บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตแอร์แขก

224 79
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลางหรือเรียกง่ายๆว่า “แอร์แขก” ประสบการณ์เราเนี่ยไม่ได้นานมากหรอก แค่ 4 ปีครึ่งเอง แต่ว่าพี่สาวเราเป็นมา15 ปีแล้ว คือตัวเรงก็อยู่ในดงคนเป็นแอร์มานานเลยล่ะ ฟังทั้งพี่สาวและเพื่อนเค้าเล่าเรื่องต่างๆมนานมาก

Air Hostess เรียกว่า “Cabin Crew” หรือ “Cabin Attendant” แล้วแต่แต่บะบริษัทจะเรียก


เราอยากเป็นแอร์มาตั้งแต่อายุ 19 เพราะตอนนั้นพี่สาวเราได้ Etihad Airways รอบแรกที่สายการบินนี้มารับคนไทยเลยล่ะ ที่คิดไว้คืออยากเรียนจบแล้วเป็นแอร์เลย แต่ในความเป็นจริงคือกว่าจะได้เป็น อายุก็ปาเข้าไป 28 แล้ว เส้นทางไม่ได้สวยหรูเลย เราไม่ได้สมัครแอร์หลายครั้งแต่ตัวเราเองล่ะที่ไม่จริงจังปล่อยตัวเองอ้วนจนสัมครไม่ได้เลย ครั้งแรกที่สมัครแอร์คือตอนอายุ 21 คือเพิ่งเรียนจบใหม่ๆเลย เด็กจบกฎหมายไปสมัครแอร์ งานด้านบริการยังไม่เคยทำเลย การพูดจา การตอบคำถามไม่ได้เลย แถมไม่มีความมั่นใจ พออายุ 24 ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก กว่าจะมาลดได้ก็ตอนเข้าโครงการลดน้ำหนักตอนอายุ 27 ปี ตอนที่เราได้ตัวไม่เล็กเท่าไหร่แต่ก็หนักน้อยกว่านี้ 30 โลได้มั้ง 55


คุณสมัติของการเป็นแอร์


อายุ – Minimum Age หรืออายุขั้นต่ำแต่ละสายการบินไม่เท่ากัน สายการบินตะวันออกกลางเนี่ยเรื่องอายุขั้นต่ำจะมาจากกฎหมายของประเทศนั้นๆ อายุเท่าไหร่ถึงจะดื่มแอลกอฮอลล์ได้ เหตุผล คือ แอร์จะต้องเสิร์ฟเครื่องดื่แอลกอฮอลล์ด้วย 2 สายการบินที่เรารู้สายนึง 18ปี อีกสาย 21 ปี   ส่วนเรื่องของอายุเกินเท่าที่สังเกตบางสายการบินก็ไม่ได้ระบุไว้ สายการบินที่เราทำคนอายุ 30 กว่ายังได้เลย

ภาษาอังกฤษ โดยส่วนมากก็จะกำหนดไว้ว่า “Fluent” แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นทุกคนหรอกค่ะ คนไม่เก่งภาษาอังกฤษเราก็เห็นคนเอาตัวรอดในเทรนนิ่งได้ หรือแม่แต่การสื่อสารกับผู้โดยสาร ถ้าเราพูดแล้วผู้โดยสารเข้าใจ และเราเข้าใจที่ผู้โดยสารพูดก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะค่ะ

ส่วนสูง – บางสายการบินกำหนดว่าต้องสูงกว่า 160 หรือ 160 ซม. แต่บางสายการบินก็ไม่ได้กำหนด แค่ต้องเอื้อมแตะ 212 ซม.ได้ ต่อให้คุณสูงไม่ถึง 160 ก็ตามถ้าเอื้อมแตะได้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ เราสูง 162 เราเอื้อมแต่ได้พอดีเลย มันมาจากการที่แอร์ต้องปิดที่เก็บสัมภาระ ที่เรียกว่า “Overhead Bin” หรือ “Overhead Compartment” ก็เลยต้องมีการกำหนดว่าต้องเอื้มแต่ให้ได้เท่านี้


