Kim Kardashian : The Internet Drama Queen

23 3
คิมเคคือราชินีsocial media ที่แค่ขยับตัวก็กลายเป็นหัวข้อข่าวกอสสิป  เธอกลายเป็น influencer ที่เป็นศูนย์กลางความสนใจต่อเนื่องกันมายาวนานหลายปี   แต่ในขณะที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เจ้าตัวก็ต้องพบกับกระแสต่อต้านและการจับผิดแทบทุกองศา


ถ้าจะให้เล่าเรื่องราวดราม่าของเซเลบสาวสะโพกดินระเบิดทั้งหมดอาจจะต้องกินเวลายาวนาน  แต่ถ้าเป็นในปี 2018 ก็สร้างความฮือฮากันมาแล้วหลายครั้ง  ลองมาติดตามสิว่าคิมจะโต้ตอบเสียงวิจารณ์เผ็ดร้อนเช่นไร


ข้อกล่าวหา - เหยียดเกย์

เรื่องมันเริ่มต้นจากตอนที่คิมเคได้ไปปรากฏตัวในรายการของจิมมี่ คิมเมล อย่างเช่นเคย เจ้าตัวมาในแฟชั่นที่บรรยายแทบไม่ได้ กางเกงรักรูปกำมะหยี่ บราที่มีสายอะไรสักอย่างห้อยพาดผ่านกลางลำตัวเลยเป้าลงมาสั่นไหวอยู่ที่ใต้หัวเข่าโอเค้!

มีใครสักคนที่นำภาพคิมไปแชร์ต่อ จนไทสัน เบคฟอร์ด นายแบบหนุ่มใหญ่ได้ไปเห็นเข้า น่าจะมีใครสักคนถามถึงความของเขา และเจ้าตัสก็ตอบอย่างเจ็บแสบว่า

" โทษเถอะ เอาจริงๆ เลยนะ นี่มันไม่ใช่แนวที่ผมปลื้มเลย"

"หุ่นเธอไม่ใช่ของจริงนี่นา หมอศัลย์ทำสะโพกด้านขวาเธอซะเละเชียว" ตามด้วยอีโมจิอยากจะแหวะ


พอมีคนแคปภาพมาเม้ามอยต่อ ก็ไม่พลาดสายตาของคิมไปได้ เธอกรี๊ดกลับว่า
"ซิส  เรารู้กันหรอกนะว่าทำไมเธอถึงไม่ชอบหุ่นของชั้น"
หลายคนอ่านนัยยะแฝงจากข้อความโต้กลับของคิมได้ตรงกัน ไทสันมีข่าวลือเรื่องรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกันมาพักใหญ่แล้ว เธอเรียกหนุ่มใหญ่กล้ามโตว่าซิสและดูเชื่อมั่นว่าที่เขาไม่ปลื้มรูปร่างเว้าโค้งของตัวเองเพราะเป็นเกย์นั่นเอง
แทนที่จะซ้ำเติมไทสันที่จิกกัดเรือนร่างของคิมว่าปลอม ชาวเน็ทจำนวนหนึ่งกลับแสดงความไม่พอใจและกล่าวหาว่าคิมเป็นพวกเกลียดคนที่รักร่วมเพศ

"ที่คิมเรียกไทสัน เบคฟอร์ดว่าซิสแล้วพูดอย่างกับว่าเค้าเป็นเกย์เพราะเขาบอกว่ารูปร่างเธอมันปลอมนั้นน่ะ... พวกเค้าได้ใจเกินไปแล้วนะ"

"หวังว่าพวกเธอจะช่วยกันจัดการคิมที่ตอบโต้ไทสัน เบคฟอร์ดด้วยข้อความเย้ยหยันเกย์ด้วยล่ะ"


"คิม คาร์แดชเชียนน่ะแย่ซะจริง! ชั้นเคยชื่นชอบเธอจนมาถึงวันที่เธอลากเอาเรื่องเกย์มาตอบโต้เพจ the shade room เธอไม่มีสิทธิ์จะมาเหมาว่าคนอื่นแอ๊บแมนเพราะว่าเขาไม่ชอบรูปร่างหรือเสื้อผ้าของเธอนะจ๊ะ  เธอไม่ควรทำแบบนั้น โดยเฉพาะที่เมคอัพอาร์ทิสท์และสไตลิทส์ที่ทำงานให้เธอต่างก็เป็นเกย์กันเยอะแยะ"
"คิม คาร์แดชเชียน เธอกำลังตั้งข้อสงสัยเรื่องรสนิยมทางเพศของไทสัน เบคฟอร์ดราวกับว่าการเป็นเกย์มันชั่วร้ายอย่างนั้นแหละ ทำไมไม่ไปกังวลเรื่องอาการป่วยทางจิตของสามีล่ะ  เธอควรจะห่วงเรื่องอาการของเค้ามากกว่ามาจุ้นว่าใครจะเป็นเกย์นะ ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าจริงๆ คราวนี้ไม่ใช่วันของเธอจ้ะ"

