:+:HOW TO :+: แต่งหน้าสวยใสไปรับปริญญาได้ด้วยตัวเอง

17 2

สวัสดีค่ะ ฮาวทูนี้จะเป็นฮาวทูคอนเทสต์ครั้งแรกของเราหลังจากที่ส่องมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยมัธยม ไม่เคยได้ลงแข่งกับเขาซักที มาวันนี้ได้หัวข้อที่เหม๊าะเหมาะกับบัณฑิตป้ายแดง (เมื่อเกือบสามปีที่แล้ว) อย่างเรา #แบบนี้ก็ได้หรอ55555 ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะทุกคน

*หมายเหตุ* กระทู้นี้จะเป็นกระทู้ HOW TO + Story Telling ที่จะแชร์ความพลาด ความพังที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเพื่อให้น้องๆที่จะรับปริญญาในตอนนี้ไม่พลาดแบบพี่คนนี้นะคะ 55555

สำหรับลุคที่ส่งเข้าท้าชิงในวันนี้เป็นลุคใสๆที่เราเลือกใช้แต่งจริงในงานรับปริญญาของเราตอนนั้น หลังจากผ่านการรับปริญญามาแล้วสำหรับเรา เรามีความเห็นส่วนตัวว่าการรับปริญญาไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าหนา หรือแต่งเข้มจนกลายเป็นคนอีกคนนึง แต่ประเด็นหลักคือการแต่งหน้าเพื่อไม่ให้หน้าซีดจนเกินไปยามถ่ายรูปโดนแสงแฟลช ที่สำคัญคือต้องมีความมั่นใจในลุคที่เราแต่งด้วย ดังนั้นหากมีน้องๆเข้ามาดูเพื่อหาแนวทางในการแต่งขอให้น้องๆเลือกแต่งในสิ่งที่เป็นตัวเองมากที่สุดไม่ใช่แต่งตามใครๆเพราะเห็นว่าเขาแต่งตามกัน เลือกในแบบที่เราชอบแต่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามประกาศมหาลัยก็พอแล้วค่าา อิอิ

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้มีดังต่อไปนี้ค่าาา 

เพิ่มเติมจากที่ไม่มีข้อมูลในจีบันมีดังนี้ค่ะ

  •  Smith Total sunscreen SPF50+ PA+++
  • Brow it Liquid eyebrows matte #04 Espresso
  • Brow it High Technique duo liner
  • Twelve o’ clock Super Black & Waterproof Eyeliner

Step 1 การแต่งหน้าสวยเริ่มต้นได้ด้วยการมีผิวที่ดี 

ก่อนแต่งหน้าเราต้องเตรียมผิวให้มีความชุ่มชื้นกันก่อน จะได้แต่งหน้าได้ง่ายๆ รองพื้นและแป้งเกาะหน้าอยู่กับเราไปทั้งวัน วิธีการดูแลผิวให้มีความอิ่มฟูง่ายๆก็คือการมาสก์หน้านั่นเอง! เดี๋ยวนี้ก็มีมาสก์หลายแบรนด์ที่ถูกและดีหลากหลายมาก สำหรับพี่ ตอนนั้นใช้ Beauty Diary กับ Innisfree มาสก์ก่อนนอนไปเลยค่าา ตื่นมาผิวนุ่ม พร้อมลงเมคอัพละ    

Step 2 เราจะไม่ยอมเสียผิวสวยๆให้กับแดดวันรับปริญญาเพียงวันเดียว

แน่นอนว่างานรับปริญญามันคือการยืนถ่ายรูปในที่แจ้ง แดดจ้าเป็นเวลานาน บอกเลยว่าครีมกันแดดสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จะลืมอะไรก็ได้ แต่ห้ามลืมทากันแดด! ทาทั้งหน้า และ ตัวเลยนะ  สำหรับวันนี้ใช้กันแดดของหมอโอ๊คค่ะ ทาเข้าไปๆ

Step 3  ผิวเนียนพร้อมถ่ายรูป 360 องศา

แน่นอนว่าพอยท์หลักของงานนี้คือการถ่ายรูปนั่นเอง ฝากไว้สำหรับน้องๆที่กำลังจะเลือกซื้อรองพื้นสำหรับงานรับปริญญาไว้ 2 ข้อใหญ่ๆนะคะ

- เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของเรา ตอนนั้นใช้รองพื้นฝาดำเรฟล่อน ต้องบอกว่ามันคือความพลาดของเราเลยเนื่องจากตอนนั้นไม่เคยใช้รองพื้นมาก่อนเลยเลือกไม่ถูกว่าจะใช้ของอะไรพอเสิร์ชแล้วเห็นคนใช้ฝาดำเยอะดีก็เลยซื้อตาจนลืมเรื่องความเหมาะสมของผิวเรากับผลิตภัณฑ์ไป ของที่คนอื่นใช้แล้วดีไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้แล้วดี เราหน้าแห้งแต่ดันซื้อรองพื้นสำหรับคนผิวมันมาใช้เนี่ยนะ ผิดมหันต์! 

- เลือกสีรองพื้นให้เท่ากับหรือใกล้เคียงกับสีผิวจริงของเรามากที่สุด เวลาไปลองอย่าลองแค่ที่มือ เพราะสีหน้ากับสีมือของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้น ลองที่หน้าให้แน่ใจไปเลยนะคะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย ถ้าได้สีผิดมาแล้วขึ้นกล้องโดนแฟลชปุ๊บ...ไม่อยากจะนึกเลยใช่มั้ยล่ะคะ 5555 

อุปกรณ์สำหรับงานผิววันนี้

ผิวแห้งอย่างนี้ขอลงเบสเพิ่มความฉ่ำเงาไม่แห้งกร้านซักนิดด้วย Espoir Dewy Face Glow ค่ะ ที่เลือกตัวนี้เพราะราคาหลักร้อย น้องๆผิวแห้งน่าจะซื้อตามกันได้ค่ะ :)

วันนี้ใช่รองพื้นของ Jane Iradale ค่ะเป็นรองพื้นในดวงใจสำหรับปีนี้แล้ววว ฮี่ๆ


ปกปิดร่องรอยต่างๆด้วยคอนซีลเลอร์

ขอลงบรัชออนแบบครีมซักนิดเพื่อความติดทนของแก้มประดุจ I woke up like this 5555

ป้องกันหน้าละลายไหลย้อยระหว่างวันด้วยการปัดแป้งอัดแข็งซัก 1 รอบค่ะ เพราะวันรับปริญญาไม่ฝนตกก็แดดเปรี้ยง ยังไงรองพื้นมีย้อยแน่ๆถ้าไม่เซตด้วยแป้ง ตอนนั้นใช้แป้งฝุ่นโปร่งใสลอร่าขนาดทดลองก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ เพราะราคาร้อยนิดๆเท่าน้านน

Step4 เขียนคิ้วกันดีกว่าาา...

เคล็ดไม่ลับที่ทำให้เราดูสวยเป๊ะ ถ่ายรูปขึ้นกล้องก็คือ “คิ้ว”นั่นเอง เพราะคิ้วคือมงกุฎของใบหน้า แค่คิ้วเป๊ะก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ เทคนิคก็คือทำยังไงก็ได้ให้ดูเป็นธรรมชาติไม่เหมือนปลิงเกาะ วิธีของเราก็คือเริ่มวาดโครงก่อนเว้น หัวช่วงคิ้วไว้ จากนั้นก็ค่อยๆวาดเส้นขนจากหางคิ้วมาเรื่อยๆ ส่วนหัวคิ้วก็ใช้แปรงเกลี่ยๆเอา ก็จะได้ประมาณนี้ แฮ่

อุปกรณ์ที่ใช้เขียนคิ้วในวันนี้...

1.) Laneige Eyebrow Cushion cara เป็นหนึ่งในดวงใจของเราในปีนี้เลย เนื่องจากมันเป็นเนื้อแบบน้ำที่อยู่ในรูปแบบคุชชั่นทำให้ใช้ได้ง่ายไม่เหมือนพวกน้ำที่อยู่ในหลอด หรือแท่ง อันนี้แค่จุ่มๆก็ได้ปริมาณที่พอดีสำหรับการเขียนคิ้วเลย

2.) ลอคคิ้วให้เป๊ะปังอยู่ทนอยู่นานทั้งวันด้วยมาสคาร่าคิ้วแบบใส วันนี้ใช้ของ Soap & Glory ตัวนี้เขาทำให้ขนคิ้วของเราเงางามสุขภาพดีสุดๆ ราคาไม่แพงด้วยน้า

วันนี้ลองใช้ที่เขียนคิ้วข้างละแบรนด์นะคะเพราะอยากเสนอตัวเลือกสำหรับน้องๆที่เข้ามาอ่านแล้วอยากซื้อตาม วันนี้เลือกใช้ของลาเนจและน้องฉัตรค่ะ จะเห็นได้ว่าสีที่ออกมาใกล้เคียงกันมาก แต่ราคานี่ต่างกันเยอะอยู่น้า

ลอคคิ้วให้เป๊ะปังทั้งวันด้วยมาสคาร่าคิ้วอีกซักรอบ วันนี้เลือกใช้ของ Soap and Glory เพราะว่ามันเป็นแบบใสและช่วยทำให้คิ้วเงางามดูเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคืออยู่ในราคาหลักร้อยที่บัณฑิตอย่างพวกเราจ่ายไหว อิอิ

สิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับการเขียนคิ้วก็คือ 

การเลือกสีคิ้ว และ การเขียนที่เป็นธรรมชาติค่ะ

 - สีที่เราจะนำมาเขียนจะต้องต่างจากสีผมเราไม่เกิน 2 เฉดนะคะ พี่เคยเป็นคนนึงที่เคยเอาสีน้ำตาลอ่อนที่ใช้ตอนผมทำสีมาเขียนทั้งๆที่ตัวเองผมดำ ผลก็คือมันจะแปลกๆอะ จะสวยก็สวยไม่สุดนะ ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวหรอก จนมีพี่ที่เคารพแนะนำมาเลยตาสว่าง 5555 

- น้ำหนักในการลงสีคิ้วจะต้องมีการไล่ระดับความเข้ม-อ่อนเพื่อความเป็นธรรมชาติ ถ้าลงน้ำหนักเท่ากันทั้งคิ้วจะทำให้หน้าดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติเหมือนที่เขาเรียกๆกันว่าปลิงเกาะหน้านั่นเองงง! แล้วยิ่งงานรับปริญญาเราต้องถ่ายรูปเยอะมากกกก ปลิงน้อยๆสองตัวจะตามหลอกหลอนเราไปตลอดชีวิ๊ตตตต 5555

Step 5 เรื่องของตา (ยายไม่เกี่ยว )#ผิด #เธอไม่ควรเล่นอะไรแบบนี้


ต่อมาเราจะมาแต่งตากันนะคะ ลุคนี้อยากได้ลุคแบบสวยหวาน ใสๆ ดังนั้นสีที่ใช้ก็คือสีน้ำตาล และสีชมพูค่ะ จะบอกว่าตอนนั้นเป็นสาวน้อยผู้ไม่ใช้อายแชโดว์เลยไม่รู้ว่าจะใช้ของอะไรดีนะ แอบเว่อไปนิดนึงที่ตอนนั้นซื้อ NAKED3 มา จนปัจจุบันต่อให้แต่งบ่อยแต่มันไม่พร่องลงเลยค่ะคุ๊ณณณ... ฝากน้องๆที่ไม่ค่อยได้แต่งหน้าอะไรมาก แนะนำว่าซื้อพาเลตอันเล็กๆก็พอค่ะ เพราะลุคนึงใช้มากสุดก็ 4 สีเอง แถมข้อดีของพาเลตอันเล็กๆคือเค้าคิดมาแล้วว่าทั้งหมดนี้มันเข้ากันได้ แค่ป้ายๆก็สวยแล้ว  

Step การแต่งตาแบบ ไม่เอาน่าา อย่าคิดมากมีดังนี้ 5555 

1. ใช้สี Stranger ทาที่หัวตา

2. ใช้สี Dust ทาที่กึ่งกลางตา

3. ใช้สี Buzz ทาที่หางตา

4. ใช้สี Mugshot คัดเบ้าเบาๆ

Step 5.2 ดัดขนตาเพื่อความงอนแบบไม่ต้องง้อก็ได้ อิอิ

เราจะดัดขนตาก่อนการเขียนอายไลเนอร์เพราะเคยดัดทีหลังแล้วปรากฎว่าที่ดัดขนตาไปแนบกับตาที่เขียนอายไลเนอร์ไว้แล้วมันหลุดติดออกมาด้วยทำให้เส้นไม่คมต้องเขียนใหม่

Step 5.3 ต่อมามาเขียนไลเนอร์กันค่ะ 

วันนี้เลือกใช้อายไลเนอร์ Twelve O' Clock ของพี่ตู่ปิยะวดีนะคะ เราเจอผ่านทางไอจี ไม่คิดว่าของถูกและดีมีอยู่จริง! ข้อดีของไลเนอร์ตัวนี้คือ แปรงไม่แข็งไม่อ่อนเกินไปทำให้เขียนเส้นได้ง่ายและคมมากกก ปลายแหลมๆทำให้เขียนตรงหัวตาได้ง่าย และที่ประทับใจมากคือติดทนมากเว่อ ขนาดที่ว่าเช้าออกมาเส้นคมยังไง ตกเย็นเส้นก็ยังเป็นแบบนั้น ไม่ไหล ไม่แพนด้าเลย เหมือนเจอคู่แท้ <3 ลุคนี้เขียนเส้นบางๆแต่มีวิงที่หางตานิดนึงเพื่อให้ตาไม่ตก ไม่งั้นจะเหมือนน้องแมวหงอยไปรับปริญญา รับปริญญาเราต้องร่าเริ่ง สดใส 55555

ขอเพิ่มความคมด้วยอินเนอร์ไลเนอร์กันซักนิด สีน้ำตาลนะคะ ไม่งั้นจะดุเกิ้นนน วันนี้ใช้ของน้องฉัตรค่ะ ทดสอบแล้วว่าคิดทน ไม่ไหล ทาไปออกกำลังกายมาแล้วก็รอดค่ะ อิอิ

อีกข้างนึงก็แต่งเหมือนกันเลย แต่คราวนี้เราเปลี่ยนมาแต่งตาด้วยพาเลตต์ 4 ช่องของอีทูดี้ค่ะ เราได้มาจากกิจกรรมเจ้ชวนแชร์เมื่อเดือนที่ผ่านมา ลองป้ายสีเทียบให้ดูซักนิดเราว่ามันคล้ายกันมากเลย ได้โทนชมพูเหมือนกัน ถ้าน้องๆไม่อยากจ่ายแพงอีทูดี้ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่ดีนะคะ แถมติดทนด้วยนะเพราะเคยทาไปทำงานแล้วอยู่ยันเย็นเลยแหละ

Step 5.4 เรื่องของขนตา 

ปัดขนตาด้วย L’oreal Volumionius Lash Paradise ค่ะ สำหรับเรา เราว่าตัวนี้ทำให้ขนตางอน ยาว ลืมขนตาปลอมไปได้เลย มีหลายๆมหาลัยกำหนดว่าห้ามน้องๆบัณฑิตติดขนตาปลอม เขาไม่ให้ติดก็ไม่ต้องไปฝ่าฝืนกฎให้วุ่นวาย ไม่ต้องกลัวโดนจับได้ ไม่ต้องพกกาวให้รุงรัง ปัดเข้าไปค่ะ ปัดเข้าไป แค่นี้ก็ได้ขนตายาวชวนฝันไม่ผิดกฎแล้วค่ะ

Step 6 มาปัดแก้มกันค่ะ 

จะหวานแล้วต้องหวานให้สุด เลือกที่ปัดแก้มสีชมพูของ Illamasqua สี Tremble มาใช้ในลุคนี้ค่ะ ที่สำคัญคือของเขาติดทนนานนน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เราว่าเหมาะมากสำหรับงานรับปริญญาค่ะ สำหรับความพลาดของเราในตอนนั้นคือการเลือกบรัชออนสีอ่อนเกินไปและปัดบรัชเบามือเกินไปทำให้ไม่ค่อยออกสีและติดไม่ทนเท่าไหร่ เลยได้ลุคแบบใส๊ใสสสส ขอแก้ตัวรอบนี้ด้วยการปัดจนกว่าแก้มจะมีเลือดฝาดดดด

Step 7 This is sculpter & hilight Time!


เหลาหน้าด้วย Film Star bronze and glow ปัดเป็นเลข 3 ที่ไรผม ปาดมาตรงส่วนที่โบ๋ที่สุดตอนทำปากจู๋ และ ตรงสันกรามเพื่อทำให้หน้าดูมีมิติและถ่ายรูปขึ้นกล้องมากขึ้นค่ะ


ส่วน hilight เราก็ใช้นิ้วแตะน้อยมากเลยเพราะไม่อยากให้ลุคนี้วาววับจนเกินไป โดยแต้มตรงปลายจมูก สันจมูก และโหนกคิ้วเพียงเล็กน้อย

ใช้นิ้วก้อยแตะเฉดดิ้งและค่อยๆเหลาตรงช่วงข้างจมูกจะได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่าใช้แปรงค่ะ เราลงเบามากกก เพราะว่าถ้าพลาดขึ้นมา รูปมันจะฟ้อง5555

Step 7 ทาลิปกัน ทาลิปกัน

สำหรับวันนี้ใช้ Wet n' Wild สี Bare it all ทาเต็มปาก ตามด้วย Tint oil ของ Innisfree + แอบแตะ Lip Cotton ไปจิ๊ดนึง แต่จริงๆไม่ต้องหลายสีขนาดนี้ก็ได้ค่าา


ฝากไว้สำหรับการทาลิปคือเรื่องของความชุ่มชื้นค่ะ บำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้นก่อนทาลิป และเลือกลิปที่มีความชุ่มชื้น เราเองก็เคยพลาดทาลิปแมตแล้วลืมทากลอสทับ ปรากฎว่าปากแห้งลอกจนพี่ที่มาหาถึงกับถามว่าเอาลิปมันมั้ย

BONUS TRACK


เนื่องจากเราได้ทิ้งชุดนักศึกษาและคืนชุดครุยไปนานแว้ว ดังนั้นจึงขอชดเชยด้วยการขุดรูปสมัยรับปริญญามาให้ชมกันประกอบไปด้วยนะคะ ลุคที่ใช้แต่งในตอนนั้นก็จะมีความใกล้เคียงกับของวันนี้เลยค่ะที่เน้นสีชมพูเป็นหลัก อาจต่างกันที่สีลิปเพราะตอนนั้นมาให้ออกโทนส้มๆหน่อยๆจะได้เข้ากับแถบครุยค่ะ อิอิ

DAY 1 : ซ่อมย่อย


วันนี้เราจ้างช่างภาพมาถ่ายรูปก็จะได้ภาพละมุนๆ ฟรุ้งฟริ้ง ชวนฝัน 

DAY 2 : ซ้อมใหญ่ 

วันนี้เพื่อนๆมากันเยอะมาก ได้เพื่อนสนิทมาช่วยถ่ายรูปให้ยังคงได้รูปฟรุ้งฟริ้งชวนฝันไม่แพ้ช่างกล้องเลย ❤️

DAY 3 : รับจริงแล้ว ต้องเรียบร้อยกันหน่อย


เนื่องจากวันนี้เป็นวันรับจริงเราเลยเลือกทรงผมที่เรียบร้อยๆเพราะอยากให้ภาพตอนรับปริญญาเห็นหน้าชัดๆ วันนี้ได้น้องชายมาช่วยถ่ายภาพให้ :)

Bonus Track II เรื่องของผม คุณก็เกี่ยว


สำหรับงานรับปริญญาแบบนี้เราแนะนำว่าให้จ้างช่างเถอะค่ะ ชัวร์สุดไรสุด เพราะเราไม่สามารถเก็บผมให้แน่นอยู่ทนอยู่นานได้ทั้งวันทั้งคืนเท่ามืออาชีีพแน่นอน

ตอนสมัยนั้นเราก็เสิร์ชหาแบบผมดารารับปริญญาเก็บเอาไว้ ตอนนั้นญาญ่า แต้วรับใกล้ๆกันกับเราพอดี เลยขอเก็บแบบผมมาเป็นแหล่งอ้างอิงซะเลย

ขอขอบคุณภาพจากในแหล่งต่างๆด้วยนะคะ

สำหรับวันนี้ฮาวทูของเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ หากน้องๆคนไหนมีคำถามสามารถถามเข้ามาได้เลยนะค้าา ขอแสดงความยินดีกับน้องๆว่าที่บัณฑิตทุกคนเลยนะคะ :)


KanKan

KanKan

28 years old girl who is still passionate with make up and skincare <3
หมดยุคสวยคนเดียวแบบเงียบๆแล้ว..เพราะยุคนี้เราจะต้องสวยไปด้วยกันนะคะ

FULL PROFILE