Benefits

  • ที่พักเป็น Shared Apartment แฟลตนึงจะแชร์กัน 2-3 คนแล้วแต่ตึกที่ได้ มีห้องนอนให้คนละห้อง ห้องครัว ห้องนั่งเล่น
  • รถบัสรับส่งตอนทำงาน
  • ประกันสุขภาพ
  • Laundry สำหรับยูนิฟอร์ม
  • เวลาบินไปค้างที่ประเทศอื่น (Layover) ก็จะได้นอนที่โรงแรม 4-5 ดาว  ห้องละคน
  • ตั๋วพนักงาน   
Annual Ticket ได้ปีละ 1 ใบ ถ้าต้องการให้คอนเฟิร์มต้องจองล่วงหน้า 15 วัน คือต่อให้ไฟล์ตเต็มก็ได้ไปแต่ถ้าไม่จองล่วงหน้า 15 วันก็จะไม่คอนเฟิร์ม
ID 50 คือการจ่ายแค่ 50% ไม่คอนเฟิร์ม สามารถใช้ได้ตลอด
ID 90 คือการจ่ายแค่ 10% ไม่คอนเฟิร์ม
ตั๋วให้ครอบครัว –อันนี้เราไม่ได้ใช้เพราะ Etihad สามารถซื้อ Business Class ให้พ่อแม่ได้
ตั๋วให้เพื่อน อันนี้เราไม่รู้รายละเอียดแล้ว เพราะว่ากาต้าร์เพิ่งมีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาแล้วก็หยุดไปช่วงนี้ แล้วก็เพิ่งกลับมาอีกช่วงนี้

ตั๋วทุกอย่างที่เรากล่าวมาเนี่ย ถ้าไฟล์ตเต็มมันก็จะมี Priority ของมัน ก็อาจจะได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ต้องดู อย่าเช่น ID50 และ ID90 ถ้าไฟล์ตเต็มก็จะไม่ได้ไป ถ้าไฟล์ตไม่เต็มแต่ลูกเรือเยอะ ก็ต้องดูความ Senior ของ Staff Numberตามจำนวนเงินที่จ่าย ID50 ยังไงก็ต้องได้ไปก่อน ID90


ก่อนที่จะเริ่มบินได้จะต้องมีเทรนนิ่งก่อนประมาณ 2 เดือน (ก็แล้วแต่สายการบินอีกที่อื่นอาจจะสั้นกว่าหรือยาวกว่านี้ก็ได้)ที่เรียนหลักๆ ก็จะมี
  • Service 3 สัปดาห์   - Standard and Procedures ในการบริการ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เสิร์ฟบนเครื่อง   การดูแลผู้โดยสาร 
  • Safety  ความปลอดภัยบนเครื่อง  3 สัปดาห์ การเปิด-ปิดประตูเครื่องบิน การเช็คสภาพการใช้งานเครื่องต่างๆ รวมทั้งวิธีการใช้ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน การเตรียมความพร้อมก่อนเครื่องออกและแลนด์ (Take Off and Landing) ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทั้งที่มีเวลาเตรียมตัวและไม่มีเวลาเตรียมตัว ประโยคคำพูดของกัปตัน (Command) ต่างๆที่เราต้องรู้ หนังสือนี่ยังกับประมวลกฎหมาย ดับเพลิงก็ต้องได้ 
  • First Aid 1 สัปดาห์ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือต้องรู้หลายอย่างเลยล่ะ ชีพจร การปั๊มหัวใจ (CPR) การใช้เครื่องปี๊มหัวใจ การให้ออกซิเจน การทำคลอด และวิธีการติดต่อศูนย์การแพทย์ที่จะให้ข้อมูลในการรักษา ต้องดูอาการของโรคต่างๆและต้องรู้ชื่อยาใน First Aid Kit
การทำงานบนเครื่อง ทุกๆ 3 เดือนจะมีการประเมินผล หัวหน้าจะดูการทำงานของเราว่าตรงตาม Standard Procedures มั้ย ช่วยเหลือคนอื่นมั้ยและมีการถามตอบเรื่องการบริการ ความปลอดภัยบนเครื่องและการปฐมพยาบาล