"เฮ้ คิม คาร์แดชเชียน  การเรียกใครสักคนว่าเกย์เพื่อจะดูถูกเค้าน่ะมันไม่ถูกต้องนะ  ถ้าอยากจะเหยียดเค้าจริงๆ เธอควรจะเรียกเค้าว่าเป็นพวกคาร์แดชเชียนน่ะเหมาะกว่า"




คิมได้สาธยายถึงความปรี๊ดหลังจากถูกไทสันจิกกัดว่า

" ชั้นก็ประมาณว่า...เอาจริงเหรอ พ่อคุณ  เธอจะมาดูถูกดูแคลนเรื่องรูปร่างชั้นงั้นเหรอ  เอาล่ะ ซิส ! เธอกล้ามาหยามกันอย่างนี้เลยใช่มั้ย มีคนส่งภาพจากเพจของเค้ามาให้ชั้นดู เค้าเอาแต่ด่าว่าชั้นไม่หยุดสักที เค้าปากคอเราะร้ายอย่างกับผู้หญิงแน่ะ มันเห่ยมากเลยนะ แล้วสำหรับใครที่กล่าวหาว่าชั้นเป็นพวกเกลียดเกย์เพราะเรียกผู้ชายว่าซิส เพื่อนสนิทชั้นเป็นเกย์ทั้งนั้นจ้ะ ชั้นสนับสนุนชุมชนชาวเกย์เต็มที่ ชั้นรักพวกเค้าและพวกเค้าก็รักชั้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด"


ไทสันไม่ได้แสดงความรู้สึกเสียดายถ้อยคำที่โพสท์จืกคิมเคบนInstagram เขายืนยันว่าไม่ได้เป็นเกย์ และยังเหน็บแนมต่อด้วยการประกาศคำแนะนำสาวๆ ว่าให้ออกกำลังและไม่ต้องศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่าง

FYI คิมเคยืนกรานมาตลอดว่าไม่เคยดูดไขมันทำก้น  ล่าสุดที่ลดน้ำหนักจนเหลือเพียง 52 ก.ก. นั้นมาจากการยกเวทและแทบไม่ได้คาร์ดิโอ


ข้อกล่าวหา  -  รับงานโฆษณาที่ชี้นำไปในทางไม่เหมาะสม
คุณผู้อ่านคงทราบแล้วว่าคิมมีทรัพย์สินรวมกันมากกว่าสามีที่เป็นแร็พเพอร์โด่งดังมาก่อนที่เธอจะเข้าวงการซะอีก และหนึ่งในเส้นทางสร้างความร่ำรวยนั้นก็คือการโฆษณาบน social media นั้นเอง หลายคนน่าจะผ่านหูผ่านตาไม่ว่าจะเป็นผลิคภัณฑ์ชา detox คอร์เซ็ทลดพุง ยาแก้แพ้ท้อง ลูกอมบำรุงผม แบรนด์เหล่านี้ต่างพร้อมจะทุ่มเงินให้กับคิมในการโพสท์เชียร์สินค้าจากยอดผู้ติดตามหลักร้อยล้านบนInstagram
คิมเคยตกเป็นหัวข้อข่าวหลังจากโพสท์เชียร์ยาแก้แพ้ท้องแล้วไม่ได้เพิ่มคำกำกับว่าเป็นการโฆษณา ส่งผลให้อย.อเมริกาต้องออกโรงเตือนบรรดาเน็ทไอดอลทุกคนให้ทำตามกฎเรื่องการโฆษณาอย่างเคร่งครัด ประเด็นโฆษณาแฝงจึงจบไป และมีเรื่องใหม่มาแทน นั่นคือชนิดของสินค้าที่รับมาเชียร์บน Instagram นั่นเอง  
"นี่ทุกคน Flattummyco เค้าออกสินค้าใหม่แหละ มันคืออมยิ้มลดความอยากอาหาร และมันเริ่ดมากเลยนะเธอ! 500 คนแรกที่เข้าไปช็อปในเว็บจะได้รับส่วนลด 15% ด้วยนะ  ถ้าอยากจะได้แล้วก็รีบๆ หน่อยล่ะ  #ดูดเลย"

ชาวเน็ทจำนวนหนึ่งแสดงความไม่พอใจหลังจากที่ได้เห็นโฆษณาอันนี้ จากวิถีแห่งสุขภาพดีที่เน้นย้ำให้ผู้คน "ไม่อดอาหาร" แต่ควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าเพียงพอที่ร่างกายต้องการ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะกำจัดไขมันส่วนเกินได้ยังทำให้แข็งแรงอีกด้วย และนั่นก็เป็นวิถีเดียวกับที่คิมเคได้แชร์ออกสื่อมาโดยตลอด  เจ้าตัวเคยโพสท์ข้อความปลุกใจให้แฟนๆ ร่วมลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารโลว์คาร์บและยืนยันว่าทุ่มเทออกกำลังกายด้วยการยกเวทจนน้ำหนักลดไปเกือบสิบกิโลกรัม  

"ชั้นออกกำลังครั้งละชั่วโมงครึ่งทุกวันไม่มีขาด ยกเวทหนักๆ ชั้นไม่ค่อยออกกำลังแบบคาร์ดิโอ  ชั้นออกกำลังแบบฮาร์ดคาร์กับนักเพาะกายมาเป็นปี  ชั้นลดไปแล้ว 9 กิโลกรัมและชั้นก็รู้สึกดีมากๆ เลย"

"ชั้นไม่ค่อยกินน้ำตาลเหมือนกับเมื่อก่อน มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวชั้นเท่าไร  ชั้นหันมากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ชั้นเคยกินตามใจปากแต่ตอนนี้ตอนนี้ชั้นควบคุมอย่างเคร่งครัด และชั้นก็ไม่อยากทำมันพังด้วยการยัดทะนานแบบไม่เลือก"

แต่นั่นไม่ได้มีการบรรยายเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อลดความอยากอาหารรวมอยู่ด้วย



นี่คือส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาชาวเน็ท

"คิม คาร์แดชเชียนเป็นผู้หญิงวัยเกือบสี่สิบที่มีเงินทองมากมายเหลือล้น แต่เธอยังมาโฆษณาขายผลิตภัณฒ์ระงับความอยากอาหารให้กับวัยรุ่นบน Instagram อยู่อีก"


"ว้าว ชั้นหมดความนับถือต่อคิม คาร์แดชเชียนไปเลย โฆษณาของว่างเพื่อระงับความอยากอาหารในสัปดาห์แห่งการสร้างความตระหนักในสุขภาพทางจิตงั้นเหรอ?? มีผู้คนมากมายที่ต้องต่อสู้กับโรคปฏิเสธอาหาร แต่เธอกลับทำอย่างกับว่าการอดอาหารมันเทรนดี้อย่างนั้นแหละ น่าเกลียดและเห็นแก่ตัว"



"เธอน่าจะเลิกใช้ยาระงับความอยากอาหารแล้วก็กินให้เพียงพอที่จะเติมพลังให้กับสมองและทุ่มเททำงานเพื่อความสำเร็จ เล่นกับลูกๆ สนุกสนานกับเพื่อนๆ เพื่อจะได้มีอะไรพูดเกี่ยวกับตัวเองได้มากกว่า 'ชั้นมีหน้าท้องเรียบแบน' นะ"

"เห็นโฆษณาอมยิ้มลดความอยากอาหารของคิมเคแล้วล่ะ พูดจริงๆ นะ มันทำให้ชั้นอยากจะหา Chupa Chup รสสตรอว์เบอร์รี่มาอมซะเลย


อีกอย่าง จงกินตอนที่คุณรู้สึกหิว อมยิ้มลดความอยากอาหารมันงี่เง่าเป็นบ้า"


"มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องกลับมาใคร่ครวญว่า influencer ที่โด่งดังขนาดคิม คาร์แดชเชียนกำลังทำเงินมากมายจากโพสต์ที่มีโฆษณาและสปอนเซอร์  ทั้งชาหน้าท้องแบน อมยิ้ม วิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลราวกับใช้เวทย์มนต์  มีคนที่เจ็บป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารที่กำลังคิดว่าพวกเค้าจำเป็นจะต้องใช้สิ่งเหล่านี้อยู่นะ"


