เรื่องเหลือเชื่อของผู้รอดชีวิต

25 4
เจสสิก้า แมคเคลอร์  เบบี้แห่งชาติ
ชะตากรรมน่าสะพรึงของหนูน้อยเจสสิก้ากลายเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันทั้งประเทศภาวนาให้เธอรอดชีวิต  หลังจากที่แม่ของเธอรับดูแลเด็ก ๆ และพาพวกเค้ามาเล่นด้วยกันกับลูกน้อยวัย 18 เดือนที่สนามหลังบ้านพี่สาว เมื่อเธอเข้าไปรับโทรศัพท์ในบ้านเพียงไม่กี่นาที สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

แม่หาเจสสิก้าไม่พบ ในขณะที่ความร้อนใจพุ่งสูงขึ้น  เรื่องช็อกก็ตามมาซ้ำเติมเมื่อเธอได้ยินเสียงลูกสาวอ้อแอ้แผ่ว ๆ มาจากบ่อน้ำขนาดเล็กจิ๋วที่บ้านพี่สาวไม่ได้ใช้แล้ว  เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 8 นิ้วนั้นทำให้ยากจะเชื่อว่าจะมีใครตกลงไปได้
เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริดที่ได้พบว่ามีเด็กตัวเล็กๆ หล่นลงไปติดในบ่อเก็บน้ำนั่นจริง ๆ  ในตอนแรกเธอยังส่งเสียงโต้ตอบกับคนบนพื้น  แต่เมื่อเริ่มเงียบหายไป ก็สร้างความกังวลใจว่าเธอจะไถลลื่นลงไปลึกกว่าเดิม  ซึ่งที่ก้นบ่อนั้นมีจุดศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น หากเธอยังหล่นลึกลงไปเรื่อยๆ ก็อาจจะจมน้ำเสียชีวิตที่ก้นบ่อได้


ปฏิบัติการเฉพาะกิจของผู้ชำนาญการขุดเจาะจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างฉับไว
หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากหนูน้อยที่ติดคาบ่อลึกลงไปมากกว่า 20 ฟุต  แม่ของเธอจึงเริ่มร้องเพลง Winnie The Pooh  เสียงเล็กๆ ก็เริ่มดังคลอตามมาทำให้ทีมช่วยเหลือเริ่มมีกำลังใจขึ้น  แต่เมื่อทีมนักขุดเจาะได้มาถึงพร้อมปฏิบัติงานด้วยเครื่องไม้เครื่องมือครบครัน  แม่ก็ถูกขอให้แยกตัวออกไป เพราะความร้อนใจกับนาทีความเป็นความตายของลูกอาจจะขัดขวางการทำงานของมืออาชีพที่ต้องแข่งกับเวลา
แผนการตามภาพเล็กคือ ขุดเจาะบ่อใหญ่ที่ไม่ไกลจากกันแล้วหย่อนตัวกู้ภัยลงไปเพื่อขุดช่องเชื่อมต่อไปตำแหน่งของหนูน้อยเจสสิก้าเพื่อดึงเธอจากบ่อน้ำ แล้วใช้รอกช่วยพวกเค้าขึ้นมา


การขุดเจาะดำเนินไปพร้อมกับอุปสรรคบางประการ  จากที่คาดว่าจะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่จะช่วยเหลือให้เด็กน้อยปลอดภัยจากการร่วงตกบ่อลึก  เวลาก็เริ่มยาวนานออกไปเรื่อยๆ จนเลยมากว่า 2 วัน ผู้เชี่ยวชาญต่างร้อนรนเพราะเจสสิก้าไม่ได้รับน้ำและอาหารเข้าร่างกายมาเป็นเวลานาน ยิ่งเธอซูบลงเท่าไร โอกาสที่จะไถลลงมาลึกกว่าเดิมก็มีมากขึ้น  แต่ทีมนักขุดเจาะก็ยังตั้งหน้าตั้งแต่ดำเนินแผนเดิม  แม้จะเริ่มมีคนเริ่มปรากฏตัวในซีนเพื่อวิจารณ์ว่าพวกเขาคำนวณผิดพลาดจนขุดผิดตำแหน่งและคงไม่สามารถช่วยเหลือเจสสิก้าได้ เสียงเหล่านี้ต่างทำให้แม่ของหนูน้อยที่ติดตามสถานการณ์ผ่านวิทยุนั้นรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เธอจะไว้ใจแรงงานที่ขุดบ่อลึกนี้ได้ไหม ?


