ทะลายกรุวิตซีบ้านมียอนร่วม 9 ยี่ห้อ พร้อมรีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมแบบย่อ ทิ้งทวนส่งท้ายปี 2560

16 9

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆบ้านจีบันทุกๆท่าน

เรื่องที่มี่จะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่หลายๆคนได้ยินจนเบื่อคือ เรื่องของการใช้ VitaminC แบบทา แต่แน่นอนว่าหลายๆคนคงยังมีคำถามว่าสรุปเจ้าวิตซีนี่มันช่วยอะไรกันแน่ จะขาว จะใส หรือจะลดริ้วรอย วันนี้มี่มีคำตอบมาให้อ่านกันค่ะส่วนตัวมี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเอาวิตามินซีมาเป็นขั้นตอนหนึ่งของ Skincare regimen ในการดูแลผิวแต่ละวันนะคะวิตามินซีนี่เหมือนเป็นส่วนผสมพื้นฐานตัวหนึ่งเลยในวงการเครื่องสำอาง มีการใช้วิตามินซีแบบทามานานมากแล้ว เพื่อดูแลปัญหาพวกริ้วรอยจากการแก่ก่อนวัย หรือ photoagingแต่ปัญหาของวิตามินซีก็คือด้านความคงตัวค่ะ นางมีความไวต่อแสง อากาศ อุณหภูมิ และความร้อนค่ะ เมื่อนางเสื่อมสภาพ นางจะกลายเป็นสีน้ำตาล ทำให้ครีมบางยี่ห้อมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเก็บรักษาไว้ปัญหาอีกด้านคือ ตัวนางเป็นกรด เวลาเราเอาลงสูตร ถ้าต้องการให้ดูดซึมเข้าผิวดีๆ แบบไม่ต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบนำส่งอะไร เราจะต้องปรับ pH ของสูตรให้เป็นกรดหน่อยๆ ซึ่งตอนทาก็จะทำให้บางคนรู้สึกระคายเคืองได้ทางเครื่องสำอางเลยมีการเปลี่ยนแปลงรูปของวิตามินซี จากรูปแบบดั้งเดิม คือ ascorbic acid ให้เป็นรูปอื่นๆ เช่น รูปแบบ Ester อย่าง Ascorbyl palmitate หรือ Ascorbyl tetraisopalmitate ที่เอากรดไขมันเข้ามาจับ ช่วยลดความเป็นกรด และช่วยเพิ่มการละลายในไขมัน  หรือ Ascorbyl glucoside ที่เอามาจับกับน้ำตาล เพื่อลดความเป็นกรด และเพื่อเสริมการดูดซึมโดยถ้าถามว่า form ไหนดีที่สุด อันนี้ก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะไม่มีข้อมูลจากหน่วยงานกลางมายืนยันว่าแบบไหนดีสุด เป็นแค่ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ แนวว่าของตัวเองดีกว่าแต่ถ้าลองพิจารณากันจริงๆ เหมือนว่า ascorbic acid แบบดั้งเดิม มีข้อมูลหลายๆชิ้นมาสนับสนุนว่าให้ผลค่อนข้างเด่นกว่า form อื่น แต่ความคงตัวไม่ค่อยดี ก็เลยต้องหาวิธีเพิ่มความคงตัวเข้ามาช่วย ไม่งั้นก็คงต้องเลี่ยงไปใช้ form อื่นแทนค่ะประโยชน์ของวิตซีกับผิววิตามินซีมีประโยชน์มากมายกับผิวเลยทีเดียวค่ะจริงๆยอมรับว่าสมัยก่อนส่วนตัวมี่ไม่ค่อยศรัทธาในตัววิตซีเท่าไหร่ จนกระทั่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ของแพทย์ผิวหนังท่านหนึ่ง ที่ชื่อ Zoe Diana Draelosคุณหมอ Draelos นี่เป็นนักเขียนท่านหนึ่งที่มี่ชอบ เขามีผลงานตีพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นบทความ หรือ ตำรา เกี่ยวกับด้านเครื่องสำอาง เวชสำอาง และผิวหนังเยอะมากๆ และเขาใช้ภาษาที่ค่อนข้างง่าย อ่านง่าย เข้าใจง่าย มีเนื้อหาหลายระดับ ตั้งแต่ระดับเบสิคแบบชาวเรา จนไปถึงระดับแอดวานซ์สำหรับนักเรียนนักศึกษานักวิจัยจนถึงระดับโปรเฟสชั่นนอลเลยทีเดียวคุณ Draelos กล่าวในหนังสือเรื่อง Cosmetics and sermatological problems and solutions: A problem based approach ประมาณว่า (มี่อาจจะจำไม่ได้ถูกต้องครบถ้วนนะคะ แต่ประโยคนี้ติดอยู่ในหัวตั้งแต่นั้นมา และเป็นแรงผลักดันให้มี่กลับมาใช้วิตซีแบบจริงจัง) "Ascorbic acid remains our important armamentarium against aging" แปลว่า วิตซียังคงเป็นอาวุธสำคัญสำหรับต่อต้านความแก่ในทุกวันนี้ถ้าเราลองสรุปคุณสมบัติของวิตซี จะสามารถสรุปได้ 5 อย่างหลักๆค่ะ

  • Antioxidant อันนี้แน่นอน ทุกคนต้องเคยได้ยิน นางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย
  • ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่สร้างเม็ดสี จึงให้ผลด้าน Whitening
  • เป็น Cofactor (ตัวทำหน้าที่ร่วม) ของเอนไซม์ Lysyl และ Prolyl hydroxylase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผิวเราสร้างกรดอะมิโน Hydroxylysine และ Hydroxyproline ที่อยู่ในสายคอลลาเจน พูดง่ายๆ คือ ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนในผิว
  • Photoprotective คำนี้แปลว่า ปกป้องจากแสงแดด แต่ ไม่ใช่ว่าวิตซีกันแดดได้นะคะ หมายถึง วิตซี สามารถปกป้องผิวจากผลเสียของแสงแดด โดยไปลดอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบที่เกิดขึ้นจากรังสี UV ในแสงแดดค่ะ คำนี้พลิกชีวิตมี่เลยค่ะ จากเดิมที่เราทาวิตซีกันแค่กลางคืน มาเจอว่า วิตซีปกป้องผลเสียจาก UV ได้ และควรทากลางวันด้วย (จะได้หมดและไปซื้อใหม่ไวขึ้น เสียทรัพย์ง่ายกว่าเดิม) แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้ทาแต่วิตซีไม่ต้องทากันแดด คือ ให้ทากันแดด และเสริมวิตซีเพื่อช่วยกรองผลเสียจากรังสี UV ที่เล็ดรอดเข้ามาในผิวได้นั่นเอง เพราะไม่มีอะไรกันแดดได้ 100% ยังไงๆมันก็ต้องมีเล็ดรอดเข้ามาในผิว
  • ลดการอักเสบ โดยไปมีผลกดการทำงานของเจ้าสาร NF-Kappa B ในผิว สารนี้เป็นเสมือนสารตัวแม่ ที่เหนี่ยวนำให้ผิวเราสร้างสารก่อการอักเสบออกมาหลายชนิด และทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆออกมามากมายค่ะ
แต่ การที่เราจะไปหักเอาวิตซีจากแอมพูล หรือไปตำๆจากวิตซีอัดเม็ดมาทาหน้า นั้นคิดว่าคงไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่ เพราะหลายๆแหล่งบอกว่า วิตซีในรูปดั้งเดิม (Ascorbic acid) นั้นดูดซึมได้ต่ำมากกกกกกกกกกกกกก ต้องอาศัยการปรับ pH การเพิ่มสารช่วยดูดซึม อาศัยระบบนำส่งในทางเครื่องสำอาง หรือ อนุพันธ์รูปแบบอื่นๆมาช่วยค่ะสรุปได้ดังรูปค่ะ

เกริ่นมามากมายจนจะหลับคามือถือแล้ว มาระเบิดกรุวิตซีบ้านมียอนดีกว่านะคะวิตซีทั้งหมดที่เคยใช้มาตลอดช่วง 2 ปีนี้ ก็จะเป็นตามรูปค่ะ

มีใครเคยใช้เหมือนเราบ้างเอ่ยอ้อ เห็นรูปมาตั้ง 9 ตัวแบบนี้ ไม่ได้ทาพร้อมกันทุกวันนะคะ ใช้ไปทีละอันจนหมดแล้วค่อยเริ่มตัวอื่น บางอันก็เบิ้ลหลอดสอง หลอดสาม แล้วแต่อารมณ์และช่วงเวลา และบางตัวในรูปนี้ก็หาซื้อไม่ได้แล้วด้วยหละ (แอบเสียใจ)ก่อนจะไปดูรีวิวละเอียด มี่ขอสรุปทั้งหมดไว้ในตารางนี้ก่อนนะคะ

เริ่มกันที่ตัวแรก เป็นเซรั่มวิตามินซีเข้มข้น 15% ของ Dr.Jessica Wu ค่ะ ว่ากันว่าเป็นเซรั่มวิตามินซีชิ้นแรกที่มี่เคยใช้แล้วชอบมาก นางเคยได้มง #ลูกรักบ้านมียอน ปี 2559 ด้วยนะคะนางมาในหลอดเล็กๆ หลอดนึงใช้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แล้วก็ทิ้งไปเพื่อความคงตัวของวิตซีแต่เหมือนตอนนี้ Dr.Jessica Wu rebrand ใหม่ ตัวนี้เลยหายไป มี่ยังไม่ได้ลองไปส่องเวบเค้าแบบละเอียดว่ามีตัวไหนน่าเล่นแทนมั่ง

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในด้านของวิตซี นางใช้ 2 รูปแบบ คือ Ascorbic acid แบบดั้งเดิม และ Ascorbyl tetraisopalmitate ที่เป็นแบบเอสเทอร์กับกรดไขมันค่ะอันนี้ทางแบรนด์เขาเคลมว่า เก็บวิตซีมาในแคปซูลเพื่อช่วยเรื่องการดูดซึมและลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นค่ะ ในด้านของสารบำรุงอื่นๆมีการเสริมเข้ามาด้วย ว่านหางจระเข้ กับวิตามินบี 5 ที่มีประโยชน์เรื่องเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการอักเสบระคายเคืองส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบเนื้อเซรั่มของเขา และที่สำคัญใช้ไปก็ไม่ได้แสบ หรือเคืองผิวอะไร แต่ด้วยสารบำรุงที่น้อยไปหน่อยเลยให้คะแนนไป 7/10 คะแนน

ตัวที่สองมาจากแบรนด์ It’s Skin สัญชาติเกาหลี กับ Power 10 formula VC effector ค่ะ รุ่นที่มี่ถอยมาเป็นรุ่นในขวด Big bird (การ์ตูน Sesame street) จริงๆอยากได้ขวด แต่ลองใช้แล้วก็แบบ อื้อ เค้าก็ทำมาดีนะ ตัวนี้หมดไปแล้วเลยไม่มีเนื้อเซรั่มมาให้ชม

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในด้านของส่วนผสม วิตซีที่ใช้เป็นรูปแบบ Ascorbyl tetraisopalmitate หรือ VC-IP ที่ละลายในไขมันได้ดี และมีความเป็นกรดต่ำ form นี้มีรายงานสนับสนุนถึงความสามารถในการดูดซึมผ่านผิวด้วยนะคะ อันนี้ทางแบรนด์ไม่ได้เคลมค่ะว่าใส่มากี่ %ในด้านของสารบำรุงอื่นๆก็จะมี Polygutamic acid ที่มีประโยชน์ด้านการเพิ่มความชุ่มชื้น และ สารสกัดจากชาเขียวที่เป็น antioxidant ค่ะเบสถ้าดูส่วนผสมจะมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีน้ำมัน ตัวเนื้อเซรั่มจะออกขุ่นๆหน่อยค่ะ เพราะมีส่วนผสมของสารที่ละลายในน้ำมันได้อยู่ด้วยส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบเนื้อแบบนี้นะคะ แต่ด้วยสารบำรุงยังน้อยไปหน่อย และไม่ได้มีการเคลมเรื่องของระบบนำส่งอะไรเข้ามา เลยขอให้ไป 6/10 คะแนน

ตัวที่สามมาจากแบรนด์ Labstory สัญชาติเกาหลีเช่นกันค่ะ กับ V10 revitalizing intensive serum whitening bomb ตัวนี้ใช้หมดแล้วค่ะ ก็เลยไม่มีเนื้อเซรั่มมาให้ชมกัน

ส่วนผสมเป็นแบบนี้นะคะ

เป็นเซรั่มที่ใช้วิตามินซี form 3-o-Ethyl ascorbic acid ที่เคลมว่ามีขนาดเล็ก ดูดซึมได้ง่ายกว่าแบบปกติ และมีความคงตัวที่ดีกว่าวิตซีแบบปกตินะคะ ตัวนี้ก็ไม่ทราบว่ามีวิตซีอยู่กี่ % ค่ะในด้านสารบำรุงอื่นๆ มีการเสริมสารสกัดจาก Chokeberry และ Elderberry ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่หายาก ที่เป็น Antioxidant ร่วมกับ วิตามินอี บี3 Adenosine Hyaluron และ biosaccharide gum-1 ซึ่งมีประโยชน์โดยรวมในด้านของการ Antioxidant, Whitening เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง รวมไปถึงด้านริ้วรอยได้ไปพร้อมๆกันเบสมาในเบสแบบน้ำนม ที่มีส่วนผสมของน้ำ และซิลิโคนอยู่นิดหน่อย เนื้อเซรั่มเลยค่อนข้างบางเบา ไม่เหนอะหนะส่วนตัวมี่ก็ค่อนข้างชอบเนื้อเซรั่มตัวนี้นะคะ พอขวดนี้หมด ก็แอบไปซื้อมาอีกขวดหนึ่งที่ร้านยาสีเขียวสาขาสยาม (ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นไม่เห็นนะ ไม่รู้ตอนนี้มีหรือยัง)ให้คะแนนไป 7.5/10 คะแนนค่ะ

ตัวต่อมาเป็นของจากฝั่งญี่ปุ่น คือ Hyalocharge ของ Kose cosmeport นั่นเองค่ะอันนี้มีเรื่องเล่า คือ ตอนที่จะไปเที่ยวจีน แล้วมี่ลืมกระเป๋า skincare ไว้ที่เชียงใหม่เลยต้องไปเดินเลือก skincare ที่ Beautrium สยาม เลยแอบสอยตัวนี้มาค่ะ หวังเรื่องเติมน้ำให้ผิว แต่ก็เสริมวิตซีนิดหน่อยพอกรุบกริบไปพร้อมๆกัน

ด้านส่วนผสมนางทำมาได้ดีนะคะ เน้นเติมน้ำให้ผิวเป็นหลักค่ะ

ในภาพรวม นางมาในเบสน้ำ มีส่วนผสมของ Ascorbyl glucoside เป็นวิตซี อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้มากี่ % ร่วมกับ Hyaluron สองชนิด แม้ในส่วนผสมจะมีส่วนผสมของสารกลุ่มน้ำมันอยู่ด้วยนิดหน่อยพอกรุบกริบ แต่น้ำกลับใส และไม่เหนอะหนะจุดที่ต้องติ คือ มีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากผิวส้ม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแพ้แสงแดดได้ จึงไม่ควรใช้กลางวัน หรือ ต้องเลี่ยงแดดจัด พร้อมกับทากันแดดด้วย และมีส่วนผสมของ paraben แต่อิชั้นก็สู้แสงแดดที่กวางเจาได้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขอให้คะแนนที่ 5/10 ค่ะ เนื่องจากปัจจัยด้านส่วนผสมค่ะ

ตัวต่อมาก็ยังเป็นของจากทางฝั่งญี่ปุ่น สอยมาเพราะส่วนผสม placenta คือ ปกติเรามักจะไปเจอ placenta ในสกินแคร์ที่มีราคาค่อนข้างแพง แต่อันนี้นางเป็นน้ำตบ ราคาค่อนข้างถูกเลยค่ะ ขวดใหญ่มาก แต่ราคาประมาณ 300 บาทเอง แต่ในความ placenta นี้ก็ยังได้ประโยชน์จาก arbutin และ วิตซีไปพร้อมๆกันตอนแรกก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าแบรนด์อะไร พลิกไปอ่านฉลากไทย ถึงรู้ว่า อ่อ นางชื่อ Biyou genekiนางเป็นน้ำตบเหลวๆ สีขุ่นๆ จะหยดใส่สำลีเช็ดแบบโทนเนอร์ก็ Happy หรือจะเทใส่มือแล้วตบเบาๆ ก็ Joy

ส่วนผสม

จากส่วนผสมเรียกได้ว่าเป็นน้ำตบเติมน้ำค่ะ เพราะอาศัย collagen 3 ชนิด ร่วมกับ hyaluron และ trehalose ซึ่งเด่นเรื่องการเติมน้ำให้ผิวทั้งหมด เสริมมาด้วย arbutin ที่เป็น Whitening เจ้าประจำ และ 3-o-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตซีค่ะในด้านเบส คือนางมีแต่ส่วนของน้ำ จึงเบามาก ส่วนตัวมี่ว่านางชุ่มผิวดีนะคะให้คะแนนที่ 7.5/10 ค่ะ

ตัวต่อมาข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากแคนาดาเลยค่ะ เป็นของแบรนด์ The ordinary ในเครือ deciem ที่เป็นลูกรักของใครหลายๆคน

ส่วนผสม

นางมาในเบสแบบน้ำ ส่วนผสมเรียบง่าย ใช้ Ascorbyl glucoside เป็นวิตซี ในความเข้มข้นที่ 12% มีการใช้ Dimethyl isosorbide กับ Ethoxydiglycol เป็นสารช่วยเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ผิวค่ะส่วนตัวมี่ใช้แล้วจะรู้สึกยุบยิบๆนิดๆ และไม่ได้มีสารบำรุงอื่นๆอยู่เลย เรียกได้ว่า มุ่งเป้าไปที่วิตซีล้วนๆขอให้ 6/10 คะแนนค่ะ เนื่องจากประเด็นด้านสารบำรุง

3 ตัวสุดท้ายมาจากแบรนด์ไทยทั้งหมดค่ะ แต่ต้องบอกว่าทั้งสามตัวเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำ ที่ทำมาได้ดีมากๆทั้งสามตัวค่ะประเดิมกันที่ เซรั่มวิตซีของแบรนด์ Kene แบรนด์ดัง กับเจ้า Kene Brightage C ค่ะ เซรั่มตัวนี้มี่เคยรีวิวละเอียดไว้แล้วนะคะตัวนี้มี่จะชอบเป็นพิเศษเพราะนางเป็นเซรั่มวิตซี ที่ไมได้มีแค่วิตซี แต่นางเสริมสารบํารุงอีกมากมายอัดแน่นเข้ามา มาในเบสแบบน้ำนมที่ค่อนข้างบางเบา

ส่วนผสม

ตัววิตซี นางใช้วิตซีทั้งหมด 3 form คือ Ascorbyl tetraisopalmitate กับ 3-o-Ethyl ascorbic acid และ ascorbic acid เสริมกันในความเข้มข้น 12% ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่ละลายได้ในน้ำ และ น้ำมัน ข้อดีของการใช้ทั้งอนุพันธ์ที่ละลายทั้งในน้ำและไขมันคือ ตัววิตามินซีจะเข้าไปช่วยเรื่องการต่อต้านความเสียหายของผิวจากอนุมูลอิสระได้ทั้งในโครงสร้างที่ชอบไขมัน และโครงสร้างที่ชอบน้ำ เพราะในชั้นผิวและในเซลล์เราจะมีโครงสร้างทั้งสองแบบ การปกป้องผิวในลักษณะนี้ก็น่าจะครอบคลุมกว่าค่ะในด้านของสารบํารุงตัวอื่นๆตัวหลักๆเลยคือกลุ่มของ peptide ที่เน้นเสริมวิตามินซีในด้านกระตุ้นคอลลาเจน ผิวเรียบเนียน นอกจากนี้ ในส่วนผสมยังมี สูตรผสมของ Palmitoyl Tripeptide-1 (and) Palmitoyl Tetrapeptide-7 ที่รู้จักกันในนาม Matrixyl 3000  ร่วมกับ Tetrapeptide-21 โดยเจ้าตัวนี้มีงานวิจัยตีพิมพ์ใน Experimental Dermatology ปี 2011 ว่ามีส่วนช่วยในเรื่องการกระตุ้นการสร้างพวกองค์ประกอบในชั้นผิว ที่จัดเป็น extracellular matrix อย่าง collagen, hyaluronic acid, fibronectin ซึ่งพวกนี้ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้แก่โครงสร้างผิว ซึ่ง เอามาเสริมกับวิตซีในการช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนได้อย่างลงตัวในด้านของสารบำรุงตัวอื่นๆที่มีอยู่มีประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ไขมันที่เสริมสร้าง barrier ผิว peptide ที่มีประโยชน์ด้านริ้วรอย สารสกัดพืชและสารที่เป็น antioxidant, whitening และ สารเติมน้ำให้ผิว ซึ่งอัดมาค่อนข้างแน่นเลยค่ะตัวนี้ขอให้คะแนน 10/10 ค่ะ

มาดูของไทยกันต่อกับแบรนด์ Cute press super strength vitamin c serum ที่เคลมว่าใช้ VC 10% ค่ะ

ส่วนผสมค่ะ

นางมาในเบสแบบน้ำนม ที่มีเนื้อค่อนข้างบางเบา ไม่เหนอะหนะ จึงน่าจะเหมาะกับทุกสภาพผิว ตัววิตซีใช้ใน form ของ Ascorbyl glucoside ค่ะในด้านเทคโนโลยีของตัวนี้คิดว่ามีการใช้ระบบนำส่งแบบ Niosome ซึ่งเป็นระบบนำส่งที่มีลักษณะเป็นถุง มีผนังสองชั้น ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารเข้าไปในผิว และการเก็บกักเอา ascorbyl glucoside เข้าไปในถุงก็น่าจะช่วยเพิ่มความคงตัวด้วยค่ะหน้าตาของ Niosome เป็นแบบนี้ค่ะ

(ที่มา: wikipedia)ในด้านของสารบำรุงอื่นๆ ก็ถือว่าอัดมาแน่นเหมือนกัน มีประโยชน์โดยรวมในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบและระคายเคือง รวมไปถึงการเสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น barrier ผิวได้ด้วย และยังมีการใช้ Ethoxydiglycol เป็นสารช่วยเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ผิวส่วนตัวมี่หลังจากลองคิดว่า ตัวนี้ก็ไม่ได้แสบหรือรู้สึกยุบยิบอะไร แต่ดูเหมือนจะแห้งไปหน่อยให้คะแนน 10/10

ตัวสุดท้ายก็ยังมาจากแบรนด์ไทยนะคะ เป็นเซรั่มวิตซีตัวใหม่ของ Oriental princess ค่ะ

ส่วนผสมก็ไม่น้อยหน้านะคะ

จุดเด่นอยู่ที่นางมาในเบสแบบซิลิโคน ไม่มีน้ำเป็นส่วนผสม ใช้วิตามินซี 2 รูปแบบ คือ VC-IP รวมกับ Magnesium ascorbyl phosphate รวมกัน 10%ส่วนผสมของ Water/Arbutin/Glycerin/Magnesium ascorbyl phosphate/polysorbate 20/cholesterol/sorbitan stearate/xanthan gum ดูเหมือนเป็นการเตรียมระบบนำส่งแบบ Niosome ซึ่งเก็บกักเอาวิตามินซี และ Arbutin ไว้ภายใน เพื่อเพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าสู่ผิวอีกตัวที่น่าสนใจคือ ส่วนผสมของ Levan/decyl glucoside/olea europaea leaf extract/phenethyl alcohol/zizyphus jujuba fruit extract น่าจะหมายถึง วัตถุดิบ Proteolea ของ บ.Rahn cosmetics ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า- สารสกัดจากใบมะกอก มีสาร Oleuropein มีคุณสมบัติกระตุ้นผิวให้สร้าง Proteosome ซึ่งเป็นระบบในการ recycle กำจัดโปรตีนของเสียออกจากผิว กลไกนี้จะลดลงเมื่อเราแก่ตัว พอเสริมเข้าไปผิวก็จะมีสุขภาพดีเหมือนวัยหนุ่มสาว- สารสกัดจากพุทราจีน ประกอบด้วยสารในกลุ่ม Jujuboside ซึ่งเป็น antioxidant ที่ดี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ- Levan เป็นสารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่เพิ่มความชุ่มชื้น และก่อฟิล์มบนผิว ให้ความรู้สึกกระชับวัตถุดิบดังกล่าวมีการทดสอบในอาสาสมัครโดยบริษัท พบว่า สามารถลดริ้วรอย และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวได้ดีจึงกล่าวได้ว่า เซรั่มวิตซีนี้น่าจะมีประโยชน์ทั้ง Whitening ชะลอวัย ลดริ้วรอย ลดการอักเสบและระคายเคืองเป็นหลักตอนแรกพอเห็นส่วนผสม ก็จะนึกไปถึงอารมณ์กันแดดใยไหม หรือพวกรองพื้นมูสเบสซิลิโคน ที่จะให้สัมผัสลื่นๆบนผิว แต่พอได้ลองจริง มี่ว่า สัมผัสเค้าดีกว่าที่คิด ดูคล้ายออยล์ ไม่ลื่นแบบเบสกันแดดใยไหม และก็ไม่แห้งมากเกินไปตัวนี้ขอให้ 9/10 คะแนนค่ะสรุปกันซักหน่อยนะคะวิตามินซี คือ วิตามินที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้าน Whitening ด้านชะลอวัยลดริ้วรอย ลดการอักเสบระคายเคือง ปกป้องผิวจากรังสี UVในการเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินซี นอกจากจะดูที่ส่วนผสมโดยรวมแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น ค่า pH ของผลิตภัณฑ์ เบสที่ใช้ และ Form ของวิตามินซีที่ใช้ โดยถ้าเป็นแบบ Ascorbic acid ก็ควรจะมาในเบสที่ไม่มีน้ำ หรือ เป็นเบสที่ปรับ pH หรือ มีระบบเก็บกักในแคปซูล เข้ามาช่วยเพิ่มความคงตัว ส่วนถ้าเป็น Form อื่น ก็ต้องดูกันไปในรายละเอียดอีกทีจากตัววิตซีทั้งหมดที่มี่เคยใช้มาในช่วง 2 ปี นี้ ตัวที่มี่ประทับใจมากที่สุดและได้ไป 10 คะแนนเต็มจะมีสองตัวค่ะ เป็นของคนไทยทั้งคู่เลย คือ Brightage C ของแบรนด์ Kene และ Super strength 10% vitamin c boosting serum ของแบรนด์ Cute press นะคะถ้าเทียบกันแล้วทั้งสองแบรนด์ก็จะเด่นกันไปคนละแบบ กินกันไม่ลงจริงๆค่ะ อย่าง Cute press ก็จะเด่นเรื่องของเทคโนโลยีการใช้ระบบนำส่ง Niosome ส่วน Kene ก็จะเด่นเรื่องการเสริมสารบำรุงที่เข้ามาดูแลปัญหา Whitening, ริ้วรอย และ มีไขมันที่เสริมสร้าง Barrier ผิวไปพร้อมๆกัน สารบำรุงที่ทาง Kene เลือกมาส่วนใหญ่มีงานวิจัยสนับสนุนอยู่ ว่าสารพวกนี้มีประสิทธิภาพจริงอะไรจริง และนางอัดมาในความเข้มข้นที่จัดเต็มมากสำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: การรีวิวนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เองจริง ซึ่งมีทั้งได้รับมาจากทางแบรนด์และซื้อใช้เอง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม


LadyMiyeon

LadyMiyeon

ชื่อมี่ มียอน สาวสกินแคร์สายเกาหลี ชอบอ่านส่วนผสมเครื่องสำอาง เน้นรีวิวส่วนผสมค่ะ กำลังหัดแต่งหน้าอยู่ แต่ยังได้แค่พอไปวัดไปวา คุยกันได้นะคะ ดูเหมือนโหดแต่จริงๆน่ารักแบ๊วๆใสๆ ไม่กัดจ้าาา

FULL PROFILE