[ MOVIE REVIEW ] กลับมาวิ่งครั้งสุดท้ายในภาคจบของ Maze Runner: The Death Cure | ไม่สปอยล์

15 14

สวัสดีค่ะทุกคน ซินดี้มาแล้ว รอบนี้มารีวิวหนังนะ หลังจากที่ไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์มาสักพักก็คิดได้ว่าเออ ควรเขียนบ้างอะไรบ้าง และด้วยความที่ว่าไปดูมาแล้วมันก็สนุกดี จึงอยากจะมาเม้ามอยกับเพื่อนๆ ก็เลยมีอารมณ์ลุกขึ้นมาเขียน เรื่องที่ซินเด้จะพูดถึงก็คือ Maze Runner: The Death Cure ที่เพิ่งเข้าเมื่อวันพฤหัสฯนั่นเอง

MAZE RUNNER: THE DEATH CURE

มีชื่อไทยว่าไข้มรณะ ภาคที่ 3 ของภาพยนตร์ชุดเมซรันเนอร์ ซึ่งภาคนี้แหละเป็นภาคจบ หลังจากที่ให้แฟนๆรอคอยเกือบสามปี เนื่องมาจากนักแสดงหลักที่รับบทโทมัสอย่างดีแลน ประสบอุบัติเหตุในกองถ่ายจนเป็นเหตุให้ต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาหนึ่ง และวันนี้เมซรันเนอร์ภาคสุดท้ายอันเป็นบทสรุปก็ได้เวลาออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ เย้

หากให้เล่าเรื่องย่อทั้งหมดของสองภาคแรกอาจเป็นการเพิ่มให้เนื้อหากระทู้ยาวจนเกินไป เราจึงขอสรุปคร่าวๆว่า โทมัสตื่นขึ้นมาในทุ่งโล่งที่ล้อมรอบด้วยกำแพงพร้อมกับจำอะไรไม่ได้ หลังกำแพงยักษ์เป็นเขาวงกตที่สลับซับซ้อน และมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวอยู่ในนั้น วันดีคืนดีโทมัสก็ตัดสินใจพาเพื่อนวิ่งออกจากทุ่งโล่งไปยังวงกตเพื่อหาทางออก จนกระทั่งหาทางออกได้ พวกเขาพบว่าโลกภายนอกถูกทิ้งร้าง มีผู้ติดเชื้อบ้าคลั่ง (แคร้งก์) เดินเพล่นพล่านอยู่ และได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรที่ชื่อว่า WCKD (วิกเก็ต) ท้ายที่สุดองค์กร WCKD กลับทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาเห็นแล้วว่าไม่ดี จึงตัดสินใจพากันหนีไป ก่อนสุดท้ายโทมัสถูกเทรีซาคนรักหักหลังระหว่างการหลบหนี จนเป็นเหตุให้มินโฮเพื่อนรักถูกจับตัวไป

จริงๆดีเทลเยอะมากจริงๆ ยากที่จะเล่าให้ครบ

สำหรับคนที่ไม่ใช่ทั้งแฟนภาพยนตร์และแฟนหนังสืออย่างซินเด้ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้กับโทนหนังที่เปลี่ยนไปจากภาคก่อนๆ เนื่องด้วยภาพจำของคนดูหนังอย่างเรา จดจำได้ว่าเมซรันเนอร์มีโทนไซไฟ ดิสโทเปีย มีความเป็นคัมมิ่งออฟเอจ และเน้นฉากตื่นเต้นลุ้นระทึก ทว่าภาคไข้มรณะนี้เปลี่ยนไปใช้โทนแนวดราม่า แอคชั่นแทน

ความลุ้นความตื่นเต้นที่มีในภาคแรกและภาคสอง เป็นเหมือนจุดที่ทำให้เมซรันเนอร์แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆในฌองเดียวกัน เปิดเรื่องมามีความเป็น Divergent ผสมกับ Mad Max อยู่หน่อยๆ และปิดท้ายด้วยความคล้ายคลึงกับ Mocking Jay จากภาพยนตร์ชุด Hunger Game เอกลักษณ์เดิมหายไปและถูกแทนที่ด้วยมู้ดอื่น ซึ่งซินเด้ก็ไม่ได้จะสื่อนะว่ามันแย่ จริงๆแล้วเนื้อเรื่องโอเคเลยทีเดียว

สำหรับเนื้อเรื่องและบทที่ถูกเกลาออกมาจากที่ในตอนแรกเขาวางแผนจะหั่นภาคสุดท้ายออกเป็น 2 ตอน และสุดท้ายก็รวบเข้าเป็นตอนเดียว ซึ่งการรวบแล้วทำหนังออกมาให้มีความยาวถึง 2 ชม. กว่า ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปมได้หมด

ไม่ใช่การทิ้งปมปลายเปิดเอาไว้ แต่มันคือการหย่อนระเบิดที่ชื่อว่าปริศนาไปในภาคแรก และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนถูกลืมไปเลยเหมือนไม่เคยมีมาก่อน และเฮ้ ทุกคน ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้  

แต่ก็ต้องชื่นชมในส่วนของการสร้างคาแร็คเตอร์ของแต่ละตัวออกมาได้ดี และในหลายๆตัวละครมีแง่มุมที่น่าสนใจซ้อนทับกันอยู่ ถึงแม้ว่าท้ายสุดเราจะยังหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เหล่าตัวละครพวกนี้ทำก็เถอะ บางอย่างก็ขาดสติกันเกินไปหน่อยไหมมม

ส่วนเรื่องที่คุณก็รู้ๆกันของเทรีซ่าหนะ อยากให้ทุกคนไปดูแล้วตัดสินนางกันด้วยตัวเอง เพราะจุดนี้แล้ว ซินเด้โนคอมเมนท์ค่ะ เดี๋ยวหลุดสปอยล์ อิอิ

โดยรวมแล้วซินดี้ให้ผ่านค่ะ ในแง่ของบทที่ไม่ป่วยขั้นโคม่า ดำเนินเรื่องได้ลื่นไหลดี ถึงจะดูสับสนมึนงง-หลงทางไปไหนก็ไม่รู้ในบางช่วง แต่มันก็โอเคมากในแง่ของความสนุก และความดึงดราม่าที่เข้าถึงอารมณ์ได้ดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ขอแนะนำเพื่อนๆชาวจีบันทุกคนไปร่วมกันส่งแรงเชียร์ให้เด็กๆชาวทุ่ง รับรองความมันส์ว่าระห่ำยิ่งกว่าภาคไหน และดูจบแล้วสนุกไม่สนุกยังไงก็มาคอมเมนท์พูดคุยกับซินดี้ได้ในกระทู้นี้เลย

วันนี้ซินดี้ก็มาเม้าท์แค่นี้แหละ ขอบคุณที่คลิ๊กเข้ามาอ่านนะคะ ขอตัวไปก่อนแล้ว สวัสดีค่ะ <3

ปล. ฝากเทรลเลอร์ไว้ด้านล่าง เผื่อว่าในตัวอย่างภาพยนตร์จะเล่าเรื่องย่อได้ดีกว่าตัวซินดี้เอง


Cindie

Cindie

สวัสดีค่ะ นี่ " ซินดี้ " เอง
ชอบทำรีวิวให้ทุกคนได้อ่านกัน
❤ Makeup, Skincare, Movie, Food ❤
ติดตามเม้าท์มอยเพิ่มเติมกันได้ทางทวิตเตอร์

@LONELYCINDIE หรือเมล์มาที่ ✉
lonelycindie@gmail.com ขอบคุณค่ะ

FULL PROFILE