แต่ในที่สุด สิ่งที่ทุกคนรอคอยก็ได้เกิดขึ้น  สถานีโทรทัศน์หลายช่องได้ถ่ายสดให้คนอเมริกันได้ชมวินาทีที่ทีมช่วยเหลือดึงตัวของนักเจาะและเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาได้ เสียงเฮสนั่นได้สร้างความปีติให้แก่ทุกคนโดยเฉพาะครอบครัวที่เฝ้ารอข่าวดี  
เจสสิก้ามีบาดแผลใหญ่ที่หน้าผาก แขน และเท้า แต่เบิกตาแป๋วใส่คนที่เข้ามาช่วยเหลือเร่งนำตัวเธอไปที่รถพยาบาล  
และในที่สุด เจสสิก้าก็ปลอดภัย สังคมชื่นชมเธอในฐานะเด็กหญิงผู้เข้มแข็งที่ต้องผ่านการผ่าตัดถึง 15 ในเวลา  และยังยิ้มร่าน่าเอ็นดูในทุกที่ ๆ ปรากฏตัว


เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เจสสิก้าโด่งดังในฐานะ "Everybody's Baby"  ด้วยกำลังใจล้นหลามจากชาวอเมริกา  พ่อแม่ของเธอพาไปออกอีเวนท์ต่าง ๆ รวมถึงเข้าพบประธานาธิบดีจอช บุช 
เรื่องราวของ "ผู้รอดชีวิต"ที่กระแสสังคมเกาะติดความเคลื่อนไหวราวกับว่าเป็นญาติมิตรของตัวเองนั้นอาจจะมาในรูปแบบ "การสร้างผลประโยชน์" ในยุค 80s  นั้น หนูน้อยเจสสิก้าได้กลายเป็นขวัญใจชาวอเมริกันและมีผู้ร่วมสมทบทุนช่วยเหลือครอบครัวแมคเคลอร์เป็นเงินนับล้านเหรียญพวกเค้าซื้อบ้านและรถใหม่เอี่ยม  แม่ของเธอยอมรับว่า อาจจะไม่ได้ร่ำรวยฟู่ฟ่าเหมือนที่ถูกปล่อยข่าวลือโจมตี  แต่ชีวิตชนชั้นแรงงานของพวกเค้าก็เปลี่ยนไป    " เราเคยพบปะแต่ผู้คนที่อาศัยในอพาร์ทเมนท์เล็ก ๆ  ตอนนี้เรามีสังคมกับพวกชนชั้นกลางแล้วค่ะ"


"เราจะใช้เงินที่ได้รับบริจาคมาในเรื่องการรักษาพยาบาลและการศึกษาของเจสสิก้า   เราจะให้เธอเข้าโรงเรียนเอกชน  ชั้นอยากให้เธอมีการศึกษาดี ๆ ตั้งแต่เล็ก ๆ ชั้นไม่เคยได้รับโอกาสนั้น"  แม่ของเจสสิก้ายืนยัน   กระแส Everybody's Baby นั้นลากยาวมาอีก 2-3 ปี  พ่อแม่ของเธอบอกว่าได้จัดการเตรียมเงินก้อนใหญ่ใน trust fund เพื่อเจสสิก้าได้นำมาใช้ตั้งต้นชีวิตหลังจากอายุ 25  
เธอสูญเสียนิ้วเท้าไป 1 นิ้ว จากอาการเนื้อตายเพราะเลือดไม่หมุนเวียนตอนติดในบ่อ
เมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สื่อได้กลับมาแวะเวียนทำข่าวของเจสสิก้าอีก  เธอทำอาชีพเป็นครูและมีลูกเล็กๆ สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับสามี   ส่วนข้อสงสัยเรื่องเงินทุนที่พ่อแม่เก็บไว้ให้  เจสสิก้าเปิดเผยว่ามันละลายหายไปกับภาวะวิกฤติหุ้นเมื่อหลายปีก่อน  แม้จะพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง  แต่เธอก็ได้ใช้ซื้อบ้านขนาดกะทัดรัดอาศัยกับครอบครัวแล้ว  
เจสสิก้าไม่ได้มีความทรงจำเลวร้ายใด ๆ กับเหตุการณ์ตกบ่อแต่อย่างใด  เธอเด็กเกินไปที่จะจำอะไรได้  แต่เธอก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ "พระเจ้าอยู่เคียงข้างชั้นเสมอมา"  เธอยังรู้สึกขอบคุณต่อผู้บริจาคเงินที่มีใจเมตตาต่อเด็กน้อยที่ไม่รู้จักกัน





ครอบครัวผู้รอดชีวิตจากสีนามิที่โหดร้าย
เชือว่าคุณผู้อ่านคงได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Impossible  ดราม่าภัยพิบัติที่กระชากจิตใจคนไทย เพราะสร้างขึ้นจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงที่บ้านเรา  ภัยสึนามิปี 2004 ที่ได้พรากชีวิตมากมายให้ดับสูญเกิดเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมด
เคยสงสัยมั้ยคะว่า บุคคลที่เป็นเจ้าของเรื่องราวในชีวิตจริงนั้นคือใคร

มาเรีย แพทย์หญิงและครอบครัวชาวสเปนกำลังพักผ่อนในรีสอร์ทหรูที่เขาหลัก พวกเขาไม่คิดแม้แต่น้อยว่าสถานที่สวยงามสร้างความสำราญให้กับแขกผู้พักกำลังจะเกิดหายนะร้ายแรงขึ้น
ครอบครัวของหมอมาเรียคือแก่นของหนังอย่างแท้จริง  เธอเป็นผู้เขียนบทร่วมกับนักเขียนมือฉมังเพื่อให้แน่ใจที่สุดว่า เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาจะตรงกับประสบการณ์จริงมากที่สุด และเชื่อว่าหลายคนคงสะเทือนใจไปกับหนังเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าผู้เขียน
หมอมาเรียและนาโอมิ วัทท์ที่เปิดใจในการถ่ายทำ The Impossible จนสนิทสนมกัน
เธอเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมว่า

"มันเริ่มจากเสียงที่ดังน่าสะพรึงกลัว   ชั้นมองไปรอบตัวและบอกตัวเองว่าคงคิดไปเอง  ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงน่ากลัวแบบนั้นมาก่อน  มันเหมือนกับโลกกำลังถล่มลงมาทั้งๆ ที่ตรงหน้าก็ยังงดงามอยู่  

แล้วก็มีสิ่งที่เหมือนกำแพงสีดำทมึนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  ชั้นไม่ได้คิดว่ามันเป็นน้ำทะเล แต่เป็นกำแพงที่กำลังเข้ามาเล่นงานเรา   ลูกชายคนรองเและคนเล็กกำลังว่ายน้ำกับพ่อของเค้า  ส่วนลูคัส ลูกคนโตกำลังเล่นบอลที่เราซื้อในในวันคริสต์มาส

ชั้นกรีดร้องเรียกสามีและเด็กๆ คิดว่าเราคงจบสิ้นกันตรงนั้นแล้ว ลูคัสร้องเรียกแม่ฮะ แม่ฮะ !

แล้วพวกเค้าก็หายไปในกระแสน้ำ

 ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ประดังประเดเข้ามา ทั้งช็อกและก็กังวลเรื่องลูกชาย
 ชั้นจำได้ว่าน้ำพัดไปกระแทกกับกำแพง สามารถรู้สึกได้ว่ามันกำลังถูกบีบอัดให้แตก

ชั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดทางกายก็จริง แต่จมลงไปราวกับอยู่ในเครื่องปั่นแห้ง หมอบอกชั้นว่าชั้นน่าจะจมน้ำไปถึง 3 นาที เพราะในปอดเต็มไปด้วยน้ำ"


"ชั้นลอยขึ้นบนผิวน้ำได้แล้วเกาะต้นไม้ไว้ แต่มันก็ยากที่จะทรงตัวไว้ได้เพราะสถานการณ์มันห่างไกลจากปกติจริงๆ แต่มองออกไปประมาณอีก 15 เมตร  ชั้นมองเห็นหัวเล็ก ๆ แล้วชั้นก็ใจชื้นขึ้นมา  ชันว่านั่นคือลูคัส    ชั้นได้ยินเค้าร้องเรียกหาจึงว่ายน้ำไปหาเค้าค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่ชั้นรู้สึกว่าโชคดีมากที่สุดแล้ว มันทำให้ลืมเรื่องตัวเองไปหมดสิ้น  เราเกาะขอนไม้ลอยไปด้วยกัน

ชั้นรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ตอนที่ชั้นอยู่บนต้นไม้ เลือดจากบาดแผลฉกรรจ์ไหลออกมามากมายเหลือเกิน  ชั้นสัมผัสได้เลยว่ากำลังเข้าใกล้ความตายเข้าไปแล้ว   อาการตกเลือดภายในของชั้นแย่พอ ๆ กับเลือดที่ไหลภายนอก"

พวกเค้าพาตัวไปที่สูงได้ และแม้ว่าจะเจ็บปวดจากบาดแผลก็ต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพราะหวาดหวั่นต่อคลื่นยักษ์ที่สามารถพัดขึ้นฝั่งมาได้อีก   และชายไทยผู้หนึ่งก็เป็นผู้ค้นพบพวกเค้า

"เขาคนนั้นไม่ยอมให้ชั้นตายค่ะ    เค้าตบหน้าชั้นทุกครั้งที่ชั้นทำท่าเหมือนจะขาดใจตายไป  เขาบอกชั้นว่า มองลูกชายเธอเข้าไว้   เขารู้ค่ะว่าชั้นกำลังจะทนไม่ไหว


"เค้าช่วยดึงชั้นเดินฝ่าโคลนขึ้นมาจนแน่ใจว่าได้ส่งตัวชั้นไปรับความช่วยเหลือถูกที่แล้ว  "   แต่เธอไม่ได้มีความหวังเลยว่าสามีกับลูกชายอีกสองคนจะรอดตาย






หลังจากคลื่นซัดใส่   สามีของเธอพลัดหลงกับลูกชายแม้ว่าเด็กๆ จะอยู่ในอ้อมแขนเค้า  แต่สายน้ำอันโกรธเกรี้ยวก็ได้กระชากพ่อลูกออกจากกันอย่างไม่ปราณี  ตอนที่เอาตัวรอดจากการคว้าต้นไม้เหนี่ยวไวไ้ด้ ก็ต้องหลั่งน้ำตาเพราะคิดว่าลูก ๆ สิ้นลมจากการจมน้ำไปแล้ว

"ผมได้แต่ถามตัวเองว่า จะร้องไห้ไปทำไม  เพราะผมไม่เหลือใครสักคนที่จะปลอบโยนให้หายเศร้าได้"



แต่ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ชั่วอึดใจหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของโทมัสร้องเรียกหาทุกคนในครอบครัว  เมื่อเข้าไปถึงตัวลูกชายได้ ทั้งคู่ก็เกาะต้นไม้อยู่เป็นชั่วโมงก่อนที่จะพบว่าไซมอน เจ้าตัวเล็กยังมีชีวิตและปลอดภัยเช่นกัน!
แต่ที่มหัศจรรย์ไปกว่านั้น อีกสองวันต่อมา ครอบครัวที่ถูกคลื่นทำให้พลัดพรากได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งที่โรงพยาบาลหลังจากต่างฝ่ายต่างคิดว่าตายจากกันไปแล้ว  มาเรียเจ็บหนักปางตาย สภาพของโรงพยาบาลท้องถิ่นที่รองรับคนเจ็บมากมายนั้นคงไม่ใช่สถานที่ ๆ จะช่วยให้เธอรอดชีวิตได้    เมื่อโชคเข้าข้างทำให้ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา  เธอถูกส่งตัวไปรักษาที่สิงคโปร์และต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนกว่าจะกลับสเปนได้

สึนามิได้เปลี่ยนชีวิตของครอบครัวชนชั้นกลางที่แสนสุขไปตลอดกาล

"ชั้นอาจจะไม่สมควรที่จะรอดชีวิต แต่ชีวิตมันก็ไม่แฟร์แบบนี้  ชั้นรู้สึกเจ็บปวดและเห็นใจคนมากมายที่ไม่สามารถรอดกลับมาและสูญเสียคนที่รักไป"


หมอมาเรียกลายเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจด้วยการแบ่งปันเรื่องราวความทรงจำที่โหดร้ายจากมหาตภัยครั้งใหญ่  แม้จะรอดชีวิตมาได้แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ตามมาหลอกหลอนทุกคนในครอบครัวจนไม่สามารถปิดไฟนอนได้หลายเดือน  ไซมอน ลูกชายคนเล็กฝันร้ายถึงปีศาจไร้ตา พวกเค้าจึงต้องร่วมหาวิธีเพื่อตื่นจากฝันร้ายให้ได้    เธอจึงอยากช่วยเหลือให้คนอื่นได้ก้าวข้ามเรื่องราวเจ็บปวดที่ผ่านมาเช่นกัน
โทมัส ลูกชายคนกลางเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยที่เวลส์เพื่อฝึกฝนเป็นไลฟ์การ์ดเต็มตัวจากความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คน  จากนั้นจึงเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา
"ในตอนนั้น พ่อของผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น   มันจึงเป็นแรงกระตุ้นกับตัวผมว่า ชีวิตนี้มีเป้าหมายที่จะทำอะไร "





การช่วยเหลือจากเฮลิคอปเตอร์ที่หลังคาโลก
การช่วยเหลือนักผจญภัยที่กำลังหมดหนทางในการเอาตัวรอดจากนักบินผู้กล้าหาญท่ามกลางยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ  แม้คุณจะทราบถึงฉากจบแล้ว แต่หากได้ไปชมวีดีโอบันทึกเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตในครั้งนั้นก็อาจทำให้อะดรีนาลีนในตัวคุณพร่างพรูออกมาเลยทีเดียว
คุณอาจจะคุ้นเคยกับฉากหนังที่นักบินหย่อนเชือกลงไปดึงคนภายล่างขึ้นมาด้วยทักษะการบินอันเลิศล้ำ แต่ในชีวิตจริง เรื่องแบบนี้จะดูไหลลื่นไปเหมือนกับการใช้เทคนิคในหนังรึเปล่า ?
เมื่อได้รับข้อความช่วยเหลือว่ามีนักไต่เขาประสบภัยติดอยู่ที่ยอดเขาอันนะปุรณะ  ทีมช่วยเหลือชาวสวิส Captain ดาเนียล ออฟเดนเบลทเทน  (นักบิน) และริชาร์ด เลห์เนอร์ (ผู้เชี่ยวชาญการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ภูเขา) จึงเร่งรุดเดินทางไปทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มนักผจญภัยเหล่านั้นให้รอดจากอาการแข็งตาย แต่ต้องพบกับสภาพอากาศเลวร้ายจนต้องรอให้ฟ้าเปิดก่อนที่จะขับเฮลิคอปเตอร์ไปยังที่หมายได้

เมื่อสภาพอากาศดีพอที่จะทำการบิน  พวกเขาต้องขนอุปกรณ์การช่วยเหลือไปเต็มเฮลิคอปเตอร์ท่ามกลางข้อจำกัดทางเวลา  เพราะถ้าไม่สามารถเคลียร์ภารกิจได้  เมฆหมอกที่กลับมาบดบังทัศนวิสัยจะบีบให้นักบินกลับฐาน   ตำแหน่งแคมป์ของนักปีนเขานั้นอยู่ที่ความสูงราว ๆ 6900 เมตร  ความสูงระดับนั้นเสี่ยงต่อชีวิตของนักบินกู้ภัยและยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ภูเขาที่สวยงามแต่อันตรายทั้ง ๆ ที่ลมพัดแรงและมีอากาศให้หายใจเพียงเบาบาง  พวกเขาต้องเดิมพันการตัดสินใจที่แม่นยำเพื่อเดิมพันกับความเสี่ยงเหล่านี้  และยังไม่สามารถเข้าช่วยเหลืออย่างค่อยเป็นค่อยไป   พวกนักไต่เขาเริ่มมีอาการย่ำแย่จากความหนาวเย็นและหิมะกัด นาฬิกาชีวิตของพวกเขากำลังจะหยุดลง
กว่า Captain ดาเนียลจะส่งตัวริชาร์ดโรยตัวลงสู่เบื้องล่างเพื่อเข้าถึงตัวผู้ประสบภัย ก็ต้องพยายามอยู่สามรอบเนื่องจากออกซิเจนที่เตรียมมาไม่เพียงพอจนต้องวกกลับไปตั้งต้นใหม่  กระแสลมแรงนั้นทำให้ตัวเฮลิคอบเตอร์โยกคลอนอย่างน่ากลัวเมื่อริชาร์ดห้อยตัวด้านล่าง


แต่พวกเค้าก็ทำได้สำเร็จ!  กลายเป็นภารกิจเหลือเชื่อที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สูงที่สุดที่เคยมีคนทำไว้  พวกเขาประกบนักไต่เขาสลิงตัวต่อตัว แล้วพากลับไปที่ฐานแคมป์ทีละคนจนปลอดภัยทั้ง 3 คน
น่าเศร้าตรงที่แม้จะเป็นหนึ่งในทีมที่ช่วยชีวิตผู้ประสบภัย  แต่เค้าเหล่านั้นกลับเข้าหาจับมือขอบคุณริชาร์ดผู้โหนสลิงไปช่วยเท่านั้น   แต่เมื่อเห็นดาเนียลกลับแสดงความอึดอัดใจและนิ่งเฉย  คุณนักบินคนเก่งก็ได้แต่ยักไหล่กับปฏิกิริยาตอบรับ


ความสามารถทางการกู้ภัยด้วยทีมเวิร์คและความกล้าหาญส่งผลให้พวกเค้าคว้ารางวัล Heroism จากอันทรงเกียรติจาก  Aviation  แต่แม้ว่าจะสร้างประวัติศาสตร์   Captain ดาเนียลก็ไม่ได้ลำพองตน  เขาบอกแต่เพียงว่า  แต่ก่อนอาจมีคนเชื่อว่า การขับเฮลิคอปเตอร์ไปช่วยชีวิตคนจากความสูงระดับนั้นคงเป็นไปไม่ได้  แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้  และ "พวกเราได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือ และก็ทำตามหน้าที่ก็เท่านั้น"





ภารกิจชิงตัวประกันกลางมหาสมุทร


อีกหนึ่งเหตุการณ์สุดระทึกที่ฮอลลีวู้ดจับไปสร้างหนัง เมื่อโจรสลัดโซมาเลียบุกจู่โจมเรือขนส่งสินค้าและเสบียงช่วยเหลือนามว่า MV Maersk Alabama แล้วจับตัว Captain ไปเป็นตัวประกัน   ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องออกโรงช่วยเหลือ 
เมื่อโจรสลัดที่มีอาวุธครบมือบุกขึ้นเรือใหญ่ก็พยายามยึดอานาจควบคุมเรือด้วยการควบคุม captain และลูกเรือทั้งหมด  แต่ก็ยังมีลูกเรือที่หลบซ่อนตัวและสามารถจับตัวโจรสลัดไว้แลกเปลี่ยนตัวประกันคนอื่น     แต่หากคุณทำข้อตกลงกับโจร  ผลลัพธ์ที่ได้คงไม่ลงเอยแบบ happy ทุกฝ่าย   โจรไม่ได้รักษาคำพูดและชิงตัวผู้นำเรือ Maersk Alabama หนีไปด้วยเรือชูชีพพร้อมกับอาหารและเชื้อเพลิงที่จะพาไปถึงโซมาเลีย  ชีวิตของ captain ริชาร์ด ฟิลลิปส์ก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย  หากหมดประโยชน์ไปเมื่อใด พวกโจรคงสาดกระสุนใส่เขาอย่างไม่ลังเล
เพื่อช่วยเหลือชีวิตของcaptain ริชาร์ด  กองทัพเรือสหรัฐต้องใช้ยุทธวิธีต่างๆ พวกเขาใช้สายฉีดน้ำที่มีแรงดันทรงพลังสกัดกั้นไม่ให้เรือชูชีพเดินทางต่อไปถึงโซมาเลียได้  เฮลิคอปเตอร์ถูกส่งออกไปบินต่ำใกล้น้ำเพื่อกดดันโจร แต่ก็ถูกตอบโต้ด้วยลูกกระสุน   แม้โจรจะยิงไม่ถูกใครเลย แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับตัวประกันหากไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

"พวกเรายังปลอดภัยดีและไม่ได้เกรงกลัวพวกอเมริกันสักนิด  เราจะป้องกันตัวเองหากมีการโจมตีเกิดขึ้น"   หนึ่งในสี่โจรสลัดพูดผ่านโทรศัพท์



หน่วย SEAL จึงเริ่มปฏิบัติการโดยไม่ให้ฝ่ายศัตรูรู้สึกตัว


83 ชั่วโมงผ่านไป  โจรสลัดก็เริ่มจนมุม เรือชูชีพไม่มีเชื้อเพลิงที่จะหลบหนีได้อีก   ฝ่ายเจรจาที่ทำหน้าที่หว่านล้อมประประวิงเวลาไม่ให้โจรปลิดชีวิต captain  รุกคืบด้วยการยื่นข้อเสนอให้  และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อผู้นำโจรสลัดต้องการความช่วยเหลือให้กองทัพเรือรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บจากบาดแผลติดเชื้อและร้องขออาหารน้ำดื่มเพิ่มให้คนบนเรือชูชีพ  มันจึงเข้าทางแผนการช่วยเหลือทันที

มันคือการวางกับดัก

มีข้อตกลงใหม่ขึ้น เรือรบ Bainbrick จะลากเรือชูชีพไปส่งที่น่านน้ำโซมาเลีย การตกลงรับข้อเสนอนั้นก็เปรียบถึงการมอบสิทธิ์ควบคุมทิศทางเรือให้ฝั่งสหรัฐนั่นเอง

กองทัพเรือขอคำอนุมัติจากประธานาธิบดีโอบาม่าเพื่อยิงโจรเพื่อช่วยตัวประกัน  แต่คำตอบคือ  สามารถลงมือได้ก็ต่อเมื่อเห็นว่า captain ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น

คำบอกเล่าของ captain ในวินาทีชีวิตที่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างจากหนังก็คือ  โจรสลัดเริ่มรู้ตัวว่าถูกลวงให้ติดกับ  พวกเขาคิดจะปลิดชีวิตตัวประกันและยิงปืนเฉียดหัวแสดงให้เห็นว่าเอาจริง  สภาวะที่เลวร้ายเหมือนตกนรกทั้งเป็นและอาการเมาเรือทำให้ captain ดูย่ำแย่ลงมากจนแพทย์ทหารเรือจะต้องมาดูอาการที่เรือชูชีพและฝากอาหารไว้ให้   จากนั้นพวกโจรทะเลาะกันเองแล้วยิงปืนใส่ลมฟ้าระบายโทสะ   โจรคนหนึ่งโผล่หัวมาที่หน้าต่างเพื่อยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าตัวประกันยังอยู่รอด  จังหวะนั้นเองที่ SEAL ได้ clear shot และได้รับคำสั่งให้ประหารทันที


พวกเขาทำสำเร็จ  โจรสลัดสามคนในเรือชูชีพตายเรียบ captainได้รับการช่วยเหลือหลังจากตกเป็นตัวประกันครบ 4 วัน


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE