รีวิว La Mer แทบทุกอย่างที่ได้ใช้

84 33

สวัสดีค่า วันนี้ขอมารีวิวสกินแคร์แบรนด์ La Mer นะคะ

**จขกท. เป็นคนผิวแห้ง แพ้ง่าย มีรอยแดงจากผื่นแพ้ประปราย อายุ 32 เริ่มสนใจดูแลตัวเองมาไม่กีปีจากที่เมื่อก่อนไม่เคยบำรุงเลยด้วยความชะล่าใจที่มีแต่คนบอกเราผิวพรรณดี จนวัยเลข 3 ทุกอย่างที่เป็นปัญหาผิวก็เริ่มเข้ามาค่ะ ขอแนะนำให้ทุกคนดูแลผิวตั้งแต่วัยรุ่นเลยนะคะ ไม่ต้องใช้แบรนด์แพงก็ได้ถ้ายังเรียนอยู่เพราะผิวเด็ก ๆ ไม่มีปัญหามากอยู่แล้วค่ะ

***ทุกอย่างจขกท. ซื้อใช้เองนะคะไม่มีสปอนเซอร์ค่ะ

****เป็นกระทู้แรกของเราในนี้ ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยค่ะ และขอโทษที่อัพช้ามาก ค่อย ๆ ทำอยู่ค่ะทำไปพิมพ์ไปสด ๆ ว่างก็จะมาอัพเพิ่มเรื่อย ๆ นะคะ  ขอบคุณที่ติดตามค่าาา

เริ่มที่กลุ่มเช็ดเครื่องสำอาง/คลีนซิ่ง

::: the cleansing micellar water

200 mL/3900

คลีนซิ่งเครื่องสำอางรูปแบบ micellar water ที่กำลังเป็นที่นิยม ราคาเว่อวังเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ แต่เราชอบตรงที่มันไม่มีความรู้สึกแสบ ๆ ผิวเหมือนบางยี่ห้อที่ใช้ (ส่วนมากเราจะเป็นกับแบรนด์ญี่ปุ่น) กลิ่นก็หอมอ่อน ๆ เช็ดแล้วแฮ้ปปี้  แต่จะบอกว่ามันเช็ดพวกมาสคาร่ากันน้ำได้ไม่หมดนะ เราต้องใช้ eye makeup remover ช่วยก่อนรอบนึง ด้วยความที่มันแพง พอเราล้างเครื่องสำอางเสร็จเราก็เลยไปนั่งเล่นทำนู่นนี่ก่อนประมาณ 10 นาทีก่อนอาบน้ำ เพราะเค้าเคลมว่ามี miracle broth ช่วยบำรุง ก็หวังว่ามันจะซึมลงไปบ้าง แต่ก็รู้สึกหน้าชุ่ม ๆ ดีนะ ตอนแรกใช้การ์นิเย่ที่ราคามิตรภาพมาก แต่ใช้บางทีรู้สึกแสบ ๆ หน้า และกลิ่นมันไม่โอเคเลย เราไม่ชอบกลิ่นมันอย่างแรง ส่วนขวดนี้หมดจะซื้อต่อมั้ย ก็ยังไม่แน่ใจ อาจจะไปลอง micellar ของยี่ห้อเคาน์เตอร์แบรนด์อื่น ๆ ดูบ้างที่ราคาย่อมเยากว่า:::The Cleansing Gel200 mL/3900 บาทตอนเลือกเราลังเลระหว่างตัวนี้กับ brilliance white cleansing foam แต่พนักงานแนะนำตัวนี้ให้เราเพราะเราผิวแห้งมาก และเราก็ชอบความรู้สึกแบบล้างแล้วมีอะไรเคลือบ ๆ หน่อยไม่ให้หน้าแห้งระหว่างที่อาบน้ำต่อ เพราะปกติพอเราเช็ดตัวปุ๊บหน้าจะเริ่มแห้งตึงทันที บวกกับเคยได้ตัวทดลองของ cleansing foam มาใช้ก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกว่าหน้าตึงทันทีที่ล้างเสร็จ เราก็เลยเลือกอันนี้มาแทนถึงแม้พนักงานจะแอบกระซิบว่าตัวโฟมขายดีกว่ามาก ๆ ก็เถอะ สำหรับราคาเราว่ามันก็แพงแต่เราใช้แค่ครั้งละปั๊มเดียว (เจลปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว) ก็ล้างได้ทั่วหน้าแล้ว เราลองมาเทียบกับ counter brand อื่น ๆ ที่เรามี ต้องใช้ปริมาณมากกว่า ราคามันก็ไม่ต่างกันมากนะ  เราว่าขวดนี้น่าจะใช้ได้ครึ่งปีเลย

แต่ถ้าหมดแล้วจะซื้อต่อมั้ย เรายังเฉย ๆ อยู่นะ คือมีอย่างอื่นที่อยากลองอีกค่ะ 

:::The Treatment Lotion150 mL/4900 บาทลาแมร์บอกว่านี่เป็นโลชั่นที่ใช้สำหรับเตรียมผิวเพื่อรับสกินแคร์สเต็ปต่อไป ก็น่าจะประมาณกลุ่ม essence น่ะแหละ เป็นโปรดักส์ขายดีมาก ๆ ตัวนึงเลย  เนื้อโลชั่นเป็นน้ำใส ๆ ที่มีความหนืดมากกว่าน้ำตบ SK-II หรือ Life Plankton แต่ไม่เหนียวแบบแพลงตอน ใช้นิดนึงแล้วตบแบบกดเบา ๆ ให้ทั่วหน้า มันจะซึมลงไปเร็วมาก ๆ เราไม่แน่ใจว่ามันช่วยอะไรมากกว่าให้ความชุ่มชื้นสดชื่น โดยรวมเป็นตัวที่ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวเฟรซขึ้นทันที และทำให้ลงเซรั่มขั้นต่อไปได้ง่าย เหมือนมันจะช่วยเบลนด์ส่วนผสมให้กระจายทั่วผิวมากขึ้น ไม่รู้คิดไปเองป่าว 555 แต่ราคาก็แพงพอสมควรกับฟีลลิ่งที่ได้แค่ประมาณนี้นะ  ตอนเช้า ๆ บางวันที่เรารีบ ๆ เราก็ใช้แค่ตัวโลชั่น แต่ใช้มากกว่าเดิมหน่อย แปะ ๆ หน้า ผิวจะโกลว์ ๆ ขึ้นทันที แล้วก็ตามด้วยออยล์ แล้วก็ครีม เป็นอันจบออกจากบ้าน ข้อดีคือซึมลงผิวเร็วมาก (ซึ่งเป็นข้อดีของลาแมร์ทุกตัวเลยนะเท่าที่ใช้ ไม่รู้สึกว่าครีมเคลือบหรือกองอยู่บนหน้าเลย)

:::The Renewal Oil30 mL/9900 บาท ตัวนี้เวลาใช้ต้องเขย่าขวดแรง ๆ ก่อนเพราะตัวผลิตภัณฑ์จะเป็นน้ำหมักสาหร่ายตัวเก่งเค้าผสมกับน้ำมันซึ่งมันก็จะแยกชั้นกัน เวลาจะใช้ให้บีบออยล์ที่ค้างอยู่ในหลอดแก้วออกให้หมดก่อน แล้วค่อยดูดออยล์ใหม่ที่เราเขย่าผสมเรียบร้อยแล้ว เนื้อสัมผัสดีมากกก ถึงจะเป็นออยล์แต่ไม่เหนียวเหนอะหน้าเลย ทาแล้วซึมลงไปทันที ซึ่งอย่างที่บอกนี่คือข้อดีที่มีอยู่ในทุก ๆ ตัวของลาแมร์ เรารู้สึกว่าสารอะไรดี ๆ ต่าง ๆ ที่ผสมมามันได้ลงไปในผิวเราจริง ๆ กลิ่นก็หอมมาก ๆ เป็นกลิ่นที่รู้สึกสดชื่น แบบซีตรัส ๆ ไม่เหมือนโทนกลิ่นอื่น ๆ ของแบรนด์  เราอ่านรีวิวของหลาย ๆ คนบอกว่าสามารถเอาไปใช้กับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่น ปาก ข้อศอก จมูกเล็บ ฯลฯ แต่ราคาแพงไปนะถ้าจะเอาไปใช้แบบนั้นเพราะปริมาณจิ๊ดเดียวเอง ประมาณน้ำมันทอดไข่เจียวจานนึงได้อ่ะ 555555  ส่วนมากถ้าเรามีเวลาเหลือเฟือก่อนนอนเราก็จะลงสกินแคร์แบบเต็ม ๆ คือจะลงออยล์หลังพรีเซรั่มเติมน้ำ เพราะผิวหน้าต้องมีสมดุลระหว่างน้ำกับน้ำมัน (บีเอกล่าวไว้ 555) แต่ทั่วไปแล้วเราจะใช้ตอนเช้าเวลารีบ ๆ แต่ต้องการให้หน้าไบรท์ ๆ โกลว์ ๆ ดูดิวอี้ ๆ แล้วตามด้วยครีม แล้วลงเมคอัพต่อเลย ตัวนี้เราเอาไปผสมพวกคอนซีลเลอร์เนื้อครีมๆ เพื่อให้เกลี่ยง่ายด้วย

ลองหยดลงบนผิวให้ดูค่ะ ใช้หยดเดียว สังเกตว่าเนื้อมันจะเหลวมาก ๆ ไหลลื่นคล้ายน้ำเลย

ทา ๆ นวด ๆ ซึมลงทันที รูปนี้คือหลังจากนวด ๆ ประมาณ 10 วินาทีนะคะ

ก็เหมือนออยล์ทั่วไปที่จะทำให้ผิวเงา ๆ ขึ้น 

ไม่รู้ทำไมลงรูปตอนออยล์ซึมเข้าผิวหมดแล้วไม่ได้ซะที ก็เอาเป็นว่าสรุปแล้วออยล์จะซึมลงไปภายในเวลาประมาณ 1-2 นาทีนะคะ

สำหรับคุณสมบัติที่เค้าเคลมนะคะคือจะช่วยให้ความชุ่มชื้น ปรับสมดุลน้ำและน้ำมันของผิวได้ทันที สำหรับบริเวณที่ต้องการความชุ่มชื้นเป็นพิเศษอย่างรวดเร็ว สามารถเอาไปบูสท์รวมกับพวกครีมม้อยสเจอร์ต่างๆ ที่เราใช้อยู่ได้ด้วย

สรุป ๆๆ ตัวนี้ชอบค่ะ

The Revitalizing Hydrating Serum

30 mL/8500

เซรั่มตัวล่าสุดของลาแมร์ที่เพิ่งจะเปิดตัวแบบสด ๆ ร้อน ๆ เราก็ไม่รอช้ารีบไปสอยมาทันที เนื่องจากแพ้อะไรที่เป็นคำว่า hydrating เติมน้ำ ๆ อะไรเทือกนี้ ด้วยความที่เป็นคนผิวแห้งมากอ่ะเนอะ ก็เลยตื่นเต้นเวลาเห็นโปรดักส์ใหม่ ๆ ตัวนี้จะมีความเป็น pre serum คือลงก่อนเซรั่มตัวอื่น ๆ ของเค้า เนื้อเป็นครีมเจลเนื้อเหลว ๆ สีเขียวอ่อน ๆ ตามสไตล์ของแบรนด์ กลิ่นแปลก ๆ นิดหน่อยไม่หอมแต่ก็ไม่เหม็น ยกคำอธิบายของแบรนด์มา :ผลิตภัณฑ์เซรั่มช่วยมอบความชุ่มชื้น ผิวรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาให้แก่ผิวด้วยคุณค่าของส่วนผสมจากท้องทะเลและ Miracle BrothTM อันเป็นตำนาน พร้อมส่วนผสม Deep Hydration Ferment ที่เปี่ยมด้วยการผสมผสานของสาหร่ายทะเลสีเขียว สาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีแดง คิดค้นขึ้นเพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว และมอบความสดใสให้ผิวดูมีชีวิตชีวา ช่วยมอบสภาวะแวดล้อมที่ดูเหมาะสมให้แก่ผิว ผิวแลดูเปล่งประกาย สุขภาพดี เส้นริ้วแลดูจางลง ในขณะที่กระบวนการฟื้นบำรุงตามธรรมชาติของผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผิวแลดูเปล่งประกายอ่อนเยาว์ 

หลังจากที่ได้ตัวทดลองใช้ไปแล้ว ก็ซื้อไซส์จริงต่อทันทีเพราะเรารอเนื้อสัมผัสแบบนี้จากลาแมร์มานานแล้ว คือแบรนด์อื่นเค้ามีของทำนองนี้มานานแล้ว นางเพิ่งจะตามเค้ามา แล้วเราเป็นคนชอบใช้อะไรแบรนด์เดียวรวดเดียวจบเลย (ยกเว้น toner กับ essence ที่เราใช้ของ SK-II แต่คืออย่างที่ทุกคนรู้กันว่าสองตัวนี้คือเหมือนน้ำเปล่าเลยอ่ะ ตบ ๆ ไปแป๊บเดียวก็ซึมหายไปหมดแล้ว) ก็เหมือนกับเซรั่มเติมน้ำทั่วไป ใช้แล้วผิวชุ่มชื่น เฟรซ ไม่เหนียวเหนอะหนะ เนื้อเจลซึมลงผิวทันที แต่ตัวนี้เรายังใช้ไม่นานพอที่จะบอกได้ว่าได้ผลลัพธ์แบบไหน โดยรวมคิดว่าไม่ต้องมีก็ได้ ถ้ามีเซรั่มตัวอื่น ๆ ที่เป็นตัวเติมน้ำอยู่แล้ว แต่แอบบอกนะว่าเราชอบมากกว่า Kiehl's Hydro Plump หรือ Biotherm Aquarsource มาก (สองตัวหลังนี้มาแนวครีมน้ำแตกเหมือนกัน แต่คีลส์เราใช้แล้วมีสิวอุดตัน ส่วน biotherm กลิ่นน้ำหอมแรงเกินไปแต่ไม่แพ้และใช้ดี เอาไปใช้ในประเทศหนาว 0 องศาคือเวิร์คเลย)

:::The Brilliance White Lotion

200 mL/3900

เป็นโทนเนอร์ที่เราเลือกใช้ ณ ตอนนี้เพื่อมาแทน SK-II treatment lotion เนื่องจากบางทีใช้ SK-II แล้วรู้สึกแสบหน้า (ส่วนมากเป็นช่วงที่รู้สึกหน้าแพ้ ๆ หน่อยเวลาอากาศเปลี่ยนไรงี้ค่ะ) ที่เลือกตัวนี้เพราะลองดูคุณสมบัติแล้วน่าจะคล้าย ๆ กับ SK-II lotion น่าจะมาแทนกันได้ และเราลองใช้แล้วไม่แพ้และไม่รู้สึกแสบหน้า แต่โทนเนอร์ปกติเราจะใช้นาน ๆ ที ไม่ได้ใช้ทุกวัน ใช้เฉพาะเวลาที่ผิวโอเค เพราะบางทีถ้าช่วงที่ผิวแพ้ง่าย ๆ อยู่ ใช้โทนเนอร์แล้วเรารู้สึกว่ามันยิ่งขึ้นรอยแดง ๆ อ่ะค่ะ เคยอ่านตามหนังสือหลายเล่มเค้าว่าว่าโทนเนอร์เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ สำหรับขวดนี้ถ้าหมดคงไม่ซื้อต่อค่ะเพราะคิดว่าจะเลิกใช้โทนเนอร์เป็นการถาวรแล้วด้วยค่ะ

:::The Tonic

ตัวนี้เราได้ tester มา ลองใช้แล้วรู้สึกแสบ ๆ ผิวอยู่หน่อย ก็เลยไม่ได้ใช้ต่อค่ะ

:::The Perfecting Treatment

50 mL/9900

ตัวนี้คือรักกกกกกกกกก ก ไก่ล้านตัว เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นทั้งมอยสเจอร์ ทั้งไพรเมอร์ วันไหนรีบมากจะใช้เดี่ยว ๆ แทนมอยสเจอร์เลยก็ยังได้ และทาปุ๊บหน้าจะดูผ่องเพราะเหมือนเค้าผสมสารกระจายแสงบางอย่างที่ทำหน้าที่แบบเบสเมคอัพไว้ด้วย ที่เราชอบอีกอย่างคือครีมมันเย็นชื่นใจมาก ไม่เคยแช่ตู้เย็นเลยนะ เวลาไปเที่ยวหรือพกไปไหน เปิดกระปุกมาครีมก็ยังเย็นตลอด ได้ไงงง  ด้วยความที่มันเย็น ๆ พอทา ๆ ลงหน้าปุ๊บจะรู้สึกสดชื่นเลย เราว่าคนที่ไม่ค่อยถูกใจกับเนื้อมอยส์เจอร์แบบต่าง ๆ ของลาแมร์ (ทั้ง creme, soft cream, gel, lotion) น่าจะลองเทสตัวนี้ดูนะ คือมันดีมากจริง แล้วคุณสมบัติก็คล้าย ๆ กันเลยค่ะ  เราใช้ลงก่อนลงคุชชั่นหรือรองพื้น จะได้ผิวฉ่ำ ๆ น้ำ ดูเปล่งปลั่งมาก ขอให้ไปลองค่ะ

หมดแล้วซื้อต่อแน่นอนค่ะ 

:::The Concentrate

50 mL/18500

ตัวนี้ บอกเลยว่าเป็น holy grail ของจขกท. ค่ะ แต่ ๆๆๆๆ มีหลายคนมาก ๆ เลยนะคะที่ใช้แล้วบอกว่าไม่โอเค งั้น ๆ เฉย ๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งก็ทำให้จขกท. สรุปได้ว่า มันเป็นของที่ "ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน" แต่เป็นของที่ถ้าเจอกับคนที่ใช่ มันจะต้องคู่กันตลอดไป ถึงราคามันจะชีช้ำแค่ไหนก็ตามค่ะ T v T เดี๋ยวจขกท. จะมาอธิบายนะคะว่าเกิดผลลัพธ์อะไรกับตัวเองบ้างค่ะ พร้อมบรรยายสภาพหนังหน้าตัวเองด้วยเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เปรียบเทียบเผื่อเรามีสภาพผิวใกล้เคียงกันค่ะ

ปล. เราลองใช้ tester อยู่หลายหลอด จนมั่นใจว่าเวิร์ค เลยซื้อขนาดจริงมาค่ะ

สภาพผิวหน้าเรานะคะ ผิวแห้งมาก ผิวบางและแพ้ง่าย บางขนาดที่ถ้ามามองใกล้ ๆ จะเห็นเส้นเลือดฝอยสีแดง ๆ ม่วง ๆ เต็มไปหมด แพ้ง่ายแบบที่ถ้าเจอสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน หน้าเราจะเห่อขึ้นผื่น ปื้น ๆ แดง ๆ (รวมถึงตามตัวด้วย) หรือถ้าไปออกแดดก็จะ overexposed เร็วกว่าคนอื่นมาก  ซึ่งรอยแดง ๆ บางรอยก็เริ่มแปรสภาพเป็นกระ เป็นฝ้าเมื่ออายุล่วงเลยมาถึงจุดนี้  พวกกระหรือจุดกระดำกระด่างบนหน้าเนี่ย พอเกิดแล้วแก้ยากนะคะ ลองมาทุก dark spot essence serum บลา ๆ อะไรก็ไม่หายค่ะ ต้องทำทรีทเมนท์ทำเลเซอร์อะไรกันไป แต่เรากลัวหน้าแหกค่ะ เพราะหน้าเราบางมากมีคนเตือนว่าไม่ควรทำ แล้วทำยังไงเดี๋ยวมันก็ขึ้นใหม่ได้ถ้าไม่ดูแลป้องกันดี ๆ เราก็เลยต้องทำให้ดีที่สุดกับผิวเราตอนนี้เพื่ออนาคตจะได้ไม่ชีช้ำมากค่ะ 

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเจลขุ่น ๆ น่าจะมีซิลิโคนเยอะพอควร ซึ่งตอนแรกเป็นอะไรที่เราเออะอี๋มาก แบบว่าทำไมนะ เนื้อครีมมันถึงได้ดูล้าหลังแบบนี้ ซิลิโคนเคลือบ ๆ หน้าแบบโบราณณณณณณณ มากกกกก เราเลยมีความอิ๊อ๊ะกับมัน แต่ก็ลองใช้เทสเตอร์ไปเรื่อย ๆ เพราะรวม ๆ ราคาเทสเตอร์ที่ได้ก็ประมาณได้ครีมตัวนี้ครึ่งขวดละ แอบเสียดายและงก 555 ใช้ไปเราพบว่า

1. ช่วงที่หน้าโอเค ไม่มีปัญหา the concentrate ไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ

2. ช่วงที่หน้าแหก เช่น ผื่นเห่อขึ้นหน้าจากอากาศหรือมลภาวะ มีรอยแดงหรือไปแพ้ครีมอะไรมาที่ซุกซนไปทดลองใช้ โปะ the concentrate ไปคืนเดียวรู่เรื่องค่ะ

ดังนั้น เราคิดว่าสำหรับตัวนี้ "ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน" ให้ใช้เฉพาะช่วงหน้ามีปัญหาจริง ๆ ค่ะ ซึ่งทางแบรนด์เคลมไว้ว่า สำหรับใช้ตอนที่ผิวบอบบางจากการทำทรีทเมนท์ แต่เราเอง เป็นคนผิวบางโดยธรรมชาติอยู่แล้ว พอมันเห่อขึ้นนู่นนี่ตอนมันอ่อนแอ ก็ใช้ได้เหมือนกันค่ะ

3. ลองใช้โปะตอนสิวขึ้นใหม่ ๆ พบว่า สิวไม่ยุบนะคะ 55555 ก็เค้าไม่ได้ช่วยอะนะ แต่พวกรอยแดงหลังสิวยุบนี่คือช่วยได้จริงค่ะ

4. ลองใช้โปะผื่นภูมิแพ้ตรงแขนที่เป็นแดง ๆ คล้ายลมพิษ ไม่ช่วยอะไรเลยนะคะ คิดว่าถ้าเป็นผื่นแพ้หนัก ๆ ขนาดนั้นบนหน้าคงต้องพึ่งยาล่ะค่ะ แต่พวกรอยแดง ๆ แบบไปออกแดดหรือไปแพ้อะไรเบา ๆ หน่อยอันนี้เวิร์คเลย ซึ่งอาการพวกนี้มันเกิดจากมลภาวะประจำวันค่ะ ถ้าใช้ยา ส่วนมากมีเสตียรอยด์ไม่ดีต่อภาพรวมของผิวเรานะ

5. กระ ฝ้า จุดด่างดำ ไม่ช่วยค่ะ แต่ SK-II บอกว่ามีจุดด่างดำที่อยู่ใต้ผิวยังมองไม่เห็น ดังนั้นเราจึงใช้ the concentrate ตรงรอยแดงที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันไว้ค่ะ (แล้วทำไมไม่ใช้ SK-II 555555)

ดังนั้นคนที่พื้นฐานผิวแข็งแรงอยู่แล้ว ตัวน้ีคงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่คนที่ผิวอ่อนแอแพ้ง่ายไว้ต่อสิ่งเร้ามาก ๆ แบบจขกท. อยากแนะนำเลยค่ะ ลองหาเทสเตอร์มาใช้ดูก่อนจนมั่นใจว่าเวิร์ครึเปล่า แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ

ข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ จขกท. รู้สึกในตอนแรกว่า the concentrate มีลักษณะที่โคตรเหมือนกับ estee lauder ANR หรือ CP+R คือเนื้อสัมผัสเหมือน ๆ กันเลย แถมมาจากบริษัทแม่เดียวกันอีก เราก็เลยแอบมีอคติหน่อย ๆ คือเราเคยใช้ ANR แล้วมีสิวอุดตันค่ะเลยยกให้พี่สาวไป (ไปถามฟีดแบคพี่สาวก็บอกว่าก็โอเคแต่ไม่ได้ปลื้มอะไรมาก) พอมา the concentrate ไม่มีสิวอุดตันเลยแม้แต่ครั้งเดียวค่ะ

โดยสรุปนะคะ กับตัวนี้ ท่องไว้ค่ะ รอยแดงรอยแพ้มลภาวะ แดงแดดแผดเผา ต้อง the concentrate ค่ะ

::: Lip Balm

9 g/2700

เชื่อว่าหลายคนที่เริ่มใช้ลาแมร์จะเริ่มลองใช้ลิปบาล์มเป็นตัวแรก เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยราคาที่เป็นราคาเริ่มต้นสุดของแบรนด์นี้ (แต่แพงมากถ้าเทียบกับแบรนด์อื่น 555)  เราเอง ตอนแรกที่ไปเคาเตอร์ก็แค่จะไปซื้อลิปตัวนี้เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาว่ามันดีมาก และคุณแม่ของแฟนก็แนะนำให้ใช้อีกด้วย เราด้วยความเป็นคนที่ผิวแห้งมาก ปากก็แห้งลอกเป็นขุย บางวันแตกขนาดเลือดซิบ ๆ คือเรียกว่าไม่เคยมีช่วงเวลาไหนของชีวิตที่ปากดูอิ่มเอิบชุ่มชื้นเลย คือบอกเลยว่าหมดหวังกับปากตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายได้มาเจอกัน ลองใช้ครั้งแรกคือมันดีมากกกกกก ปากชุ่ม วันรุ่งขึ้นสภาพปากดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วทาครั้งนึงก็ติดทนนาน วันนึงทา 3 ครั้ง เช้า เย็น ก่อนนอน (อย่างกับยาหลังอาหาร)  กลิ่นหอมมินท์ ๆ เย็น ๆ อร่อยแบบเบา ๆ ปากไม่เหนอะไม่เหมือนไปกินไก่ย่างมาไรงี้ มีหลายคนบอกว่าตัวนี้สูสีกับ fresh และบางคนยกให้ fresh ดีกว่าด้วยความสมเหตุสมผลกว่าของราคา แต่เราขอยกให้ลาแมร์ชนะแบบเฉียดฉิว ตรงที่ fresh เพื่อนเราบางคนใช้แล้วแพ้ ปากลอก เราเองใช้แล้วโอเคไม่แพ้แต่สภาพปากไม่ได้ดีขึ้นมากเลย  กระปุกนี้คือตอนนี้ใช้มาเกือบเดือนปากดีขึ้นประมาณ 50% แต่มีข้อสังเกตว่าช่วงแรก ๆ ที่ใช้ปากจะสภาพดีขึ้นแบบน่าตกใจ แบบเห้ยมิราเคิ้ลลลล แต่พอใช้ไปสักพัก ปากเราจะเริ่มเฉยชา เริ่มแห้งไวขึ้น แต่สิ่งที่มัน improve แน่นอนคือตอนนี้เลือดไม่กลบปากแล้วค่าาา T v T  ก็ต้องดูกันต่อไป เดี๋ยวจะมารีวิวอัพเดทสถานการณ์ใหม่ตอนหมดกระปุกค่ะ 

:::The Intensive Revitalizing Mask

75 mL/7000

เป็นมาสก์แบบไม่ต้องล้างออก ใช้หลังลงเซรั่ม และก่อนลงมอยส์เจอร์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที (แต่เรามักจะนั่งทำนู่นนี่จนลืม ก่อนจะนอนก็ค่อยไปลงมอยส์เจอร์) สามารถใช้ได้ทุกวัน เช้าเย็น หรือจะหรือวันเว้นวันก็ได้ เราใช้วันเว้นวันค่ะและใช้ช่วงกลางคืนอย่างเดียว เราว่าเนื้อเค้าจะนุ่มฟู ๆ บางเบาสบายผิวมาก ๆ ใช้แล้วหน้ารู้สึกนุ่ม ๆ เนียน ๆ มีน้ำมีนวลขึ้น ตอนที่มันซึมลงไปหมดแล้วหน้าเราจะนุ่มมากกกกก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรานะคะ  ข้อดีคือซึมเร็วด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้เราใช้ leave-on/sleeping mask คือ life plankton mask เราว่าตื่นมาตอนเช้ายังรู้สึกว่ามันเคลือบ ๆ หน้าอยู่เลยค่ะ ตัวนี้ซึมเร็วภายในเวลาแป๊บเดียวค่ะ

แต่ถ้าถามว่าจำเป็นมั้ย เราว่าไม่จำเป็นค่ะ เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรมากกว่าการทำให้หน้าเนียนนุ่ม สำหรับมาสก์เพื่อน ๆ อาจเปลี่ยนไปเลือกใช้มาสก์ที่บำรุงเรื่องความกระจ่างใส (เช่น SK-II face sheet mask) ดีกว่า แต่ถ้าใครที่มองหามาสก์เพิ่มความชุ่มชื้นนวลเนียน ตัวนี้โอเคเลยค่ะ

และแล้วก็มาถึง ตำนานของเขาล่ะ นั่นก็คือกลุ่ม moisturizing cream ซึ่งเรานั้นได้ทดลองแล้วทุกสูตร และพบว่าตัวเองชอบตัว original ของเค้าที่สุด นั่นก็คือ creme de la mer 

เท่าที่อ่านข้อมูลมาจะบอกกันว่า คนที่ผิวแห้งมาก ๆ จะเหมาะกับ creme de la mer ซึ่งต้องมีขั้นตอนการวอร์มครีมที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งถ้าเราวอร์มครีมดี ๆ มันจะไม่อุดตันเลยนะ เราไม่เคยมีสิวขึ้นจากครีมตัวนี้เลย จริง ๆ (แต่บางทีเซรั่มบางตัวของลาแมร์ซึ่งจะพูดภายหลัง ใช้แล้วเหมือนอุดตันง้ะ) พูดให้เข้าใจง่ายคือถู ๆ ครีมที่นิ้วจนมันละลายเป็นเนื้อใส ๆ จนเหมือนจะซึมลงนิ้วไปหมดนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวมันจะหายไปค่ะเราคิดว่าบางคนเสียดายเลยกลายเป็นว่าครีมไม่ละลายถึงจุดดีพอ เป็นที่มาของการอุดตัน  

สำหรับเรา ความรู้สึกแรกเลยหลังจากการใช้ครั้งแรกคือ ความตื่นเต้น ที่พอวอร์มครีมเสร็จ แปะ ๆ ครีมใส ๆ ลงไปบนผิวหน้า มันเหมือนเอาละอองน้ำอณูเล็กๆๆๆๆ พรม ๆ ทั่วหน้าเลยค่ะ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเจอกับครีมยี่ห้อไหน ๆ เลยนะคะ บอกไม่ถูกจริง ๆ และครีมก็ซึมลงไปเร็วมาก ตื่นเช้ามา หน้านุ่มสุด ๆ ไม่มีความมันส่วนเกินเลย  แต่เราก็ไม่วายลองขอเทสเตอร์ soft cream/gel/lotion มาลองใช้ด้วย เพราะเห็นใคร ๆ ก็ชอบ soft cream กันมากกว่า เหมาะกับทั้งผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวผสม  ส่วนเจล พนักงานบอกว่าเป็นสำหรับคนผิวมันค่ะ เรารู้สึกว่า soft cream ให้ความรู้สึกมัน ๆ เหนียว ๆ หน้ากว่าตัวออริจินัลนะ

เราแทรกรูปภาพเพิ่มไม่เป็นอะค่ะ พอดีทำรีวิวผลการใช้ the concentrate มาให้ดูกัน เลยขออัพเดทตรงนี้นะคะ

-----> ก็คือ เราเป็นคนที่ผิวขึ้นปื้น ๆ แดง ๆ ง่ายมาก บางวันตกเย็นกลับบ้านมาหน้าจะแดง ๆ แบบในรูปนี้ค่ะ

แก้มซ้าย สังเกตรอยแดงเต็มไปหมด เพราะช่วงนี้ ( 8-9 มกรา 60) อากาศมันเพี้ยนมาก จากเย็น ๆ กลายเป็นร้อนอ้าว ฝนตกชื้น เราก็เห่อขึ้นแดง ๆ เพราะผิวมันไว

ก็รู้สึกนะคะว่ามันช่วยรักษาผิวได้อย่างเห็นได้ชัดเจนเลย เราก็หวังว่าในระยะยาว การบำรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยฟื้นฟูผิวเราให้แข็งแรงมากขึ้น จะได้ไม่เกิดรอยแดง ๆ ได้ง่าย รวมถึงรูขุมขนก็อยากให้กระชับขึ้นซึ่งเค้าเคลมว่าช่วยได้แน่นอน แต่เรื่องกระ จุดด่างดำที่เกิดขึ้นแล้ว คงต้องทำใจค่าาา Y v Y

:::The Body Cream

300 mL/10500

ต้องบอกว่าตัวนี้เป็นตัวที่เรารักและอยากแนะนำมากที่สุด อาจดูงี่เง่ากับการซื้อครีมทาตัวกระปุกละหมื่น  แต่ถ้าคิดถึงปริมาณที่ได้ กับคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมเหมือนมอยส์เจอร์ทาหน้า มันคือคุ้มเลยนะ คือเราใช้ทาตัวแค่อาทิตย์เดียวเห็นผลเลย ผิวตัวเรานุ่มมมมมมากกกกกก ตรงหน้าแข้งที่ปกติมักจะแห้ง ๆ แตก ๆ สาก ๆ ขึ้นเงา ๆ (นึกออกปะคะแบบคนผิวแห้ง) ตอนนี้คือนุ่มเนียนสุด ๆ ครีมเข้มข้นมากแต่ไม่เหนียวเลย กลิ่นก็หอมอ่อน ๆ สูดดมแล้วมีความสุข หมดกระปุกซื้อต่อแน่นอนค่ะ  แอบบอกว่าเราทดลองเอามาทาหน้า อยากดูว่าจะใช้ได้มั้ย คือโอเคเลยนะคะ อาจจะไม่มีสรรพคุณจัดเต็มเท่าตัวที่ออกแบบมาสำหรับทาหน้าแต่บอกเลยว่าดีกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อที่เคยใช้ด้วยซ้ำ ไม่อุดตันด้วยค่ะ ไม่ต้องวอร์มครีมก่อนด้วย  บอกเลยค่ะว่าคือครีมทาผิวที่ดีที่สุด ที่เห็นผลที่สุดเรื่องความเรียบเนียน นุ่มนวล ชุ่มชื้น ตอนนี้ชอบจับแขนขาตัวเองมาก เหมือนโรคจิตเลย เหมือนได้จับผิวเด็ก ๆ ไรแบบนี้เลยค่า

:::: The Mist

100 mL/3000

สเปรย์น้ำแร่ที่แบรนด์บอกว่าใส่น้ำสาหร่ายมหัศจรรย์ลงไปผสมด้วย และมีลูกแม่เหล็กตรงสายฉีดเพื่อชาร์จให้ส่วนผสมทรงพลังขึ้น (ก็ไม่รู้มันทำได้ไงนะดูจากขวดแล้วแอบมีความกิ๊กก๊อก 555 แต่เค้าว่าเค้ามีการจดสิทธิบัตรอยู่)  สำหรับขวดนี้ สิ่งที่เราไม่ชอบคือ กลิ่นค่ะ กลิ่นมันแปร่ง ๆ ทะแม่ง ๆ เคมี ๆ แตกต่างกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของแบรนด์มาก อีกอย่างแอบเหนียวนิดนึงนะ แต่นิดเดียวค่ะไม่เป็นปัญหา ส่วนใช้แล้วหน้าเป็นไง ก็เหมือนน้ำแร่ทั่ว ๆ ไปค่ะ แต่ได้เอฟเฟ็กท์ผิวโกลว์ ๆ ดี ส่วนตัวชอบน้ำแร่ของ biotherm มากกว่าค่ะเพราะฉีดแล้วได้ละอองเล็ก ๆ กว่า เหมือนได้เดินผ่านกลุ่มไอน้ำที่มีประโยชน์ 5555  แต่ลาแมร์นี่ฉีดแล้วรู้สึกหน้าเปียกไปหน่อย แต่ก็ระเหยเร็วอยู่ค่ะ

ขอคั่นเบรคด้วย กลุ่ม makeup

อะไรที่เราชอบสุดและอยากแนะนำ--- แปรงรองพื้น/แปรงแป้งฝุ่น

เดี๋ยวมาต่อค่ะ ติดงาน


chefkk

chefkk

Full time pastry chef
my skincare & makeup blog:
https://chefkhobby.wordpress.com

FULL PROFILE