Train To Busan เมื่อรถไฟขบวนนี้ไม่ได้มีแค่ซอมบี้

13 2

สวัสดีค่ะ ขอทักทายสหายชาวจีบันหลังจากหายเงียบไปนาน

อันที่จริงแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงภาพยนตร์แล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลา

หวังว่ามารีวิวตอนนี้จะยังไม่สายเกินไปนะ

เพื่อนๆคนใดที่ไปดูมาแล้วก็คอมเมนท์พูดคุยกันได้ข้างล่างนี้นาจา

ขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่สายดูหนังเกาหลี ไม่มีอคติ ปกติชอบดูหนังซอมบี้มากๆ

มาเริ่มกันที่ตัวบทก่อน ถ้าพูดถึงความสนุกเราให้คะแนน 9 เต็ม 10

            ความเหนือย เหนื่อยหน่อยช่วงต้นๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังบทสนทนาของ2พ่อลูกจะให้ความรู้สึกว่า เออ วะ ห่างเหินจริงๆคู่นี้ อารมณ์ประมาณ พ่อไม่รู้จะเลี้ยงดูลูกอย่างไร มิหนำซ้ำวันๆก็ทำแต่งาน

            ความห่างเหิน คาแรกเตอร์น้องผู้หญิงที่แสดงออกมาในลักษณะผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง เหมือนน้องต้องการเป็นส่วนหนึ่งของพ่อ ต้องการให้พ่อสนใจอยู่บ้างข้างในใจลึกๆ แต่การแสดงออกของเธอจะกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ประมาณว่าทำเป็นว่าเข้มแข็งเหมือนพ่อ เป็นพ่อซะเอง (อธิบายเองก็งงเอง)

            ความไม่สมจริงของหนังเรื่องนี้ เห้ย แก ซอมบี้อะไรวิ่งเร็วยิ่งกว่านักกีฬาทีมชาติ ซอมบี้บิดตัวซะน่ากลัวตอนติดเชื้อแต่วิ่งเร็วได้ไม่สะบักสะบอม ซอมบี้ใช้พลังงานอย่างไรในการวิ่ง ในเมื่อเขาไม่ได้กัดคนเพื่อกิน ระยะเวลาที่เชื้อเพาะตัวก็แตกต่างกันมากเกินไป หรือมนุษย์ทั่วไปที่กำลังหนีซอมบี้ไม่น่าจะขาดความระวังตัวได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ระแวงหลังบ้าง ความเร็วในการวิ่งบ่าง ก็อย่างว่าแหละ จุดนี้มันกลบด้วยความสนุกของเนื้อเรื่อง

ขอถามเพื่อนๆบ้างว่าถ้าเขาวิ่งกันเพื่อนวิ่งไหม หรือเพื่อนจะยืนเฉยๆแล้วถามว่า แกๆมีอะไรกันหรอแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะวิ่งอีกที (คือเรากับเพื่อนเราบอกวิ่งตามตั้งแต่เห็นคนวิ่งแล้ว 555)

     

            ความสมจริง ขออนุมานว่าซอมบี้เกาหลีติดเชื้ออะไรสักอย่างจากในการทดลองทำให้คุ้มคลั่ง อันนี้เห็นด้วยที่เขาคุ้มคลั่งแบบมากัดมาฉีกสักหน่อย ไม่ได้มากิน คือบางเรื่อง ซอมบี้ตายไปแล้ว หัวใจไม่เต้น แต่มาวิ่งไล่กินมนุษย์ ไม่รู้ว่าหิวอะไร จากประสบการณ์ที่ชอบอ่านสารคดี ถ้าตายไปแล้ว โอกาสที่จะมีแรงมีพลังงานคือมาวิ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้บอกตรงๆว่าตายไปแล้วหรือเปล่า หัวใจยังเต้นอยู่ไหม จึงพออนุมานว่า เออ พวกนางใช้พลังงานเหมือนเราๆนี่แหละ

           ความดาร์ก เขาไม่ได้มาแบบสวยๆหอมๆ เขาใส่ความมืดมนของความเป็นมนุษย์ลงไป ความจริงแล้วมนุษย์นี่แหละน่ากลัวกว่าซอมบี้ จิตใจมนุษย์นั้นยากแท้ยั่งถึง น่ากลัวกว่าภัยพิบัติใดๆจะมาทำลาย มีมนุษย์ทำลายกันเองก่อน

           ความดราม่า เรื่องนี้พูดถึงหลายเรื่องหลายประเด็น ถ้าไปดูรับรองว่าเราจะคิดถึงคนที่บ้านเราอย่างมากเลย ทำให้คิดได้ว่าบางทีมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่จะทะเลาะกัน

           ความดำเนินเรื่องในฉบับของสูตรตรงตัว หนังซอมบี้หรือหนังภัยพิบัติที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับหายนะจะดำเนินมาประมาณนี้ ต้องมีคนเสียสละเป็นฮีโร่ ต้องมีตัวละครผู้หญิงที่ทำตัวเป็นภาระบ้าง ต้องมีความขัดแย้งกันระหว่างตัวละคร และมาตวัดกันที่ฉากซึ้งๆสักหน่อย ถ้าคิดว่ารถไฟขบวนนี้ดำเนินตามเรื่องแบบนี้ทั้งหมดแล้วคงไม่ใช่ มีจุดหักมุมตอนเกือบจะจบแล้วพอดี อย่างที่พูดไว้ เขามาสายมืดหม่น

          ความเกาหลีของสองป้า แม้ว่าหน้งจะทำให้ดูอินเตอร์ ดูไม่เกาหลีจ๋า ทว่ากลางๆแบบเอเชียนสไตล์มากกว่า แต่มันมีความเป็นเกาหลีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะฉากป้าพึมพำ ได้กลิ่นอายเกาหลีสุดๆ นึกถึงแดจังกึมที่จังกึมมาพูดชื่อพระเอกแล้วพระเอกก็พูดชื่อจังกึม เอ้า เพลงมา

เทคนิคการถ่ายทำ ภาพและการตัดต่อ เมคอัพ ให้ 9.5 เต็ม 10

            การจัดแสง ในฐานะที่เราชอบเล่นกับแสงบ้างไรบ้าง พอจะมีความรู้ทางนี้นิดหน่อย ขอลุกขึ้นแล้วปรบมือให้ แสงเขาสวย ดูเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติในแบบน่ากลัวก็ได้ ธรรมชาติแบบหดหู่น่าสิ้นหวังก็ได้

            การใช้วิชวลเอฟเฟกต์ เกือบดีแล้ว มีความทุ่มทุนสร้าง สมจริง แต่ช่วงซอมบี้ดีดตัวแอบลอยออกมาจากฉากคล้ายๆตัดแปะ ดูลอยๆ ซึ่งหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องก็เป็นนะ

           การถ่ายทำ การเซ็ตฉาก ไปดูเอาเอง เราว่ามันเจ๋งดีนะ https://www.facebook.com/MajorGroup/videos/10153846951906094/

           เกลียดความเป็นซอมบี้ของเรื่องนี้ มันจะบิดตัวอะไรกันหนักหนา เมคอัพนี่ดุกว่าคอนจูริ่งอีก เมคอัพโคตรฝันร้าย หน้าขาว เส้นเลือดพาดไปมาบนหน้า จิตใจช่างแต่งหน้าทำด้วยอะไร บอกตรงๆว่ามันไม่ใช่แค่น่ากลัวแบบแฮ่ แฮ่ มันน่ากลัวแบบฝันร้าย เหมือนมีความผีในร่างเบี้ยวของซอมบี้ (น่ากลัวคนละแบบกับเดอะวอล์คกิ้งเดด)

"มีใครสนใจแต่งหน้าแบบซอมบี้ในเรื่องนี้ไหม?"

สรุปแล้ว

คอหนังซอมบี้ไม่ควรพลาดรถไฟไปปูซานด้วยประการทั้งปวง สำหรับเรานะที่ชอบหนังแนวซอมบี้โลกแตกมากๆ เราว่ามันตอบโจทย์ในเรื่องนั้น ซอมบี้วิ่งเร็ว ตื่นเต้น บีบคั้นหัวใจ ภาพดี ภาพกับซีจีล้ำหน้ากว่าญี่ปุ่นนะ(ในความรู้สึกเรา)

ในทางดราม่าก็ทำได้ดีเช่นกัน แม้ว่าจะเหมือนกับภาพยนตร์ดราม่าอีกหลายๆเรื่อง ที่มีบางเรื่องขยี้จนสะอื้นได้มากกว่านี้ สำหรับเรื่องนี้คือสอบผ่านดราม่าสไตล์ได้เกรดบีบวก พอออกจากโรงหนัง เรากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดหวังมากกว่าซุ่มเสียใจ

ขอให้คะแนนที่ 9.5/10 สำหรับสิ่งที่กงยูและลูกสาวมอบให้กับเรา

มีบางอย่างหายไปในความรู้สึกเรา ที่เรายังไม่เรียกว่าหนังเรื่องนี้ดีที่สุด ซึ่งเราก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอะไร แล้วเพื่อนๆละ คิดว่ามันคืออะไร


Cindie

Cindie

สวัสดีค่ะ นี่ " ซินดี้ " เอง
ชอบทำรีวิวให้ทุกคนได้อ่านกัน
❤ Makeup, Skincare, Movie, Food ❤
ติดตามเม้าท์มอยเพิ่มเติมกันได้ทางทวิตเตอร์

@LONELYCINDIE หรือเมล์มาที่ ✉
lonelycindie@gmail.com ขอบคุณค่ะ

FULL PROFILE