ฝั่งคิมเคนั้นปิดปากเงียบกริบกับดราม่าอมยิ้มและลบข้อความโฆษณาออกไปจนหมดเหลือแต่ภาพไว้เปล่าๆ ส่วนงานโฆษณา shake ลดน้ำหนักที่รับงานจากบริษัทเดียวกันนี้ก็ยังอยู่ดี
คนที่เลือกซื้อสินค้าตามเซเลบที่ชื่นชอบนั้นอาจจะไม่ได้นึกถึงข้อเท็จจริงเรื่องคนดังรับงานโดยไม่เคยทดลองผลิตภัณฑ์ E! Entertainment ก็ได้นำภาพเบื้องหลังของวิธีสร้างรายได้ของคิมกับการโฆษณาผ่าน Instagram มาแล้ว  และในวีดีโอนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจ้าตัวยังไม่เคยลองดื่ม shake ที่โพสท์โฆษณา และบอกกับเพื่อนๆ ว่า  "พวกเค้าแค่เห็นหน้าของชั้นกับสินค้าก็พอแล้วล่ะ" 



ข้อกล่าวหา - Cultural Appropriation
คุณผู้อ่านที่ติดตาม mouth on the web ก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า "การฉกฉวยทางวัฒนธรรม" มาแล้ว  มันเป็นการเรียกพฤติกรรมของการใช้สิ่งที่มาจากวัฒนธรรมอื่นในวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ส่วนตน อาทิ การใส่เครื่องประดับศีรษะของชนเผ่าอินเดียนแดงเพื่อความโก้เก๋บนรันเวย์และเทศกาลดนตรี  การนำเศียรพระพุทธรูปมาเป็นเครื่องตกแต่งบ้านและร้านอาหาร และสิ่งที่เรามักจะได้ยินผู้คนบนโลกออนไลน์โจษจันคือ เหล่าคนดังที่เลียนแบบวัฒนธรรมของคนเชื้อสายแอฟริกันผิวดำ มีการถกเถียงกันมานานว่าการฉกฉวยนี้สร้างความขัดแย้งให้กับสังคมหรือเป็นเพียงกลไกปกติของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ในแง่ของข่าวบันเทิงดารา บ้านคาร์แดชเชียนนั้นถูกโจมตีเรื่องขโมยวัฒนธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เปีย Bo Derek หรือเปีย Fulani ?  
Twitter ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่คิมได้ประกาศบน SnapChatว่า กำลังปลาบปลื้มกับเปียสไตล์ Bo Derek นางเอกผิวขาวผมบลอนด์ยุค 70s ที่เคยทำทรงผมCornrowsในหนังเรื่อง 10 จนได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็น Iconic look ของเธอ

แต่ประเด็นที่ชาวเน็ทจำนวนหนึ่งไม่พอใจก็คือ  สำหรับคนเชื้อสายแอฟริกันผิวดำ นี่คือเปียอันเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า Fula  และส่งต่อวัฒนธรรมนี้มาถึงอเมริกาตั้งแต่ที่ถูกจับตัวมาเป็นทาสจนเปลี่ยนยุคสมัยไร้ระบบซื้อขายมนุษย์แล้ว  ถึงวันเวลาจะผ่านพ้นไปเนิ่นนาน เปีย Fulani ของพวกเค้าก็ยังถูกเหยียดหยามจากคนขาว แต่เมื่อเปียพวกนี้ไปปรากฏอยู่ที่คนขาวเมื่อใด มันกลัยกลายเป็นแฟชั่นสุดเริ่ดและยังไม่เคยได้รับเครดิตว่าเป็นเปีย fulani
"คิม คาร์แดชเชียน จงอย่ามาทำทรงผมที่ทำให้คนดำถูกล้อเลียนทุกๆ วันอย่างกับว่ามันเป็นอะไรที่กิ๊บเก๋นะ รู้ตัวถึงอภิสิทธิ์ของตัวเองหน่อยสิ ถึงมันจะเป็นผมที่ดูสวย  แต่โปรดเข้าใจว่าคนดำจำนวนมากที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะทำทรงผมนี้"


"คิม คาร์แดชเดียนถักเปีย Fulani แล้วเรียกมันว่า Bo Derek การฉกฉวยทางวัฒนธรรมมันก็แย่เพราะแบบนี้แหละ แล้วครอบครัวนี้ต้องถูกด่าอีกกี่ครั้งถึงจะยอมหยุดฉกวัฒนธรรมคนอื่นซะที นี่คือเหตุผลที่บียอนเซ่ไม่ชอบขี้หน้าหล่อน"
"คิม คาร์แดชเชียน ชั้นเพิ่งเห็น snap ของเธอ นั่นไม่ใช่เปีย Bo Derek  มันเป็น Cornrows ต่างหาก เรียกให้มันถูกๆ สิ กะอีแค่ Bo Derek ทำผมทรงนี้ในหนังเรื่อง 10 ไม่ได้ทำให้เธอเป็นคน create มันขึ้นมานะ"



" เราจะต้องบอกเธออีกกี่ครั้งกี่หนว่า ถึงเธอจะมีลูกเป็นเด็กๆ ผิวดำนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะฉกฉวยวัฒนธรรมคนดำไปได้"

คิมเคไม่ได้โต้ตอบกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทันที  เจ้าตัวนิ่งหลายเดือนก่อนที่จะถักเปีย conrows ออกงานอีกและไม่พ้นที่จะมีเสียงติเตียนเธอด้วยความไม่พอใจ เจ้าตัวอธิบายว่า ลูกสาวถัก cornrows และอยากให้แม่ถักผมแบบเดียวกันก็เลยเอาใจลูกก็แค่นั้น และในที่สุดก็ได้เคลียร์ดราม่าเปีย fulani ว่า....
" ชั้นจำได้นะว่าตอนที่ทำผมเป็นสีบลอนด์แล้วก็เรียกผมเปียตัวเองว่าเปีย Bo Derek   แต่ชั้นรู้ดีนะว่าที่จริงมันคือเปีย fulani ชั้นรู้ที่มาดั้งเดิมของมันและให้ความนับถือในจุดนั้นด้วย  ชั้นไม่ใช่พวกเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ชั้นเข้าใจเรื่องนี้ดี ถ้าชั้นพูดให้คนเข้าใจแทนที่จะเรียกทรงผมนี้ว่า Bo Derek ก็คงไม่ถูกวิจารณ์หนักแบบนี้  แต่ไม่มีทางที่ชั้นจะใช้ผมเปียมาดูหมิ่นวัฒนธรรมของคนอื่น มันก็แค่ลูกสาวของชั้นดีใจที่ได้เห็นแม่ทำทรงผมเป็นคู่กัน ตอนทำผมเปียพวกนี้เธอตื่นเต้นเชียวค่ะ"



"ตอนที่ถักเปีย ชั้นถูกกระแสตีกลับหนักพอดู ชั้นมีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก ได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายและเทรนด์ความงามที่แตกต่างกันไป"

"ลูกสาวของชั้นชอบผมเปียมากๆ ค่ะ  ล่าสุดที่ชั้นถักเปีย ลูกได้ช่วยชั้นเลือกว่าจะทำแบบไหนและเอาภาพมาให้ดูด้วย ชั้นคิดว่ามันจะไม่เป็นไร ถ้าเราทำมันจากพื้นฐานแห่งความรักและใช้วัฒนธรรมเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ  มันอาจจะเป็นเพราะว่าชั้นไม่ได้สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจว่าชั้นได้แรงบันดาลใจมาจากที่ไหน  และชั้นก็เคยทำผมทรงนี้มาก่อนแล้ว  ผู้คนจึงไม่เข้าใจ  แต่ตราบใดที่เจตนาของเราคือความรักและการได้บันดาลใจ มันก็โอเคแล้วค่ะ"

"มันบ้านะที่ตอนที่คุณมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้วก็โพสท์ภาพที่สวยเป๊ะสุดๆ แล้วทำให้คุณรู้สึกมีความสุข แล้วก็มีคนเป็นล้านชื่นชมภาพนั้น  แต่คุณไปเจอแค่ความเห็นแย่ๆ อันเดียวที่ทำให้วันดีๆ ของคุณต้องพังลงไป แต่มันไม่ทำให้ชั้นรู้สึกแย่อีกต่อไปแล้วล่ะ ชั้นพยายามมองแต่ด้านบวกเท่านั้น  ถ้าลูกๆ เริ่มอยากจะได้โทรศัพท์และอยากใช้ social media ชั้นก็เริ่มจะพิจารณามันใหม่นะ แต่สิ่งที่ชั้นพยายามทำในตอนนี้คือการคิดบวกค่ะ"



candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE