื่อมศรัทธากับวงการนี้จริงๆ!


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE