ดราม่าที่ไม่สิ้นสุดระหว่างดัชเชสเมแกนกับพ่อแท้ๆ

35 10
พิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกับนางเอก TV เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่ถึงปี พวกเค้ามีทายาทด้วยกันอย่างทันใจ สำหรับหลายคนแล้ว นี่คือคู่รักราชวงศ์ที่เหมือนกับหลุดมาจากนิยายและคาดว่าดัชเชสชาวอเมริกันจะมีความสุขที่สุดในโลก

แต่ทว่า...

ปัญหาที่ดูหนักหน่วงเรื้อรังมานานสำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังจะคลอดภายในไม่กี่เดือนนี้กลับเกิดขึ้นจากเรื่องราวขัดแย้งของสมาชิกครอบครัวโดยมีตัวละครสำคัญคือพ่อแท้ๆ ของเธอนั่นเอง รองลงมาก็คือพี่สาวคนละแม่ที่ตัดความสัมพันธ์กันมาหลายปี

เราจะเรียง timeline ให้ชมกันชัดๆ ก่อนค่ะว่าต้นตอของดราม่าเสียดแทงจิตใจใครหลายคนนี้ก่อตัวมาจากเรื่องใดบ้าง


-  Thomas Markle จัดฉากภาพเสมือนว่าเป็น candid ในการเตรียมตัวเดินทางมาร่วมพิธีเสกสมรสในฐานะพ่อเจ้าสาว content ของภาพดูเตี๊ยมชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศอังกฤษ เปิดจอดูข่าวของเจ้าชายและลูกสาว วัดตัวตัดสูท และ Dailymail ก็นำหลักฐานมาประจานว่านี่เป็นความพยายามจัดฉากแลกกับค่าตัวก้อนใหญ่


- กำหนดการยังเป็นเช่นเดิม เจ้าชาย Harry เสนอการอำนวยความสะดวกในการเดินทางทุกอย่างให้ แต่พ่อของดัชเชสส่งข่าวออกมาว่าได้รับความกระเทือนทางจิตใจจนเจ็บป่วยจากโรคหัวใจ แต่ก็เปลี่ยนใจ ประกาศว่ายังไงก็ต้องเดินทางมาส่งตัวลูกสาวที่ทางเดินวิวาห์ให้ได้ ก่อนจะหักมุมอีกครั้งในการลงเอยว่า เขาป่วยเกินจะเดินทาง และเจ้าฟ้าชาย Charles เป็นผู้อาสาเป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวแทน

*เมื่อถูกกล่าวหาหนักเรื่องแกล้งป่วย เขาได้ติดต่อกับสื่อเพื่อยืนยันว่า ตัวเองมีใบเสร็จเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้เข้ารักการรักษาอาการอาการหัวใจวายจริงๆ

** หลังจากออกจากห้องผ่าตัด Thomas ก็ติดต่อกับ TMZ เพื่ออัพเดทอาการของเขาแทบจะทันที เมื่อได้ดูพิธีเสกสมรสผ่านจอ TV เขาก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อเจ้าเดิมว่า

"ลูกสาวของผมได้เป็นดัชเชส และผมก็รักเธอมากจริงๆ ตอนที่คุณได้เห็นลูกเข้าพิธีวิวาห์ ความคิดมากมายก็ได้พร่างพรูมาในหัว ทุกความทรงจำตั้งแต่ที่เธอเกิด ความรู้สึกในครั้งแรกที่ผมได้อุ้มเธอ ผมอยากให้ Harry และ Meghan ไปฮันนีมูนดีๆ ด้วยกัน จะได้พักผ่อนหย่อนใจ และพวกครอบครัวทั้งหลายของผมจะได้หยุดพูดบ้างสักที"


คำพูดเหล่านี้อาจจะไม่ส่งสัญญาณใดๆ เลยว่าเขาจะหักเหจากบทบาทพ่อผู้สนับสนุนลูกมาเป็นชายเกรี้ยวกราดที่ไม่ยอมจัดการกับปัญหาความขัดแย้งแบบเป็นส่วนตัว เขาใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการโจมตีลูกสาวและสามีของเธอ รวมไปถึงราชวงศ์อังกฤษที่เขายังไม่เคยพบ

ข้อความเด็ดจากThomas ในเรื่องการหาเงินจากสื่อ

"เหตุผลที่ผมถูกตัดการติดต่อเพราะผมได้เงินจากการจัดฉากถ่ายรูป คนที่สร้างกำไรจากการขายราชวงศ์จะต้องถูกกีดกันไปหมดงั้นเหรอ ผมทำเงินได้เป็นแสนเหรียญจากการออกกรายทอล์คโชว์ แต่ถ้าผมย้ายไป London แล้วขายแก้วที่แปะรูปลูกสาว พวกเค้าจะกีดกันผมรึเปล่า กฎต่างๆ ของราชวงศ์มันล้าสมัยไปแล้ว คนครึ่งอังกฤษทำรายได้จากการขายภาพลูกสาวของผมและสวามีของเธอ แล้วมีใครทำอะไรพวกเค้ามั้ย มันฟังไม่เห็นเข้าท่าเลย ผมขอโทษไปแล้วแท้ๆ ถ้าสมเด็จพระราชินีไม่อยากจะพบผมเพราะผมสร้างเรื่องภาพเตี๊ยมงี่เง่านั่นมันก็ดูจะเหลวไหลเกินไปแล้วล่ะ"

* ประเด็นที่อาจจะหลงกันไปก็คือ หลังจากมีการเปิดโปงเรื่องจัดฉากขายภาพออกมาแล้ว Thomas เป็นคนที่ยืนยันเองว่าเจ้าชายได้เสนอความช่วยเหลือเรื่องการเดินทางทุกอย่างตามแผนเดิม กล่าวคือ ถ้าไม่มีเรื่องการป่วยเข้าโรงพยาบาล Thomas ก็จะเป็นตัวแทนฝั่งเจ้าสาวที่ได้ถ่ายภาพร่วมกับเชื้อพระวงศ์คนสำคัญแห่งอังกฤษ แต่ดัชเชสได้ยุติการติดต่อกับพ่อหลังจากการสัมภาษณ์เปิดใจออก TV ครั้งแรก

แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ ?



- การสัมภาษณ์ครั้งใหญ่กับ Good Morning Britain เขายังพูดถึงลูกสาวในแง่ดีงาม และยืนยันว่าดัชเชสเมแกนและเจ้าชายสวามีมิได้ติดใจโกรธเคืองในเรื่องภาพจัดฉากฉาวโฉ่ก่อนวันเสกสมรส แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนหูผึ่งก็คือบอกเล่าให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า ได้คุยกับเจ้าชาย Harry ผ่านโทรศัพท์ และพระองค์ได้เปิดใจกับเรื่อง Brexit และบอกให้เขาลองให้โอกาสประธานาธิบดี Trump แห่งอเมริกาดู และเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคำแนะนำนี้เลย


ราชวงศ์ที่อังกฤษก็เหมือนกับอีกหลายราชวงศ์ เชื้อพระวงศ์จะไม่แสดงความเห็นในเรื่องการเมืองให้เห็นว่าถือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การประกาศว่าเจ้าชายแห่งอังกฤษมีความเห็นส่วนตัวลับหลังสื่อในแง่บวกกับ Trump และ Brexit ดูจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของราชวงศ์อย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว แม้ว่าเขาจะเคยระบุไว้ชัดเจนว่าได้ทำความเข้าใจกับธรรมเนียมต่างๆ จากสำนักราชวังและปฏิบัติตามมานับปี ตั้งแต่ตอนที่เจ้าชายและ Meghan เปิดตัวเป็นรักกันเป็นทางการจนถึงการประกาศหมั้นหมาย Thomas ไม่ได้เข้าหาสื่อเพื่อเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมานานนับปี แต่กับกลายเป็นว่าเมื่อลูกสาวเสกสมรสเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์อังกฤษไปแล้ว เขาก็สลัดกฎต่างๆ ที่ได้รับฟังมาไปหมดสิ้น


(ผู้ชมหลายคนใช้วิจารณญาณแล้วคาดว่า เรื่องที่เจ้าชายถูกพาดพิงว่าเปิดใจให้กับ Trump และ Brexit อาจจะเป็นคำพูดที่ถูกพิธีกรเสี้ยมไว้ เพราะเจ้าชายสนิทสนมกับ Obama เป็นอย่างดี รวมถึงแนวคิดทางการเมืองของดัชเชสก่อนที่จะเสกสมรสเข้าร่วมราชวงศ์นั้นอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ Trump อย่างชัดเจน เรื่องที่พระองค์จะแนะนำพ่อของชายาว่าควรให้โอกาสประธานาธิบดีบริหารประเทศดูก่อนนั้นจึงฟังขัดแย้งกัน)


จากนั้นเป็นต้นมา การติดต่อจากดัชเชสก็เงียบหายไปจากพ่อที่ชื่นชอบการให้สัมภาษณ์ จนทำให้คนบางส่วนเชื่อว่า การยกความเห็นทางการเมืองขึ้นมาให้สัมภาษณ์นั้นอาจจะเป็นชนวนทำให้เธอรู้สึกโกรธเกินกว่าจะพูดจากับพ่อได้ตามปกติ


แต่ก็มีเสียงเล่าลือจาก Twitter และสื่อบางเจ้าว่า สาเหตุที่ดัชเชสเบรคการติดต่อพ่อบังเกิดเกล้าไว้มันลึกล้ำกว่านี้ค่ะ


- ในช่วงแรกที่ลูกสาวขาดการติดต่อไปนั้น เขาก็เริ่มโอดกับสื่อว่า พยายามติดต่อหาเธอทุกทางแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เขาให้สัมภาษณ์กับหลายสื่อ และประกาศย้ำหลายครั้งว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าครั้งสุดท้ายจะไม่มาถึงในเร็วๆ นี้ เพราะดัชเชส Meghan ยังปฏิเสธการพูดคุยกับพ่อโดยตรง แหล่งข่าวและหลักฐานล่าสุดระบุว่า Thomas สามารถติดต่อกับเธอได้ผ่าน แม่ Doria นั่นเองค่ะ ถ้าจะวิเคราะห์ก็คือ แม่อาจจะอาสารับหน้าที่คนกลั่นกรองข้อความก่อน หากมีจดหมายมีใจความดุด่าว่าร้ายที่จะกระทบใจดัชเชส มันก็อาจจะไม่ไปถึงตัวเธอ เพราะที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอกำลังโอบอุ้มชีวิตใหม่ในครรภ์ไว้ ลำพังเรื่องที่พ่อออกมาบริภาษตัวเธอและราชวงศ์ก็หนักหนาแล้ว สำหรับคุณแม่ตั้งท้อง


ว่ากันว่า ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชเชสตัดการติดต่อกับพ่อนั้น มาจากคำแนะนำของฝ่ายดูแลภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ ด้วยความหวั่นเกรงว่า บรรดาข้อความหรือบทสนทนาโทรศัพท์ส่วนตัวอาจะจะถูกบันทึกไว้เพื่อมาขายแลกเงินก้อนโตจากสื่อ จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง พ่อและพี่สาวคนละแม่ตระเวณให้สัมภาษณ์แลกค่าตอบแทนก้อนโต อดีตเพื่อนและสมาชิกครอบครัวนำภาพส่วนตัวมาขายแทบลอยด์ หนำซ้ำยังออกความเห็นที่ส่อไปในทางลบเพื่อสร้างข่าวฉาวโฉ่ แม้แต่พ่อที่เคยให้ความรักสนับสนุนเกื้อกูลกันมา ก็มีความเสี่ยงที่เขาจะใช้โอกาสจากความเชื่อใจของลูกสาวมาสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเอง


และสิ่งที่หลายคนได้คาดไว้ก็เกิดขึ้น


- ในขณะที่ Thomas เคยยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ฉวยโอกาสจากชื่อเสียงของลูกสาวเพื่อเงิน แต่พี่สาวต่างแม่ของดัชเชสประกาศอย่างไม่ยี่หระว่า ถ้าด่าแล้วได้เงิน ทำไมจะต้องหยุด

" ชั้นทำงานกับสื่อมาทั้งชีวิต กะอีแค่น้องสาวได้เป็นเข้าร่วมเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ทำให้ชั้นต้องหยุดหาเงินทองกับสื่อนี่นา ยอมรับความจริงหน่อยเถอะ เงินบันดาลได้ทุกสิ่ง ถ้าคุณจะบอกหาว่านี่เป็นการฉกโอกาสหากินกับชื่อเสียงเธอ มันจะเป็นอะไรล่ะ"

แม้แต่ลูกสาวของ Samantha ก็ยังออกมาร้องขอว่าให้แม่และตารามือจากการว่าร้ายดัชเชสได้แล้ว เพราะมันเป็นการกระทำที่สร้างความอับอายให้กับครอบครัว ที่จริงแล้วแม่เริ่มมาสนใจ ในตัวน้องสาวก็เมื่อตอนที่เธอเริ่มคบหาเจ้าชาย Harry นี่เอง

"แม่เคยบอกสื่อว่า แค่อยากจะสร้างความสัมพันธ์อันดีและแสดงความรักต่อน้องสาว แต่หลายปีที่ผ่านมา แม่พร่ำบอกชั้นและญาติๆ คนอื่นว่า Meghan เป็นพวกหลงตัวเองและเป็นผู้หญิงนิสัยแย่ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นจริงเลย " คำบอกเล่าของหลานสาวของดัชเชสสอดคล้องกับญาติคนอื่นที่ยืนยันว่าต่างภูมิใจในตัวของ Meghan และต้องการให้เรื่องการว่าร้ายนี้จบลงเสียที