การที่ลูกเรือจะบินเครื่องบินแต่ละประเภทได้ก็ต้องได้รับการเทรนก่อน ตอนแรกเราได้เทรน Airbus 319 , 320 , 321 ,330 (4 เครื่อง) เพราะลูกเรือต้องรู้รายละเอียดเครื่อง การเปิด-ปิดประตู เครื่องมือต่างๆ
พอ 3 เดือน – Boeing 787
พอ 1 ปี – Boeing 777
หลังปีครึ่ง – Airbus 350


Grooming


จะมี Grooming Officer เช็ค Grooming ของเราก่อนไปบินจากโดฮาทุกไฟล์ต เรื่องที่เราโดนมากที่สุดไม่ต้องทาย คือยูนิฟอร์มแน่น55

Minimum Makeup Requirement เท่าที่เราจำได้มี 5 อย่าง
  1. รองพื้น
  2. บลัช
  3. มาสคาร่า
  4. ลิปสติก
  5. สีทาเล็บ 
คิ้วก็ต้องเขียนด้วย ลูกเรือบางคนคิ้วบางยังจะไม่เขียนคิ้วมาอีก

การแต่งหน้าก็ต้องไม่ใช้พวกกลิตเตอร์ต่างๆ สีลิปกับสีเล็บก็จะมีระบุไว้ว่าใช้สีอะไรได้บ้าง ของเราจะเป็นสีชมพูเข้ม สีแดง ห้ามสีม่วง น้ำตาลและส้ม เอาจริงๆเราก็แอบแต่งหน้าผิดระเบียบบ้างบางครั้ง สายการบินที่เราทำสีเล็บตอนนี้ทาสีนุ๊ดได้ละ เมื่อก่อนจะต้องทาสีปากกับเล็บสีเดียวกัน หรือไม่งั้นก็ต้องทาสีใส เรานี่ทาสีใสตลอดเพราะเปลี่ยนสีลิปสติกทุกวันเลยยยยย

ตัวอย่างการแต่งหน้าไปทำงานของเรา


รายได้


เงินเดือนแรกเข้าประมาณ 36,000 บาท
หลังจาก 6 เดือนขึ้นเป็น   40,000 บาท
ค่าบินชม.ละ 450 บาท
ค่ากินในช่วงที่ไปนอนประเทศอื่น 10,000-20,000
ลองคิดดูเล่นๆ สมมุติว่าบิน 80 ชม.   =450*80 =36,000
ค่ากินประมาณ 15,000 บาท

36,000+36,000+15,000 = 87,000 บาท เงินเดือนที่บินเดือนแรกเราก็ได้ประมาณนี้ เดือนที่ได้สูงสุด คือ 125,000 บาท แต่ก็ไม่ได้แสนกว่าบ่อยมาก เพราะถ้ามีเทรนนิ่งมีพักร้อนชม.ก็จะน้อยลง เงินที่ได้ก็น้อยตามลงไปด้วย การคิดอันนี้เราประมาณแบบกลางๆเลย มีมากมีน้อยกว่านี้ได้

ส่วนเรื่องของตารางบินก็สามารถรีเควสได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ก็ต้องลุ้นเดือนต่อเดือน 55

ชั่วโมงการทำงาน


ชั่วโมงการบินขึ้นอยู่กับไฟล์ตค่ะ มีตั้งแต่ 30 นาที – 18ชม.
ถ้าไฟล์ตยาวๆเกิน 10 ชม.ก็มักจะได้นอนบนเครื่องค่ะมีที่นอนให้ทั้งลูกเรือและนักบิน ของนักบินจะอยู่ด้านหน้าของลูกเรือจะอยู่ท้ายเครื่อง


ข้อดี – ข้อเสียของการเป็นแอร์โฮสเตส 

อันนี้เป็นคนความเห็นส่วนตัวของเรากับคนรอบข้าง เพื่อนๆเรา

ข้อดี คือ
1.รายได้ค่อนข้างสูง
2.ได้เที่ยวเยอะ คืออยากไปไหนก็สามารถขอตารางได้ ถ้าไม่ได้เดือนแรกก็ขอไปเรื่อยจนกว่าจะได้ 555

ข้อเสีย
  1. เหงา เกิดอาการ Homesick ได้ง่าย เพราะประเทศที่เราไปอยู่เค้าเป็นเมืองมุสลิมที่ยังไม่ได้เปิดมากอย่างที่ไทย คือทำอะไรหลายๆอย่างไม่ได้ กิจกรรมก็ไม่ค่อยมีน่าสนใจเท่าไหร่ ห้างก็ไม่ได้น่าเดินเท่าที่ไทย   เราฟังแอร์คนนึงพูด เค้าบอกว่าชีวิตเค้าเหมือนอยู่ที่หน้าจอมือถือ จะคุยกับใครก็ต้องคุยผ่านมือถือ ซึ่งอันนี้จริงมากๆ และยิ่งถ้าติดแฟนด้วยแล้วนั้น คงอยากจะลาออกทุกวันเลย 55
  2. สภาพแวดล้อมของประเทศที่ไปอยู่ อย่างที่เราบอกเค้าเป็นประเทศมุสลิม ต่างจากเมืองไทยมาก คือไม่ใช่ว่าอยู่ไม่ได้เลย แต่ต้องปรับตัวหน่อย 
  3. ชม.การทำงาน ไม่เป็นเวลาแล้วแต่ตารางที่ได้ บางทีไฟล์ตเช้า บางทีไฟล์ตกลางคืน บางวันก็ไฟล์ตสายๆหรือบ่าย ซึ่งเราว่าไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีปัญหาการนอน และเวลาเราทำไฟล์ตยาวๆมาก ที่เกิน 12 ชม. บอกเลยมันจะมีความรู้สึกเหมือนว่าอยู่บนเครื่องทั้งวันเลยล่ะ 
  4. บางคนก็มีปัญหาสุขภาพที่ไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ เรื่องสุขภาพนี่ก็ต้องดูเป็นคนๆไป
ส่วนตัวเรา เรายังสนุกกับการทำงานนี้อยู่ เราชอบที่ได้เงินค่อนข้างเยอะและได้เที่ยว และมีความสุขมากๆกับการได้ไปชอปเครื่องสำอางที่ Sephora ที่เมกา เรื่องปัญหาสุขภาพเรายังไม่มีนะคะ เพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับงานแอร์เลย

วงจรชีวิตของแอร์ในแต่ละเดือน


Meal Allowance Report – เงินค่าบิน (ชม.โมงบินและค่ากินที่ต่างประเทศ) ออกทุกวันที่ 6 ของเดือน แต่จ่ายพร้อมกับเงินเดือนตอนสิ้นเดือน

Bidding Report – ออกประมาณต้นเดือน บางเดือนก็วันที่ 8-10 เป็นรีพอร์ตที่บอกว่าไฟล์ตไหนใช้เครื่องบินอะไร คือลูกเรือก่อนที่จะรีเควสตารางต้องเช็คก่อน อย่างเช่นว่า เราอยากได้ไฟล์ตกรุงเทพ แต่เราไม่ได้รับการเทรนเครื่อง Airbus 380 และเดือนนั้นเค้าใช้ Airbus 380 เราก็จะขอไฟล์ตนั้นไม่ได้

Bidding – การรีเควสไฟล์ต รีเควสได้ถึงทุกวันที่ 18 ของเดือน บางเดือนก็วันที่ 15
ตารางออก – ตารางจะออกก่อนสิ้นเดือน 1 อาทิตย์ เช่นเดือนนั้นมี 30 วัน ตารางจะออกวันที่ 23 ถ้ามี 31 วันตารางจะออกวันที่ 24 อาจมีช้าหรือเร็วกว่านั้นก็ได้

Payslip ออกตอนเช้าของวันที่เงินเดือนออก (บอกจำนวนเงินที่ได้ในเดือนนั้นและมีหักค่าอะไรบ้าง)

เงินเดือน ออกวันที่ 28 หรือ 29 ของเดือน payslip ออกวันไหน ปกติเงินเดือนก็จะมาวันนั้น

นี่คือวงจรชีวิตของแอร์ในแต่ละเดือนจริงๆ รอวนไปวนมาทุกเดือน

เข้าสู่ช่วงตอบคำถาม 

-สายการบินตะวันออกกลางโดยส่วนมากไม่จำกัดอายุ 30 ต้นๆก็ยังน่าจะสมัครได้ค่ะ

- แหล่งชอปปิ้ง

เครื่องสำอาง Sephora , M.A.C. , Bobbi Brown และ Bath &Body Works , Victoria Secret etc. ที่เมกา

เสื้อผ้าแบรนด์ที่เราใส่โดยส่วนมากเป็นของสเปน (Zara , Mango , Pull&Bear etc.)

Inglot ต้องที่โปแลนด์เลยค่ะ ถูกมาก มารู้ก็ตอนที่เป็นแอร์เนี่ยล่ะค่ะว่าแบรนด์นี้เป็นของโปแลนด์)

ญี่ปุ่น – ขนม , เครื่องสำอาง ,Skincare และของกิน

Brandname ก็ต้องที่ยุโรป ประเทศที่ใช้เงินยูโรโดยส่วนมากราคาจะเท่ากัน ที่ต่างคือเปอร์เซนต์ของ Tax Refund

ลอนดอน ก็มี Lush (ชอปแรกของแบรนด์ที่ Oxford Str.) , Charlotte Tilbury , Primark , Topshop , Mark and Spencer etc.

Bio Oil ที่ South Africa

เวลาพักผ่อนมีมากกว่าอีกหลายๆงานเลย เดือนนึงทำงานเต็มที่ 17-20 วัน โดยส่วนมากเวลาที่บินไปนอนที่ประเทศอื่นก็จะบินไปถึงแล้ว 24 ชม.หลังจากนั้นถึงจะบินกลับ อาจจะมีน้อยกว่านี้แต่ก็ยังมีเวลาพักผ่อน
เดือนนึงบินกี่ไฟล์ตจะขึ้นอยู่กับตารางบินที่ออกมาค่ะ แต่ละเดือนจะไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น มี Layover (บินไปค้างที่ประเทศอื่น) 5 ที่ ไป-กลับก็จะเท่ากับ 10 วัน มี Turn Around (บินไปแล้วกลับเลย) 3 ไฟลต์ รวมๆก็คือต้องแต่งหน้าไปทำงาน 13 ครั้ง อาจมีมากหรือน้อยกว่านั้น อันนี้เราประมาณแบบกลางๆ

เวลาพักผ่อนสำหรับเราถือว่าเพียงพอค่า อาจมีช่วงเหนื่อยที่บินหนักบ้าง แต่วันหยุดก็เยอะอยู่ อย่างต่ำ 8 วัน/เดือน

เวลาให้ตัวเองมีเยอะมากเลยค่ะ บางทีเยอะจนเหงา เพื่อนบินไปที่อื่นไม่มีใครอยู่ก็เหงาดีค่ะ 55 เวลาให้ครอบครัวแทบไม่มีเลยค่ะ ปีนึงเรากลับไทย 30 วันเอง กลับเฉพาะช่วงพักร้อน แต่เราโทรหาแม่เราบ่อยอยู่ค่ะ
เรื่องผีนี่มีหลายที่เลยค่ะ แต่เราคิดว่าเราเป็นคนไม่เห็นผีค่ะ แต่ถ้าห้องไหนรู้สึกวังเวงมากๆก็จะนอนไม่ได้เลย ที่กล่าวขวัญกันเยอะ 
  1. ที่ไทย โรงแรมที่กรุงเทพนี่ที่สุดแล้วค่า ลูกเรือพูดถึงเยอะมาก และที่ภูเก็ต เป็นโรงแรมที่โดนสึนามิ ก็ต้องมีเป็นธรรมดาค่ะ
  2. Frankfurt Germany – อันนี้พี่สาวเราเจอ แต่เราแค่นอนไม่ได้
  3. Kathmandu Nepal ที่นี่ก็ลูกเรือหลายๆคนนอนไม่ได้เลย บางคนถึงกับว่าต้องมานั่งที่Lobby ช่วงกลางคืน
  4. Dhaka บังคลาเทศ
  5. โอซาก้า ญี่ปุ่น อันนี้เราไม่เห็นค่ะ เป็นไฟล์ตแรกของเราพอไปถึงที่เช็คอินพี่คนไทยเล่าฟังว่าเค้าเจอมายังไงบ้าง ไม่ต้องถามเลยค่ะ สรุปคือเราไม่ได้นอนกลางคืน ต้องมานอนกลางวันแทน
ต้องยอมรับจริงๆว่างานแอร์เป็นงานที่นอนไม่เป็นเวลาเลย ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีปัญหาการนอน เดี๋ยวไฟล์ตเช้า ไฟล์ตสาย ไฟล์ตบ่าย แล้วก็ไฟล์ตกลางคืน คือต้องเป็นคนที่นอนกลางวันได้   เรื่องเวลาพักผ่อนเนี่ยเพียงพอแน่นอน แต่ก็จะมีบางครั้งที่จากเวลาที่แลนด์ไฟล์ตก่อนจนถึงเวลาเครื่องออกไฟล์ตใหม่มีแค่ 12 ชม อันนี้จะเหลือเวลานอน 5-7 ชม. เพราะกว่าจะถึงห้อง กว่าจะได้นอน และก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวเร็ว รถมารับก่อนเครื่องออก 3 ชม.เต็มๆเลย อันนี้จะมีเวลาพักผ่อนน้อยหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีบ่อยมาก
ก่อนบินแต่ละไฟล์ตต้องมีการจัดกระเป๋า จดรายละเอียดของไฟล์ตที่เรียกว่า Station Info เวลาTake off and Landing , Flight no. UTC ของประเทศที่กำลังจะบินไป ,การเสิร์ฟอาหาร ,Custom Allowance ฯลฯ และดดยส่วนมากเราจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยและการปฐมพยาบาล เพราะเค้ามีการประชุมก่อนไปขึ้นเครื่องจะมีการถามตอบ

การประชุม หรือที่เรียกว่า Briefing เป็นการประชุมของลูกเรือไฟล์ตนั้นๆ จะพูดเรื่องรายละเอียดของไฟล์ต มีการถามตอบ Safety และ  First Aid และมีการแบ่งหน้าที่กันตามที่นั่งของลูกเรือตามประตูต่างๆของเครื่อง  คือทุกประตูจะมี Jumpseat สำหรับลูกเรือให้นั่งตอน Take-off และ Landing ที่นั่งนั้นๆจะเป็นตัวบ่งบอกว่าใครทำโซนไหนและมีหน้าที่อะไรบ้าง

การดูแลตัวเองระหว่างบิน คือต้องดื่มน้ำมากค่ะ เพราะบนเครื่องทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่าย และมีเวลาเมื่อไหร่ต้องรีบกินอย่าปล่อยให้ตัวเองหิว อากาศบนเครื่อง ความแออัด พื้นที่ที่จำกัดสามารถทำให้เราเป็นลมได้ง่ายกว่าอยู่บนพื้นดิน

ส่วนเรื่องของการตกหลุดอากาศ กัปตันจะสื่อสารกับหัวหน้าอยู่แล้วว่าจะรุนแรงหรือไม่ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ต้องรีบนั่งและขาดเข็มขัดนีรภัยเลยเพราะถ้าแรงตัวเราก็สามารถไปกระแทกกับอย่างอื่นได้ ต้องรีบเก็บของทุกอย่างเข้าที่ให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะรถเข็นเสิร์ฟอาหารก็ต้องรีบเก็บเข้าที่ให้เร็วที่สุด

ไปแต่ละประเทศเจออะไรเด็ดๆบ้าง

1.Amsterdam Netherland กลิ่นกัญชาทั่วเมืองเลยค่ะ แล้วก็ไป Red Light District ค่ะย่าน Sex เลยนั่น ที่เราเคยดูว่ามีผูหญิงใส่บิกินียืนอยู่ในตู้กระจกรอผู้ชายมาดีลราคาอ่ะ ตอนนี้แลดูเป็นกระเทยเอเชียนเยอะเลย มี Sex Museum , Sex Show

2.Paris เมืองในฝันของเตย อยากไปหอไอเฟลมานานมากแล้ว แต่ตอนที่ไป รถไฟพังกลางทาง กลางระหว่างสถานีด้วย พวกผู้ชายเลยต้องไปงัดรั้วเหล็กแล้วก็ออกไปกันค่ะ ออกไปก็ไม่รู้ด้วยตัวเองอยู่ส่วนไหนของปารีส วันนั้นอากาศ 0 องศา อยากร้องไห้มาก 555 แต่แบบสู้สุดๆยังไงก็ต้องไปถึงหอไอเฟลให้ได้

3.Athens Greece เมืองสวยดูมีอารยธรรม แต่คนนิสัยไม่มีดชอบดูถูกเอเชียน   ชอบพูดจาไม่ดีด้วย แถมเกือบถูกล้วงกระเป๋าที่นั่นอีก แต่ไหวตัวทันเลยโดนเตยตีที่มือไปแรงพอสมควร

4. Dhaka บังคลาเทศ การจราจรที่ไทยว่าแย่แล้ว เจอที่ดักก้าไปอึ่งเลย ขับแทรกกันไปมา บีบแตรกันทั่วเมือง โรงแรมอยู่ติดถนนใหญ่ ได้ยินเสียงแตรทั้งวันทั้งคืน รถตุ๊กๆก็เหมือนกรงนกสีเขียว 55

5. Moscow Russia อันนี้มีความประทับใจที่ได้ไปตรง Red Square คือเมื่อตอนม.ปลายเตยบ้าวอลเลย์บอลหญิงของรัสเซียมาก ถึงขั้นโดดเรียนไปดูที่สุพรรณบุรีกับพี่สาวตอนที่เค้ามาแข่งที่ไทยเลย ก็เลยมีความอยากไปRed Square นี้มาก พอไปถึงทุกอย่างมันเหมือนฝันมากกกก

เราเป็นคนที่แทบจะไม่ได้ดูแลผิวหน้าเลยค่ะ เมื่อก่อนใช้แต่ยาหมอ เพิ่งเริ่มมาลงสินแคร์ก่อนแต่งหน้าเมื่อปีที่แล้ว อาจจะเป็นความโชคดีของเราด้วยที่เราไม่ค่อยมีปัญหาผิวมากเท่าไหร่ คือเราเป็นคนที่ติดโค้กมาก แต่เราก็ดื่มน้ำเปล่ามาด้วยเช่นกัน และเราเป็นคนนอนเยอะ ช่วงไหนที่นอนน้อยหน้าดูเหี่ยวมากเลยค่ะ เราว่าสำคัญที่การดื่มน้ำและการนอน

สุขภาพร่างกาย ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเนื้องอก เราก็ไม่มีปัญหาสุขภาพอื่นเลยค่ะ ไข้หวัดก็เป็น 2 ปีครั้ง คือคนเราก็ต้องมีช่วงที่ร่างกายอ่อนแอบ้าง อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนนอนเยอะพักผ่อนเต็มที่ และถ้าเราป่วยเราไม่ฝืนตัวเองไปบินค่ะ อย่างเช่นเราเป็นไข้หวัด น้ำมูกเยอะเราลาป่วยเลยค่ะ เพราะเวลาที่เครื่องลดระดับตอนจะแลนด์เนี่ยอาจทำให้หูบล็อกได้ไม่คุ้มเลย เพราะถ้าบล็อกแล้วบางที 7 วันกว่าจะหาย บางคนมีเลือดออกมาด้วย และถ้าเป็นครั้งนึงแล้วครั้งต่อไปก็จะเป็นง่ายขึ้น

สุขภาพจิตใจ ก่อนเริ่มบินต้องมีพบจิตแพทย์ด้วยค่ะ แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตอนนั้นเราทำงานบริการมา 4-5 ปีก่อนเป็นแอร์ เราก็เลยจัดการกับความเครียดได้ไม่ยากเท่าไหร่ บางครั้งเจอผู้โดยสารด่าใส่หน้าโดยที่เราไม่ผิด หรือเจอหัวหน้าเพี้ยนๆ จิกแบบโรคจิต ก็ทำงานยากดีค่ะ แต่พอจบไฟล์ตทุกอย่างมันก็จบ ผู้โดยสารเค้าก็กลับบ้านไปไม่รู้จะได้เจอกันอีกรึป่าว ส่วนหัวหน้าบางทีก็อาจจะไม่ได้บินด้วยกันอีกเลยถึงจะอยู่บริษัทเดียวกันก็ตาม เพราะเปลี่ยนไฟล์ต ลูกเรือก็เปลี่ยน พอไฟล์ตจบทุกอย่างก็จบไปด้วย

ผ่านช่วงเวลายากๆของงานบริการมาได้อย่างไร คือถ้าผู้โดยสารไม่พอใจ ก็ต้องรับฟังเค้า ขอโทษและวก็พยายามหาทางทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้น งานบริการก็จะมีประมาณเท่านี้

เหตุการณ์ประทับใจ ก็คงจะตอนที่เราเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอมา 5 ปีอ่ะค่ะ อยู่ดีๆก็เจอกันแบบงงๆ คือเป็นเพื่อนที่ไม่ได้สนิทมาก แต่ตอนนั้นที่เค้ามาไทยเราก็พาเค้าไปเที่ยวนะ แล้วตอนอยู่ดูไบเราก็มีออกไปเที่ยวกันบ้าง คือถ้าให้นัดเจอก็คงไม่ได้เจอเพราะอยู่คนละประเทศกันแล้ว
คือการเป็นแอร์ไม่ได้ยากเท่าไหร่ค่ะ แต่ตอนที่สมัครนี่อยู่ที่ดวงมากๆ บางทีคุณสมัติเราเท่าเดิมสมัครครั้งแรกไม่ได้ พอสมัครรอบ 2  Recruiter เปลี่ยนคน เราอาจจะได้ก็ได้ แล้วแต่เลยว่าเค้าเห็นเราแล้วเค้าชอบบุคลลิก การพูดจาของเรามั้ย

พวกเหตุการณ์ลุ้นระทึกบนไฟล์ตที่เราทำไม่มีเลยค่ะ ในขณะที่ไฟล์ตอื่นมีผู้โดยสารเสียชีวิต เป็นลมชัก หยุดหายใจ หัวใจวาย ทำคลอด หรือ Engine หยุดทำงาน ต้องขอบคุณสิ่งศักดสิทธิ์ที่เรายังไม่เจอเรื่องพวกนี้เลย
พวกเราต้องเช็คกรูมมิงกันตลอดค่า ถ้าผมกระเซิงหัวหน้าสามารถบอกวห้เราไปทำใหม่ได้ หรือถ้าปากซีดก็บอกให้ไปเติมลิปสติกได้

และเวลาที่ไปไฟล์ตยาวๆที่ต้องนอนบนเครื่อง เวลาที่จะไปนอนก็ต้องเปลี่ยนเป็นชุดแกะผมออกแล้วไปนอน ตื่นมาก็ต้องทำผมอีกรอบ

เรื่องผีเนี่ยพี่ว่าพี่เป็นคนไม่เห็นผีนะ แค่นอนไม่ได้เฉยๆ

เราว่าเราทำละเอียดมากแล้วนะคะ ถ้าใครอยากรูอะไรเพิ่มเติมก็สามารถคอมเม้นต์ถามกันได้ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะที่สนใจและเข้ามาอ่านกัน ส่วนใครที่กำลังจะสมัครแอร์ก็ขอให้โชคดีค่ะ

จบด้วยการลงรูปที่ที่เที่ยวค่า เราเป็นคนแต่งตัวไม่เก่ง แฟชั่นแปลกๆ ยิ่งน้ำหนักขึ้นยิ่งไม่แต่ง
 
เราทำวิดีโอลงยูทูปด้วยแต่จะเป็นการตอบคำถาม เราเพิ่งลองตัดต่อวิดีโอได้ไม่นานไม่เข้าที่เข้าทางอาจมีอะไรที่ดูขัดหูขัดตาไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วย คราวหน้าจะพยายามทำให้ดีกว่านี้ และวิดีโอก็ยาวมาก พยายามตัดออกเยอะแล้วก็ยังยาวมากอยู่ดี

Bye XOXO


KathyC

KathyC

ชื่อเตยค่ะ อดีตแอร์โฮสเตสตัวอวบของสายการบินเมืองแขก รักการแต่งมากก แต่ฝีมือยังไม่ดีเท่าไหร่
ถ้าอยากรู้จักมากขึ้นเรามี FB Page : KathyC ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็สามารถไปถามกันได้ค่ะ

YouTube Chanel : Kathy Chanpen
Instagram : kathychanpen

FULL PROFILE