Racism in Hollywood
candy1810.
Discussion (10)
มี Dr.Ken แล้วก็ White Famouse อีกสองเรื่องค่ะ ที่มีนักแสดงนำกับนักแสดงสบทบเป็นเอเชียน อเมริกัน White Famous พระเอกเป็นผิวสีอีกต่างหาก
คำพูดของคอนสแตนซ์ไม่ผิดนักค่ะ เมื่อผู้สร้างเริ่มหันมาให้โอกาสที่นักแสดง POC (people of color) มากขึ้น เสียงตอบรับจากผู้ชมก็ไม่ได้แบนราบเรียบดังที่เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงนักแสดงนำที่ไม่ใช่คนขาว แต่กลับมีรีวิวดีๆ จากนักวิจารณ์ เรตติ้งก็ดีพอจะสร้างซีซั่นต่อ นอกจาก Fresh Off The Boat จะมีถึง 4 ซีซั่นแล้ว ยังมีซีรีย์คุณภาพจาก Netflix อย่าง Master Of None
เรื่องนี้ว่าด้วยชีวิตของหนุ่ม New Yorker เชื้อสายอินเดีย เขาเป็นนักแสดงที่พยายามตะเกียกตะกายหางานในวงการที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ และ stereotype ที่ชวนอึดอัด งานที่พอจะได้ก็หนีไม่พ้นบทคนขับแท็กซี่ เจ้าของร้านขายของชำ ไม่สามารถพูดสำเนียงอเมริกันได้แต่ต้องดัดให้เหมือนสำเนียงคนอินเดียแทน
Constance Wu กับการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียม
แม้คอนสแตนซ์จะไม่ได้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ได้งานแสดง แต่เธอต้องเจอะเจอกับความเหลื่อมล้ำเรื่องสีผิวจนต้องออกโรงเผชิญหน้ากับมัน
หลังจากที่ทนกับความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติมายาวนาน นักแสดงเชื้อสายเอเชียนบางคนก็เริ่มลุกขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียม พวกเขาไม่ได้อยากจะแย่งชิงบทที่ต้องวนลูปใน stereotype เดิมๆ ทำให้โอกาสในการได้บทดีๆ ของพวกเขาดูริบหรี่แบบยากที่หวังให้ไปไกลถึงเวทีรางวัลการแสดง
- บทเจ้าหญิงแดนตะวันออกที่ตกอยู่ในอันตรายและเฝ้ารอความช่วยเหลือจากชายผิวขาวชาวตะวันตกให้มาช่วยเหลือ ฮีโร่ผิวขาวจะมีหนุ่มนักสู้เอเชียนที่เก่งรอบด้านมาเป็นผู้ช่วย (น่าสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่าเพราะอะไรนักสู้ร่วมชาติกับเจ้าหญิงจึงไม่สามารถช่วยเธอได้เอง เขาดูเก่งกว่าพระเอกซะอีก)
- บทเด็กเนิร์ดผู้เคร่งครัดและชอบเอาชนะการแข่งขัน ไม่เคยจะได้เล่นนำ แต่จะเป็นเพื่อนหรือคู่แข่งตัวเอกเสมอ
- บทนักวิทยาศาสตร์หรืออัจฉริยะผู้ช่วยของตัวเอกที่โดยมากจะผิวขาว
แม้แต่ Fresh Off The Boat ที่สร้างชื่อให้กับคอนสแตนซ์นั้น รายชื่อโพรดิวเซอร์และนักเขียนนั้นเป็นคนเอเชียนที่เข้าอกเข้าใจเรื่องปัญหาการไม่ยอมรับความหลากหลาย (diversity)ในฮอลลีวู้ดได้เป็นอย่างดี เธอไม่เกรงกลัวที่จะวิพากษ์ประเด็น whitewashing ในวงการหนังอย่างเผ็ดร้อน ดังเช่นประเด็น "White Hero มีแต่เพียงชายผิวขาวเท่านั้นที่สามารถกอบกู้โลกได้ แม้มันจะเป็นเหตุการณ์สมมุติที่เกิดขึ้นในโลกตะวันออกก็ตาม
เธอตั้งคำถามกับหนัง The Great Wall ว่า "คุณคิดเหรอว่ามีแค่นักแสดงระดับซุตาร์เท่านั้นที่จะสร้างรายได้อลังการให้กับหนัง ซุปตาร์ก็เคยเล่นหนังจนขาดทุนมาแล้ว ทำไมไม่ยอมให้โอกาสนักแสดงที่มีเชื้อชาติอื่นได้พิสูจน์ความสามารถกันบ้าง ถ้ายอม "เสี่ยง" แล้วก็คงได้รับการชื่นชมล้นหลามจากชุมชนที่มีเชื้อสายต่างชาติว่าในที่สุดก็ได้มีฮีโร่ที่ไม่ใช่คนผิวขาวสักครั้ง "
The Great Wall ทำเงินในระดับพอรับได้ เมื่อเทียบกับทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ แต่ในจีนเองก็มีรายได้รวม 170.9 ล้าน ไม่ได้โกยเงินแบบถล่มทลายจนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ส่วนใน USA นั้นทำเงินไปได้น้อยนิดเมื่อเทียบกับต้นทุนการสร้าง คือ 45.1 ล้าน เมื่อฉายไปทั่วโลกก็ได้เงินมา 334.5 ล้าน ที่ดูเหมือนจะเป็นกำไรแบบเท่าตัว อย่างไรก็ตาม Hollywood Reporter ได้วิเคราะห์ว่า จากยอดขายตั๋วที่น่าผิดหวังในอเมริกาเหนือนั้นทำให้สตูดิโอที่ร่วมกันลงทุนต้องขาดทุน แม้ว่าจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์หลังหนังออกโรงมาช่วยเหลือก็ตาม ซึ่งความแป้กของหนังก็ทำให้แมทท์ เดมอนถูกจิกแรงเลยทีเดียว
"ชั้นคือชาวเอเชียนที่ต้องแข่งขันกับคนขาวที่มีกลุ่มเป้าหมายคนดูเป็นคนขาว เพราะแบบนี้ก็เลยต้องฝึกซ้อมอย่างกับกำลังแข่งโอลิมปิค นักแสดงชาวเอเชียนที่มีฝีมือยอดเเยี่ยมอาจจะรับคัดเลือกให้ได้บทนำสักครั้งหรือสองครั้งในชั่วชีวิตนึง แบบนั้นมันกดดันจริงๆนะคะ"
เอาจริงๆ เวลาดูเค้าแสดง เรารู้สึกว่าเค้าดูเป็นฝรั่งนะคะ เป็นฝรั่งแนวบรูเนตต์ หน้าเข้มๆ ไม่ได้ดูเอเชียนเลย มิน่าถึงได้โดนบอกว่าเอเชียนลุคไม่พอที่จะเล่นเป็นเพื่อนนางเอก
เรื่องนี้เราดูจบไปไม่นาน และเป็นการประกาศฟาดฟันการเหยียดผิวของ Netflix ด้วยการนำเสนอมุมมองของปัญญาชนในมหาวิทนาลัยดังที่ยังไงก็เจอกับความเหลื่อมล้ำเกินจะรับได้อยู่ดี
ซีรีย์เรื่องนี้ทำให้เราได้รู้ว่า พาร์ตี้ย์ black face (การแต่งหน้าล้อเลียนคนดำโดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นชุดแฟนซี )นั้นเกิดขึ้นในรั้วมหาลัยจริงๆ