แต่โอกาสที่ Samantha จะปล่อยวางดูริบหรี่กว่าเทียนใกล้มอดซะอีก เพราะแม้แต่แม่และลูกในไส้ของตัวเองก็ได้ตัดขาดกันไปแล้ว เธอยังให้สัมภาษณ์โจมตีดัชเชสบ่อยพอๆ กับพ่อ รวมไปถึงการเขียนหนังสือที่มีเนื้อหาว่าดัชเชสเป็นประเภท Cinderella แผนสูงจอมมารยา แหล่งข่าววงในก็ยังบอกว่า เธอช่วยพ่อจัดการเรื่องการต่อรองกับสื่อในเรื่องค่าตอบแทนจากการให้สัมภาษณ์ เห็นได้ชัดจากกรณีภาพจัดฉากของ Thomas เธอยอมรับว่าเป็นผู้การวางแผนจัดการเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้พ่อดูดีในสายตาชาวโลก แต่ประวัติเรื่องการหยามหยันน้องสาวแลกกับเงินจากสื่อนั้นทำให้ชาวเน็ทจำนวนมากมายไม่เชื่อถือเลยว่าเธอมีเจตนาอันดีงามตามที่อ้างไว้ และถ้านั่นเป็นแผนการสุดแยบยลที่ส่งออกมาก่อนพิธีเสกสมรสอย่างพอเหมาะพอเจาะ ถ้าพูดแบบร้ายๆ ก็คงเทียบได้ว่าเหมือนกับการดึงดัชเชสมาตบกลางสี่แยก! จากเดิมที่มีคนกลุ่มหนึ่งเหยียดหยามว่าเธอไม่คู่ควรกับชายหนุ่มสูงศักดิ์ รวมไปถึงอคติจากการแบ่งแยกสีผิวอยู่แล้ว เมื่อพ่อบังเกิดเกล้ารับเงินจากสื่อตั้งแต่ยังไม่ตบแต่งเข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ยิ่งทำให้เหล่า hater จิกกัดอย่างสนุกสนานว่าครอบครัว Markle นั้นหวังมากอบโกยจากราชวงศ์เต็มที่


ส่วน Thomas ก็โต้กลับว่าเขาตกเป็นจำเลยสังคมอย่างไม่แฟร์สักนิด "ใครๆ ก็บอกว่า ทำไมผมไม่หุบปากบ้างซะที Meghan ไม่สามารถติดต่อกับผมได้เพราะกลัวว่าผมจะเอาความลับไปโพนทะนา โพนทะนากับผีน่ะสิ ผมถูกใส่ร้ายมากมายหลายเรื่อง แต่พอแม็กกาซีนลงเรื่องเสื่อมๆ ของเจ้าฟ้าชาย Charles แต่ทำไมไม่มีใครหยิบมาเป็นประเด็นโจมตีเจ้าชายบ้างเลยล่ะ"

.





รวบรวมคำกล่าวหาของ Thomas Markle ไปถึงลูกสาวและราชวงศ์อังกฤษ

- จิกกัดสมเด็จพระราชินี Elizabeth ว่าทรงต้อนรับขับสู้ประธานาธิบดี Trump ในฐานะราชอาคันตุกะได้ แต่ทรงไม่ยอมพบปะกับเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ชั่วร้ายขนาด Trump
(เป็นความพยายามในการใช้เรื่องการเมืองมาพาดพิงราชวงศ์อีกครั้ง เราสัมผัสถึงการยกตัวว่า เขามีอุดมการณ์ทางการเมืองสูงส่งกว่าเจ้าชาย Harry และสมเด็จพระราชินีผู้เป็นประมุขแห่งราชวงศ์อังกฤษ)

- โจมตีเจ้าชาย Harry เรื่องภาพลักษณ์ที่ฝืนธรรมเนียมของสำนักราชวัง โดยระบุว่า จะดีจะชั่วอย่างไร เขาก็ไม่เคยใส่เสื้อที่มีสัญลักษณ์ Nazi ในงานแฟนซี และเปลือยกายเล่น pool (วีรกรรมของเจ้าชายในสมัยสิบกว่าปีก่อน)

- กล่าวหาว่าราชวงศ์บังคับให้ Meghan ตัดความสัมพันธ์กับเขา และเธอกำลังหวาดกลัวกับการถูกบีบไม่ให้แสดงความคิดเห็นและเชื่อว่าราชวงศ์นี้ไม่ต่างอะไรกับลัทธิแปลกประหลาดที่บงการสาวกจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง เขาจิกกัดว่าตอนนี้ Meghan ต้องแต่งกายเฉิ่มเชยราวกับย้อนยุค "ทำไมพวกเค้าต้องใส่ชุดยาวคลุมเข่าด้วย"

- ออกรายการ Good Morning Britain อีกครั้ง หนนี้ประกาศว่าไม่ได้รับเงินค่าตัว แต่แฉกับพิธีกรว่า "เธอเป็นพวกจอมบงการมาตลอด และมันเป็นตัวตนจริงของเธอ แต่เธอไม่เคยทำตัวหยาบคาย เธอแค่ต้องเป็นผู้นำเสมอ


- แม้จะเคยพูดคุยบุตรเขยเชื้อพระวงศ์ผ่านโทรศัพท์เพียงสองครั้ง Thomas กล่าวโทษเจ้าชาย Harry เต็มที่ว่า คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องข้อผิดพลาดของเขาและบอกให้ "หัดทำตัวเป็นผู้ชายแมนๆ และลืมมันไปซะ" "เจ้าชายก็เป็นคนเท่าเทียมกับเราทั้งหลาย แต่ผมว่าเขาเชื่อว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นและเขามีสิทธิ์พูดดูถูกคนอื่นได้ ผมจะไม่ยอมทนกับเรื่องนี้ มันเป็นความยโสโอหัง"


บทสนทนาของเขาและเจ้าชายที่ Thomas เล่าให้สื่อฟังนั้น ครั้งแรกเป็นการทักทายและคุยสัพเพเหระอย่างรวบรัด เจ้าชายเองก็ได้เตือนThomas ให้ระมัดระวังเรื่องสื่อไว้ เพราะอาจจะนำพิษภัยมาให้ แต่เขาไม่ฟังคำเตือนนั้น ร่วมมือกับ Samantha จัดฉากภาพกับ paparazzi และผลที่ตามมาร้ายแรงกว่าความอับอายของทั้งสองฝ่าย เขายอมรับว่าเจ้าชายเตือนไว้อย่างถูกต้อง เพราะได้รับผลกระทบหนักมากจนต้องลงเอยที่เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล ส่วนครั้งที่สองเป็นการเปิดอกขอโทษเจ้าบ่าวหมาดๆ พระองค์ยอมรับคำขอโทษนั้น แต่ก็มีย้ำซ้ำว่า นี่คือผลลัพธ์ที่ Thomas ไม่รับฟังเขาตั้งแต่ต้น จากคำพูดนี้ทำให้พ่อดัชเชสเหน็บแนมว่าเจ้าชายยกตนอยู่เหนือมนุษย์

* เจ้าชายมีประสบการณ์ที่ต้องพบเห็นความทุกข์ทรมานของพระบิดาพระมารดาจากการถูกสื่อขุดคุ้ย (หนักขนาดดักฟังโทรศัพท์) ทั้งจากเรื่องส่วนตัวที่เป็นข้อเท็จจริงและใส่ความเพื่อขายข่าว ตอนที่ Meghan และแม่ของเธอเริ่มถูกสื่อคุกคาม ก็เป็นเจ้าชายที่ออกโรงปกป้องด้วยการต่อว่าสื่อที่ล้ำเส้น เราไม่คิดว่าเจ้าชายจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของราชวงศ์ไปมากกว่าสภาพจิตใจของว่าที่พระชายา เพราะเธอได้เดินจากชีวิตเสรีที่อเมริกาก้าวเข้าสู่รั้วพระราชวังที่มีกฎระเบียบมากมาย หากเริ่มต้นด้วยความด่างพร้อย ก็จะยิ่งจะสร้างแรงกดดันให้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับพระชายาคนอื่น ดัชเชส Meghan เป็นผู้เดียวที่ได้รับจดหมายแสดงความเกลียดชังเหยียดสีผิวและขู่ให้สะพรึงด้วยวัตถุแปลกปลอมที่ชวนให้เข้าใจว่าเป็นอาวุธชีวภาพ ความหนักแน่นจริงจังของเจ้าชายในเรื่องการรับมือกับสื่อจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด







- บางคนอาจจะสงสัยว่า งานนี้ไม่มีลำเลิกบุญคุณบุพการีเลยหรือ แน่นอนค่ะว่าต้องมี หลังจากที่ด่าสวามีก็แล้ว ด่าเครือราชวงศ์ก็แล้ว การตอบรับก็ยังนิ่งเงียบ Thomas ก็ออกมา brand ลูกสาวว่าอกตัญญู "เธอจะไม่มีอะไรเลยถ้าไม่ได้ผมช่วย ผมทำให้เธอกลายเป็นดัชเชสอย่างทุกวันนี้ได้ ผมสร้างเธอมากับมือ"

(ก่อนที่จะพบรักกับเจ้าชาย Meghan ที่มีรายได้ดีจากอาชีพนักแสดงได้จุนเจือพ่อแม่ตามสมควร เธอส่งจดหมายและการ์ดให้อย่างสม่ำเสมอ หลังจากเข้าพิธีเสกสมรสเธอได้พูดคุยกับพ่อว่ามีแผนจะบินมาเยี่ยมเยียน)


อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือ การว่าร้ายให้กับดัชเชส Meghan ด้วยการกระจายข้อมูลให้คนอื่นคิดว่าเธอ"หัวสูง" "เย่อหยิ่ง" "เป็นวัวลืมตีน" นั้น ไม่ใช่การด่าลอยๆ ตามsocial media แทบทุกครั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์นั้น ทั้งพ่อและพี่สาวได้เงินจำนวนไม่น้อยตอบแทนทุกครั้ง มันยากจะทำให้ใจให้เชื่อว่า พ่อของเธอจะไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ายิ่งเขาให้สัมภาษณ์โจมตีลูกสาวและราชวงศ์อังกฤษมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับทำให้หนทางการเยียวยาความสัมพันธ์พังทลายลงไปกว่าเก่า จากแต่แรกที่เธออาจจะรอคอยให้เรื่องซาลงไปก่อนแล้วค่อยหาทางปรับความเข้าใจกัน แต่พ่อกลับไม่ปล่อยช่องว่างใดๆ เขาออกสื่อเพื่อพูดจาส่อเสียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้ว่าการหนีปัญหาของดัชเชสอาจจะไม่ใช่วิธีที่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น

แต่ว่าความระแวงว่าจะถูกพ่อนำข้อมูลส่วนตัวมาขายสื่อกลายก็ได้เป็นจริงในที่สุด




สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง People ก็ได้เข้าถึงเพื่อนๆ ของดัชเชส และเป็นที่คาดการณ์กันว่า ทั้งสำนักราชวังแต่ดัชเชสเองได้ approve ข่าวครั้งนี้แล้ว (จากเครดิตของ People ที่เซเลบมักเลือกเป็นตัวกลางในการเผยแพร่ statement และเข้าตัวแทนคนดังรวมถึงแหล่งข่าววงในที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก ซึ่งการให้ข่าวกับ People ก็ไม่ได้แหวกแนวค่ะ เพราะสื่อหลักของอังกฤษนั้นวนเวียนลงข่าวโจมตีดัชเชสแทบไม่เว้นให้พัก สื่ออเมริกันที่สนับสนุนเธอมากกว่านั้นดูจะเป็นทางเลือกที่ลงตัวกว่า


"พ่อ Meghan รู้ดีว่าจะติดต่อเธอได้อย่างไร เธอไม่เคยเปลี่ยนเบอร์โทร แต่เขาไม่ได้โทรหาเธอ เขาไม่ได้ส่งข้อความด้วย มันจึงหนักมากสำหรับเธอ และพวกเราคิดว่าเธอโศกเศร้ามากกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจเพราะอย่างไรเขาก็คือพ่อ"

" หลังจากที่มีเรื่องภาพจัดฉากออกมา Meg และ Harry ก็ยังตั้งใจจะจัดการให้เขาเดินทางมายัง Londonให้ได้ พวกเขาไม่ได้ปรึกษาหารือกันเรื่องที่ Tom โกหกแล้วไม่ยอมเดินทางมาพร้อมกับ Doria เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเธอหรือ Harry เช้าวันต่อมาตามกำหนดที่รถต้องไปรับเขาไปที่สนามบิน เขาก็ไม่ยอมขึ้นรถ หลังจากนั้นก็มีข่าวตามมาว่าเขามีอาการหัวใจวาย เธอเฝ้าติดต่อหาเขาจนถึงคืนก่อนพิธี ส่งข้อความว่า ช่วยรับโทรศัพท์ด้วยเถอะค่ะ หนูรักพ่อนะ และหนูก็กลัวด้วย มันดูเหมือนไม่จบไม่สิ้นเลย"


"หลังจากพิธีเสกสมรส เธอส่งจดหมายถึงเขาว่า พ่อคะ หนูรู้สึกเหมือนใจสลาย หนูรักพ่อ หนูมีพ่อแค่หนึ่งคนเท่านั้น ขอความกรุณาพ่อหยุดการว่าร้ายหนูผ่านสื่อเถอะค่ะ เราจะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์พ่อลูกกัน ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรออกมา ทีมที่ดูแลเธอจะเข้ามาตรวจสอบเรื่องราวกับเธอ และมันเจ็บเหมือนศรปักหัวใจ เขาเขียนจดหมายยืดยาวตอบกลับเธอแต่ลงท้ายด้วยการขอให้เธอถ่ายรูปออกสื่อกับเขา ทำให้เธอรู้สึกว่านี่มันไปคนละทางกับคำขอร้องของเธอ เธอขอให้เขาเลิกติดต่อกับเธอโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือ แต่เขากลับอยากจะคุยกับเธอด้วยสื่อต่อ ทำให้เธอสงสัยว่าพ่อจะรับฟังเธอบ้างหรือไม่ พวกเขาแทบจะลงเรือกันคนละลำแล้ว"



สิ่งที่แฟนๆ ราชวงศ์อังกฤษทำนายกันอย่างพร้อมเพรียง (จากสองเว็บที่เราติดตาม) คือ วันต่อมา Thomas คงจะขายจดหมายให้กับสื่อใดสื่อหนึ่งของอังกฤษที่ลงข่าวโจมตีลุกสาวเสมอ ตัวเก็งหนีไม่พ้น Dailymail

และพูดไม่ผิดปาก reaction แบบไทยๆ คงตบเข่าดังฉาด บ่นว่าทำไมซื้อหวยไม่ถูกบ้าง เพราะวันต่อมา จดหมายที่เพื่อนของดัชเชสกล่าวถึงนั้นก็ตกไปอยู่ในความครอบครองของ Dailymail อย่างทันใจ ส่วนมูลค่าเท่าใด ไม่ได้มีธรรมเนียมบังคับให้เปิดเผย 


หลังจากที่ Thomas ก่นด่าชาวเน็ทที่ใส่ร้ายว่าเขาจะนำความเรื่องส่วนตัวของลูกสาวมาขาย จดหมายของเธอก็ได้ปรากฏให้ทุกคนได้อ่าน คำพูดที่บอกว่าเธอไม่ยอมติดต่อมาเลยและเมินเฉยกับเรื่องโรคภัยของเขานั้นจะสอดคล้องกับใจความในจดหมายของดัชเชสหรือไม่ เราจะถอดความให้อ่านกันค่ะ

พ่อคะ

หนูเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพ่อจึงเลือกเส้นทางนี้ พ่อกำลังทำเหมือนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่พ่อทำลงไป

พ่อได้ทำให้ใจหนูแตกไปเป็นล้านเสี่ยง มันมิใช่เรื่องที่ผ่านไปได้โดยง่ายเพราะพ่อเลือกที่จะไม่เปิดเผยความจริง มันเป็นสิ่งที่หนูไม่มีวันจะเข้าใจได้เลย

พ่อบอกสื่อว่าพ่อโทรหาหนูเพื่อจะบอกว่ามาร่วมพิธีเสกสมรสไม่ได้แล้ว แต่พ่อไม่เคยโทรหาหนูเลย
พ่อบอกสื่อว่า หนูไม่เคยช่วยเหลือเรื่องการเงินเพราะพ่อไม่เคยขออะไรจากหนู
แต่มันไม่จริง พ่อส่งอีเมลหาหนูเมื่อเดือนตุลาคมก่อนนู้นว่า 'ถ้าพ่อพึ่งพาเรื่องเงินทองกับลูกมากเกินไป พ่อก็ขอโทษด้วย แต่ลูกช่วยให้มากขึ้นได้ไหมเพราะมันเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับความภักดีที่พ่อหยิบยื่นให้"

หนูมอบความรักและปกป้องพ่อมาตลอด เสนอตัวในการสนับสนุนเรื่องการเงินจากความวิตกในเรื่องสุขภาพของพ่อ หนูถามพ่อเสมอว่าหนูจะช่วยพ่ออะไรได้บ้าง

ในสัปดาห์ที่หนูกำลังจะเข้าพิธีเสกสมรส ก็ต้องตกใจกลัวที่ได้ยินข่าวเรื่องอาการหัวใจวายของพ่อ หนูโทรและส่งข้อความหาเพื่อจะให้พ่อรับคำความช่วยเหลือ เราส่งคนไปหาพ่อ แต่แทนที่พ่อจะยอมคุยกับหนูและให้หนูช่วยพ่อได้บ้าง พ่อกลับเลิกรับโทรศัพท์แล้วให้สัมภาษณ์แทบลอยด์

ถ้าพ่อรักหนูเหมือนกับที่พ่อได้ประกาศกับสื่อ กรุณาหยุดเถอะค่ะพ่อ
ช่วยปล่อยให้พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข
ช่วยหยุดการโกหก หยุดการสร้างความเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ขอให้พ่อช่วยยุติการหาประโยชน์จากความสัมพันธ์ของหนูและสามีด้วยเถอะค่ะ

หนูรู้ว่าพ่อมาไกลเกินกว่าจะมองเห็นทางออก แต่ถ้าพ่อลองหยุดใคร่ครวญก็จะพบว่า การใช้ชีวิตด้วยการคิดดีทำดีต่อผู้อื่นนั้นมีค่ามากกว่าค่าตอบแทนใดๆ ในโลกนี้"



"หนูขอร้องให้พ่อเลิกอ่านพวกแทบลอยด์เสียเถิดค่ะ หากพ่อคลิกอ่านข่าวก็จะเจอเรื่องโกหกเกี่ยวกับตัวที่สื่อเหล่านั้นนั่งเทียนเขียนขึ้นมา ซ้ำร้ายพ่อยังถูกชักจูงจากลูกสาวอีกคนของพ่อซึ่งหนูแทบไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเธอแต่อย่างใด

พ่อได้แต่มองหนูที่ทุกข์ทนไม่ปริปากกับคำโกหกร้ายกาจของเธอคนนั้น หนูได้แต่เจ็บปวดอยู่ภายใน
เราพยายามสนับสนุนและปกป้องพ่อมาตั้งแต่ตอนต้น พ่อก็ทราบดี
แต่หนูกลับได้ยินพ่อโจมตี Harry ออกสื่อ เค้าเป็นคนที่มีความอดทน จิตใจดีงามและเข้าใจว่าพ่อเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดจากเรื่องนี้

แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พ่อยังปล่อยข่าวลวงออกมาไม่หยุด การแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาดึงให้พ่อถลำลงไปลึกลงเรื่อยๆ


สิ่งเดียวที่ทำให้หนูข่มตานอนหลับลงในแต่ล่ะคืนได้นั้นก็คือความศรัทธาและบอกตัวเองว่าคำหลอกลวงจะไม่อยู่มั่นคงไปตลอดกาล


หนูเคยเชื่อพ่อ เคยไว้ใจพ่อ และบอกว่าหนูรักพ่อ
เช้าวันต่อมาก็มีคลิปจากกล้องวงจรปิดออกมา (*น่าจะเป็นคลิปตอนที่ถูกแฉว่าจัดฉากถ่ายภาพค่ะ)
พ่อไม่ติดต่อหนูเลยตั้งแต่สัปดาห์แรกที่หนูแต่งงาน แต่พ่อกลับอ้างว่าไม่สามารถติดต่อหนูได้ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม เบอร์โทรศัพท์ของหนูก็ยังเบอร์เดิมค่ะพ่อ
ไม่มีข้อความ ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ ไม่มีการติดต่อใดๆ ทั้งนั้น มีแต่ข่าวการสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก และพ่อก็ได้รับเงินจากการสัมภาษณ์พูดเรื่องเท็จที่ฟังดูอันตรายและสร้างรอยแผลแสนเจ็บปวด"



ประเด็นสำคัญที่เพื่อนๆและผู้คนจำนวนมากที่รับรู้เรื่องนี้แสดงความกังวลก็คือ สภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งท้อง แค่ถูกสื่อ bully ก็ดูจะหนักพอแล้ว (Dailymail นำผู้เชี่ยวชาญการอ่านลายมือมาทำนายนิสัยจากลายมือดัชเชสว่า เธอเป็นพวกหลงตัวเองไม่ลืมหูลืมตาและเป็นจอมบงการ อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะร้อง wow!) แต่การที่ถูกผู้ให้กำเนิดตระเวณให้ข่าวว่าเป็นบุตรใจจืดใจดำที่ทอดทิ้งพ่อ คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับชีวิตของเธอ แต่อาจจะส่งผลกระทบไปถึงทารกน้อยในครรภ์ บางคนก็พูดถึงเปรียบเทียบประวัติศาสตร์คนรุ่นก่อน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เจ้าหญิง Diana ไม่ได้ลงรอยกับแม่ของเธอ และต้องจากกันกะทันหันโดยยังไม่ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์


เรารู้สึกสงสัยเหมือนกับทุกคนว่า ดราม่าในสายเลือดนี้จะมีวันจบลงหรือไม่   ?


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE