hit the BOOK Vol.4 : hit the BOOK with ME & ธรรมะหน้าเด้ง ! สวย สุขภาพดี ได้ง่ายๆด้วยวิธีที่เรียบง่าย

สวัสดีค่ะเพือนๆ วันนี้แก้วจะกลับมา Hit the book! รีวิวหนังสืออีกครั้งค่ะรอบนี้จะมารีวิวเป็นหนังสือที่ไม่ใช่นิยาย วรรณกรรม หรือเรื่องสั้น แต่เป็นเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ธรรมะ ซึ่งมีชื่อว่า “ธรรมะหน้าเด้ง” ค่ะ

ค่ะ ธรรมะ 5555  เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไป

เรื่องของเรื่อง ที่แก้วสนใจอ่านเรื่องนี้ ก็เพราะรู้สึกว่ามีความจริงบางอย่าง ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง และเชื่อว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายๆคนมาแล้วเหมือนกัน

นั่นก็คือเวลาที่เรามีความสุข ความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้นมาจาก “ข้างใน” แล้วแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า และร่างกายเรา จนกลายเป็นความสุขจาก “ภายใน”

แล้วตราบใดที่ความรู้สึกนั้นยังอยู่กับเรา เราจะยิ้มตลอดเวลา แม้ว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะหน้าเฉยๆ ไม่ได้หัวเราะ หรือตั้งใจยิ้มอยู่ก็ตาม  แต่ใบหน้าของเราจะยิ้มออกมาเอง  ผิวของเราจะดูเปล่งปลั่ง สดใส แม้ว่าจะมีริ้วรอย สิว รอยดำต่างๆอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนภายในช่วงเวลานั้น แต่มันจะดูเหมือนว่าอะไรๆบนเครื่องหน้าเรา จะดูสดใสเจิดจ้ากว่าเดิม จนแม้แต่คนรอบข้างเราก็รู้สึกได้ ถึงขั้นต้องทักว่า ไปทำอะไรมา ทำไมดูดี สดใส และไม่โทรม

แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นหายไป เราจะกลับเข้าสู่ 2 สภาวะตามเดิมถ้าไม่สภาวะเฉยๆ ก็คือสภาวะสุดโต่งไปเลย -- โกรธ เศร้า เซ็ง แค้น อิจฉา -- และอีกหลายอารมณ์ที่แปรปรวนไปตามสถานการณ์

แล้วออร่าความเปล่งปลั่งสดใสนั้นก็จะดับวูบหายไปเลย -- ไม่ว่าจะที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือผิวกายของเรา

ใช่มั้ยคะ  เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่มั้ยคะ ?

ซึ่งมันน่าสงสัยมากๆ ว่าทำไมจิตและอารมณ์ของเรา มันเกี่ยวดองกับกายภาพได้มากขนาดนี้

หากจะมองแค่ว่า ไม่เห็นแปลก ก็ในเมื่อคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้ม ต้องดูดีกว่าคนอารมณ์เสีย หน้าบูดบึ้ง อยู่แล้วคนไม่เครียด ชิลๆไปตามสายลมและแสงแดด ก็ต้องดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์กว่าคนจริงจัง ทำงานตะบี้ตะบัน ขยันแหลกลาญอยู่แล้วเป็นธรรมดามันเป็นไปตามจิตวิทยาที่มีต่อตนเองและคนรอบข้าง

เอาให้ชัดกว่านี้อีก ตามที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็คือคนใจเย็น อารมณ์ดี พักผ่อนเพียงพอ และ ไม่เครียดมักจะมีระบบต่างๆในร่างกายที่ดี แข็งแรง นอนหลับง่าย ไม่แม้แต่ท้องผูก  ในขณะที่คนลุยงานดึก ขี้กังวล เครียดง่าย หรือใจร้อน มักจะมีระบบต่างๆในร่างกายแปรปรวณตามไปด้วย ไม่ว่าจะท้องไส้ผูกบ้าง เสียบ้าง นอนไม่หลับบ้าง(บางคนนอนไม่หลับเป็นเดือนๆเลยก็มี) ป่วยง่ายเป็นว่าเล่น

โอเค ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าจิตของคนเรา (ที่นิ่ง หรือว้าวุ่น) ก็ต้องส่งผลกับอารมณ์ได้ (กลายเป็นดี หรืออาละวาด) และทั้งจิตกับอารมณ์ (ไม่ว่าจะดีหรือแย่) ก็ต้องมีผลต่อฮอร์โมน ระบบประสาท และสารต่างๆที่หลั่งอยู่ในร่างกายของคนเราจริงมั้ย  มันถึงกลายเป็นท้องผูก ท้องเสีย นอนไม่หลับ แก่เร็ว หน้าเหี่ยวย่น สุขภาพแย่ขึ้นทุกวัน  -- 

ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเรื่องของจิตไม่ได้เป็นเรื่อง “คิดไปเอง”  แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อระบบร่างกายจริงๆ 

สรุปว่าจิตวุ่นๆ อารมณ์ป่วนๆ มันทำให้เราน่าเกลียดขึ้น?

ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย

ถ้าอย่างนั้น ถ้าเรารู้จักควบคุมจิตกับอารมณ์ได้ตั้งแต่แรก มันก็จะส่งผลต่อทุกอย่างให้ดีขึ้นตามลำดับได้รึเปล่า

ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย

แก้วว่ามันน่าสงสัยมากๆๆ  และคิดว่าหลายคนคงสงสัยเหมือนกัน (ใช่มั้ยคะะ)

ต่อมาพี่สาวได้แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน ซึ่งแก้วชอบมาก เพราะเขียนอธิบายได้ดี เข้าใจง่ายอาจจะมีบางคำ บางช่วง ที่เข้าใจยากไปนิดนึง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะจ๋า (เช่นแก้วเป็นต้น) แต่หากอ่านซ้ำๆ แอบไปเปิดกูเกิ้ลแปลบ้าง ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นค่ะ

สำหรับนักอ่านหลายท่าน โดยเฉพาะนักอ่านธรรมะ หรือนักอ่านธรรมะวิทยาศาสตร์ อาจจะคุ้นเคยกับนักเขียนท่านนี้อยู่แล้ว นั่นคือ “ทันตแพทย์สม สุจีรา” นักเขียนระดับ Best seller มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” หรือ “เดอะ ท็อป ซีเคร็ต” เป็นต้น

ซึ่งแต่ละเล่ม ล้วนเป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราเข้าใจและเห็นภาพจริงๆของ พระพุทธศาสนา มากกว่าที่เคยเรียนในห้องเรียน เพราะจะอธิบายให้เรารู้ที่มาที่ไป รู้ความจริงที่อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เข้าใจมากขึ้น ว่าความจริงที่ท่านตรัสไว้ เราสามารถจับต้องได้ นำมาใช้ได้จริงๆ ทดสอบได้ และไปได้ถึงพิสูจน์ด้วยหลักของฟิสิกส์ควอนตัม

แน่นอนค่ะ ว่าเรื่องฟิสิกส์ควอนตัมเข้าใจยาก และอ่านยากเป็นบางคำ บางช่วง ถ้าหากเราไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน(เช่นแก้วอีกแล้ว)  แต่ถ้าตั้งใจอ่าน ใช้เวลาอ่านดีๆ ก็เข้าใจตามได้ค่ะ (ไม่มากก็น้อย 555)

หลายๆอย่าง และหลายๆคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตรงกับหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราจริงๆ และคำอธิบายทั้งหมด ก็มีไว้ให้เรามานานแล้วค่ะ เหลือแต่ให้เราลองพยายามเข้าใจมันดู

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทันตแพทย์สม ได้นำเสนอให้เราได้ลองอ่านกันดูค่ะ

แล้วแก้วก็ได้ลองเรียบเรียงสั้นๆ มานำเสนอให้เพื่อนๆได้อ่านกันเป็นบางประเด็น ที่คิดว่านำมาเริ่มใช้ได้ง่ายๆในชีวิตประจำวันค่ะ

เริ่มแรก ความงามของเรา จะเริ่มเปลี่ยนกันที่ “ความคิด”เริ่มต้น ก็ใช้ประโยคออกไปทางโลกสวยเลย  <<< กำลังคิดแบบนี้อยู่รึเปล่าคะ 555 แต่แก้วมาพร้อมคำอธิบายนะ อิอิ

โดยปกติแล้ว จิตของมนุษย์จะเป็นตัวที่ส่งผลต่อออร่าของเรา ว่าจะเปล่งออกมาเป็นสีแดง ชมพู หรือขาว โดยการเปลี่ยนแปลงของออร่าทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นมาจากอารมณ์ของเราที่ส่งผลมาจากจิตอีกครั้งหนึ่งชมพู - กำลังมีความรักแดง - โคตรแค้น โคตรโกรธเกลียดใครสักคนขาว - สงบนิ่ง

และสีขาวจากความสงบนิ่งนี่เอง ที่จะส่งผลให้ผิวเราดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี สดใส ในแบบที่แตกต่างจากการบำรุงด้วยเซรั่ม และมาร์คหน้า เพราะมันจะไม่สูญหายไปไหน ตราบใดที่จิตเรายังนิ่ง และไม่มีความโกรธเคืองแค้นใคร จนทำให้สีขาวกลายไปเป็นสีแดงเดือด

เราจะสร้างออร่าที่ดีได้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการมีสมาธิอีกครั้งหนึ่ง -- หรือพูดอีกอย่างคือ การมีจิตตั้งมั่น มุ่งมั่น ที่จะคิดดี ทำดี  สงบนิ่ง ไม่ว้าวุ่นการที่ตั้งสมาธิได้ จะทำให้เรามีความยินดีต่อสิ่งที่เราทำอยู่  มีความพอใจกับผลที่ได้รับจากการกระทำ ทำให้เกิดเป็นความสุข

พูดให้เป็นภาษาคนปุถุชนมากกว่านี้ ก็คือ สมมติหากเราต้องลุยโปรเจกอันนี้ให้เสร็จ และหากเราตั้งสมาธินิ่ง แน่วแน่ ว่าเราจะตั้งใจทำให้ดี   เราก็จะสามารถค่อยๆคิด ค่อยๆทำ โปรเจกนั้นๆ ไปได้อย่างดีและมีสติ ผลงานจึงออกมาดีมาก ความยินดีที่ได้กลับมาจากผลงานชิ้นนั้น ไม่ว่าจะความสำเร็จ หรือความพอใจส่วนตัว จึงส่งผลทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข ขึ้นในใจ

ตอนนั้นแหละค่ะ ที่เราจะเปล่งปลั่งขึ้นมาได้  -- ตรงนี้จึงช่วยอธิบายให้เราเข้าใจเรื่องจิต ที่มีผลต่อผิวของเราได้มากขึ้นนอกเหนือจากการทำสมาธิ ออร่าก็เกิดได้จากการที่เราทำทาน คิดดีทำดี แน่นอนว่า ออร่าต้องเปล่งประกายมาจากข้างในค่ะหากใครอยากลองทำความเข้าใจหลักข้อแรกนี้ ในรูปแบบคำสอนพระพุทธจริงๆ ในหนังสือก็มีอธิบายค่ะ (หลักการมีปราโมทย์ ปิติ เป็นต้น)

และประเด็นที่ 2 สำหรับการเปลี่ยนความคิดก็คือการวางเป้า “ความสวย” ของตัวเอง ว่าอยู่ที่ตรงไหนอยู่ที่อยากขาวสะท้านเอาชนะผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรามั้ย  อยู่ที่อยากหน้าใสเด้งกว่าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆเราตอนนี้รึเปล่า  หรืออยู่ที่อยากสวยสุดติ่งจนใครๆก็ต้องชม อยากเสพติดคำเยินยอ ที่สรรเสริญเราถล่มทลายยิ่งกว่าเดินพรมแดงฮอลลีวู้ด  หรือแค่เพื่อเหตุผลเรียบง่าย ที่ให้ตัวเองรู้สึกดี รักตัวเอง เห็นคุณค่าตัวเองเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ?

ทำไมเป้าหมายนั้นถึงมีผลต่อจิต และจิตถึงมีผลสะท้อนเด้งกลับมาที่ความสวยเรา

เพราะยิ่งเราอิจฉาความสวยของคนอื่นยิ่งอยากได้อยากมีให้เหนือกว่าคนอื่นยิ่งทำทุกอย่างไปเพื่อเอาชนะ ด้วยแรงอิจฉา แรงโมโห

ก็ยิ่งทำให้จิตใต้สำนึกของเรา “จำ” เอาไว้ว่า ความสวย ที่เรากำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อิจฉาจนตาทะลักอยู่นั้น คือสิ่งที่ “ไม่ดีต่อเรา”จิตใต้สำนึกก็จะยิ่งกีดกันเราให้ห่างออกไปจาก “ความสวย” เหล่านั้น  เพราะจิตใต้สำนึกนั้นแยกแยะไม่ได้ ว่าจิตสำนึกเราต้องการอะไร มันแปลไม่ออกว่าความอิจฉาของเรา มาจากประเด็นสั้นๆง่ายๆคือ เราอยากสวย  มันรับรู้ได้แค่เพียงความรู้สึกรุนแรงด้านลบที่เรามี เมื่อเห็นความสวยของคนอื่นเท่านั้นสรุปแล้วก็คือ เป้าหมายที่อยากจะงดงามที่มีเพื่อเปรียบเทียบแข่งขัน ไม่ใช่เพื่อตนเองนั้น จะไม่ได้ช่วยให้เรามีความงามที่ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้เลย มันยิ่งถีบเราออกห่างมาจากความสวยนั้นด้วยซ้ำ

คาดว่าประเด็นนี้ เพื่อนๆหลายคนคงเจอกับตัวเองมาแล้ว  การที่เรารักตัวเอง บำรุงผิวพรรณตัวเอง ดูแลความสวยความงามของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความสุข และเห็นคุณค่าตัวเองนั้น มีผลมหาศาลกับเรา มากกว่าการประทินโฉมตัวเองไปแข่งประชัน หรือเปรียบเทียบหาข้อดีข้อด้อยกับคนอื่นเราจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยกับการดูแลตัวเอง เราจะยิ้มในตอนที่เราส่องกระจก พอใจในแบบที่เราเป็น และดีใจในแบบที่เป็นเรา

เรื่องที่ 2  มาให้ใกล้ตัวขึ้นกว่านี้ค่ะ “กิน!!”

อาจจะฟังดูเวอร์ไปนิด แต่การกินที่ดีนั้น คือกินเพียงวันละ 1 มื้อ  -- ใช่ค่ะ 1 มื้อ

เพราะ การกินที่ดี ก็คือ การที่ทิ้งช่วงระยะห่าง ระหว่างมื้อล่าสุดกับมื้อถัดไป เป็นเวลาประมาณ 23 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสจัดการกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเรา ที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไป จากนั้นจึงไปกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ  และรวมไปถึงซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย

ซึ่งแน่นอน ว่าโดยธรรมชาติแล้วนั้น สารอนุมูลอิสระ หรือความเสียหายของเซลล์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอก  รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม  การที่ให้ร่างกายได้มีเวลาพัก และมีโอกาสจัดการส่วนเสียหายต่างๆอย่างพอเพียง จึงส่งผลต่อสุขภาพภายใน และเมื่อระบบภายในดีแล้ว ก็จะส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สุขภาพดีค่ะ

นอกจากนี้ ร่างกายจะดึงไขมันที่เก็บสะสมในร่างกายมาเผาผลาญอีกด้วย ทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น -- เยสสส --   ผอมลงค่ะ ไขมันหายไป ฟิ้วๆ !

แต่เอาจริงๆ  ปุถุชนธรรมดา ตัวจิ๋วๆ อย่างพวกเรา คงไม่สามารถกิน 1 มื้อต่อวันได้

ใช่มั้ยค้าาาา กำลังคิดงี้อยู่ใช่มั้ยค้าาา 

ยิ่งอยู่เมืองใหญ่ ยิ่งใช้พลังงานต่อวันเยอะ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิ หรือบำเพ็ญจิตมาก่อน

เพราะฉะนั้น เราสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับชีวิตประจำวันของเราได้ค่ะ ไม่ต้องถึงขนาดกินวันละ 1 มื้อ ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ TT

เริ่มจากมื้อเช้า ที่ควรกินเป็นอย่างยิ่ง  เพราะเราผ่านการอดอาหารมาทั้งคืน ร่างกายดึงพลังงานไปซ่อมแซมร่างกายไปทั้งคืน  พอเราตื่นเช้าขึ้นมา สิ่งแรกที่ร่างกายต้องการนั้น แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ควันรถ หรือความวุ่นวายค่ะ -- อันนั้นค่อยว่ากันได้ ตอนออกจากบ้าน --  แต่เป็นอาหารเช้าค่ะ  ร่างกายต้องการพลังงานเป็นอย่างมาก ในการที่จะเสริมสร้างให้ร่างกายมีเรี่ยวแรง ดูไม่อิดโรย ทรุดโทรม

เพราะฉะนั้น กินให้อิ่ม เติมเต็มสารอาหารครบค่ะ !!! รีบแค่ไหน ก็ควรกินให้ได้ !!! ทำยังไงก็ได้ ให้เราได้กินมื้อเช้าดีๆสักมื้อก่อนเริ่มวันใหม่!!!

จากนั้นมื้อถัดไป จึงค่อยลดปริมาณให้น้อยลง   โดยเฉพาะมื้อเย็น  และที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ยิ่ง ยิ่ง  ก็คือขนมจุบจิบค่ะ  ใครอ่านกระทู้แก้วมาถึงตอนนี้ แล้วกำลังเคี้ยวขนมอยู่ รีบคายออกมาหนึ่งที  ถุ้ย ถุ้ย !

เพราะว่ายิ่งเรากินอาหารเข้าไปเยอะ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายใช้พลังงานหมดไปกับการย่อยอาหาร เผาผลาญอาหาร  จึงทำให้เหลือพลังงานไปจัดการกับอนุมูลอิสระ หรือซ่อมแซมร่างกายลดน้อยลง -- เพราะฉะนั้น หากไม่อยากให้อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นกระฉูดระหว่างวัน หรือไม่อยากให้ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซม  ก็อย่ากินเยอะเกินจำเป็นค่ะ

การที่กินเท่าที่จำเป็น จึงทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้ดีและเต็มที่ ผิวพรรณของเราจะอ่อนเยาว์ สารอนุมูลอิสระลดลง และดูเปล่งปลั่งเช่นเดียวกันค่ะ

ปล.แก้วต้องพิมพ์เพิ่มค่ะ ไม่พิมพ์แล้วอยู่ไม่ได้ คันมือมาก -- เรื่องการกินเนียะ จริงๆถ้าผ่านการฝึกจิตถึงจุดหนึ่ง จะสามารถกินวันละ 1 มื้อได้ เพราะจิตสงบค่ะ พอสงบนิ่งแล้ว กระบวนการต่างๆของร่างกายจะสามารถผ่อนคลาย นิ่ง และทำงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ เราจึงเห็นได้ว่าพระภิกษุที่ฝึกสมาธิมาระดับสูง จะมีสีหน้าผ่องใส ดูอ่อนเยาว์มาก

อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันในหมวดการกินก็คือ เรื่องของน้ำตาล

    จริงๆก็ทั้งกินและดื่มค่ะ 

    น้ำตาลเป็นตัวที่เกาะกับโปรตีนได้ดีมาก และทายสิว่าอวัยวะของคนเรามีส่วนประกอบมาจากอะไรมากที่สุด -- ติ่ก ต่อก ติ่ก ต่อก --

    ปิ๊งป่องงง -- ใช่ค่ะ โปรตีน !!

    เพราะฉะนั้น ยิ่งเราเอาน้ำตาลเข้าตัวเองมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น เค้ก หรือน้ำตาลก้อน มันก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเปิดประตูต้อนรับให้ขบวนพาเหรดน้ำตาลไปเกาะกับอวัยวะของเราได้มากขึ้นเท่านั้น  หลอดเลือดจึงอาจจะแข็ง  ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ทำให้สารอาหารและออกซิเจนถูกลำเลียงไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของเราได้ไม่ดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผิว หรือส่วนอื่นๆ  พอสารอาหาร และออกซิเจนไม่มา ผิวก็เสื่อมไปตามเรื่อง ทำให้เราดูโทรมค่ะ 

ดีไม่ดีอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง และกลายเป็นเบาหวานได้ด้วยนะ

    เพราะฉะนั้น ใครชอบกินชาเย็นทุกเที่ยง มาสะดุ้งกันได้เลยจ้ะ โอ้เย !

   

      เครื่องดื่มที่ดีที่สุดก็คือ “น้ำดื่ม” ค่ะ

    เราควรจิบน้ำตลอด เพื่อให้ร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยง เลือดไหลเวียนได้ดี เซลล์ไม่เหี่ยวแห้ง ช่วยขับสารพิษทิ้ง ส่งผลให้ผิวดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอย และได้รับสารอาหารดีค่ะ  และนอกจากนี้ ยังเป็นการดูแลระบบไตอีกด้วย

    แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรมุทะลุ ดื่มทีเดียวเยอะๆ จนหมดแท้งก์ค่ะ !  เพราะการที่เราดื่มน้ำเยอะเกินไป ร่างกายเองก็ดูดซึมไม่ทันเหมือนกันค่ะ ทำให้ที่ดื่มไป ก็ถูกขับออกอยู่ดี *o*

เพราะงั้น ค่อยๆจิบ ค่อยๆดื่มค่ะ ไม่รีบๆ

โอเค มาขนาดนี้ เราก็คงต้องโบกมือบ๊ายบายกิจวัตรกินชาเย็นวันละ 3 เวลาแล้วล่ะ TT  55555

มาถึงเรื่องที่ 3 แล้ววว

พูดเรื่องทำจิตสมาธิให้ร่มๆ การกินการดื่มไปแล้ว  ก็ต้องไม่ลืมเรื่องนี้ค่ะ สำคัญมากสำหรับใครหลายๆคน >>>  การนอน  Zzzzz

      การนอนเป็นอีกวิธีที่ทำให้ผิวพรรณเราเปล่งปลั่ง เด้งดึ๋งสดใส เพราะมันเป็นการให้เวลาร่างกายเราได้ซ่อมแซมรักษาตัวเองค่ะ นางแบบหลายคนก็มีท่าไม้ตายดูแลตัวเองเป็น “การนอน” ไม่ว่าจะเป็น Karlie Kloss หรือ Kendall Jenner

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครหลายคนก็รู้สึกว่ายังนอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นแล้วไม่สดชื่น หลายชั่วโมงที่นอนไปแทบจะเหมือนกับว่าไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ

    -- ดีไม่ดี บางคนนอนไม่หลับอีกด้วย

    สำหรับเด็กสายสุขภาพทั้งหลาย ไม่ว่าจะแพทย์ หรือเภสัช  ก็อาจจะต้องผ่านมรสุมการสอบท่องจำ “สภาะวะการหลับ” และ “ความถี่ของคลื่นสมอง” มาแล้ว  (ยังจำได้มั้ย เฮ้ ๆ   แอลฟา ทีต้า เดลต้า)  

    มาเจอกันอีกรอบในหนังสือเล่มนี้ และในกระทู้นี้ค่ะ แฮ่ !

    เรื่องของเรื่องก็คือการหลับที่มีคุณภาพนั้น คือการหลับที่ “ไม่มีความฝัน” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อความถี่ของคลื่นสมองอยู่ในช่วง “เดลต้า” ที่จัดว่าเป็นความถี่ที่ต่ำที่สุด

    คิดง่ายๆค่ะ ว่ามันเหมือนกับว่าไม่มีแมลงมาบินรบกวนส่งเสียงสูงๆถี่ๆใส่เรา เราก็เลยหลับได้ดี -- การที่ความถี่ในคลื่นสมองต่ำ ก็คล้ายๆแบบนั้นค่ะ  

    สาเหตุก็เพราะช่วงความถี่เดลต้า จะทำให้เรามีจิตที่สงบนิ่ง ปล่อยวาง และผ่อนคลาย  และเมื่อผ่านไป 90 นาทีหลังจากการหลับระดับความถี่นี้ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า โกร๊ธฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการช่วยหลั่งเมลาโทนินอีกที และเมลาโทนินนี้ จะเป็นตัวที่ช่วยให้เราหลับค่ะ  นอกจากนี้โกร๊ธฮอร์โมนยังช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่น เรียบเนียน เพิ่มความชุ่นชื้น ทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

    สรุปก็คือ การหลับที่ดี จะทำให้มีโกร๊ธฮอร์โมน >>> โกร๊ธฮอร์โมนจะเป็นตัวช่วยให้เรามีผิวดี

    ปัญหาก็คือว่า มีสักกี่ครั้งที่เราหลับแบบไม่มีฝัน …. = =

    หลายคนฝันทุกคืนเลย ฝันว่าเจอบุรุษรูปงาม สตรีน่ารัก -- ร้ายแรงแบบแก้วหน่อย ก็อาจจะฝันว่าทำข้อสอบ TT ฮือออออ  เป็นฝันที่ทุเรศมาก เลือกได้ก็ไม่อยากจะฝันแบบนี้ค่ะ ฮืออออ

    มานั่งคิดๆดู มีน้อยมากๆเลยนะ ที่จะหลับไปแบบไม่ฝันอ่ะ  มีใครเป็นเหมือนกันบ้าง 555

    สาเหตุเป็นเพราะว่าจิตไม่นิ่ง ไม่สงบค่ะ

การที่ความถี่คลื่นสมองเราจะเข้าสู่โหมดเดลต้า(ความถี่ต่ำ)ก็เลยยาก  เข้าไม่ได้  ก็เลยไม่ได้เข้าสู่สภาวะ “หลับคุณภาพ”  ผลที่ได้ก็เลยกลายเป็นว่า “หลับเหมือนไม่ได้หลับ”  “เหมือนไม่ได้นอน”  “นอนแล้วก็ยังโทรม”  “ตื่นแล้วก็ไม่สดชื่น”

    เพราะงั้น การที่ทำสมาธิก่อนนอน จึงเป็นการช่วยให้จิตสงบ นิ่ง และไม่ว้าวุ่นค่ะ  การเข้าสู่โหมดหลับคุณภาพจึงง่ายขึ้น ระบบในร่างกายจึงทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น  ผิวพรรณของเราก็จะดีค่ะ

   

    แต่ถ้าขั้นสูงกว่านี้ ก็จะสามารถเข้าสู่โหมดเดลต้าได้ ทั้งๆที่ยังอยู่ในสภาวะตื่น -- การที่จิตสงบ และเข้าสู่โหมดเดลต้าตอนตื่นได้นั้น จะทำให้ร่างกายหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนได้มีประสิทธิภาพมากกว่าตอนหลับหลายเท่าค่ะ

    ไม่แปลกใจเลย ที่ทำไมคนมีสมาธิในใจ ถึงดูผ่องใสกว่าคนอื่น

    และเพิ่มเติม สำหรับหลายคนที่เป็นสมาคม “นอนกลางวัน”

    เอาจริงๆแล้วการนอนกลางวัน เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะเป็นการชาร์ตแบตให้ร่างกายพักผ่อน ผิวพรรณก็จะดีตามไปด้วย  แต่ว่านอนกลางวันที่ดี ไม่ควรนอนยิงยาวเป็นชั่วโมงๆค่ะ

    ใครทำตัวแบบนี้อยู่ ตื่นด่วนค่ะ

    เพราะจริงๆแล้ว การงีบกลางวันเพียง 15-20 นาที  ก็เพียงพอในการชะลอความชรา และบำรุงสมองแล้ว ถ้าหากนานกว่านี้ เราจะไม่รู้สึกกระฉับกระเฉงตอนตื่นค่ะ แต่จะรู้สึกมึนๆ งงๆ สติเข้าร่างยาก *o*

เรื่องที่ 4 สุดท้ายที่อยากจะหยิบมาแชร์ เรื่องสมาธิ

    อย่างที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมด อาจจะเห็นได้ว่า จริงๆแล้วนั้น “สมาธิ” เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง  

    การที่สมาธิดี  จะทำให้เราควบคุมการหายใจดีตามไปด้วย 

    และการหายใจที่ดีนั้น มีผลมหาศาลต่อเราค่ะ  หากเราเรียนรู้ที่จะหายใจอย่างถูกต้อง เข้าช้า-ออกช้า และมีสติกับตนเอง  จะทำให้ดูอ่อนเยาว์ตามไปด้วย (ซึ่งมีงานวิจัยมาแล้วค่ะ)

    อันนี้ สามารถนึกถึงสัตว์จำศีลค่ะ  การที่เราฝึกสมาธิจนถึงขั้นควบคุมลมหายใจได้ จะทำให้ร่างกายเผาผลาญน้อยลง การสร้างสารอนุมูลอิสระลดน้อยลง และทำให้พลังงานไหลเวียนได้ดีมากขึ้น

    นอกจากนี้ การที่มีสมาธิดี จิตจะนิ่ง และนำไปสู่การที่มีออร่าดี มีความคิดดี ลดความเครียด ส่งผลให้ภายนอกของเราดูดีตามไปด้วย  รวมไปถึงระบบไหลเวียนโลหิตที่ดีด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

    ต้องออกตัวก่อนว่า ตัวแก้วเอง ก็ไม่ได้นั่งสมาธิเก่งจนถึงขั้นสูงเลย ถ้าพูดให้ชัดกว่านั้น แก้วอยู่ระดับเบบี๋มาก แฮ่ !

    แต่ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกต้านเรื่องของการฝึกสมาธิ ฝึกจิต ฝึกควบคุมอารมณ์ หรือศึกษาธรรมะค่ะ เพราะเชื่อว่าธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันเราได้มากกว่าในหนังสือ และเราหลายคนก็เคยเจอกับความจริงที่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแล้วแน่นอน (พูดจริงๆนะ) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

    ดังนั้น แก้วก็เลยได้ลองทำตามคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้ดูบางข้อค่ะ  ซึ่งแก้วคิดว่าได้ผลจริงๆ

    แก้วลองปรับเรื่องอาหาร เรื่องการควบคุมความคิด และการนอนค่ะ  ถึงจะยังทำได้ไม่เทพ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ แก้วคิดว่ามันดีขึ้นจริงๆ (ทั้งในแง่ธรรม และทางการแพทย์)

    อย่างแรกเลยก็คือ ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น แก้วนอนหลับเต็มอิ่ม กินมื้อเช้าเต็มท้อง มีเรี่ยวแรงทำงานทั้งวัน และหายใจให้ช้าๆ  ว่างๆก็ลองทำสมาธิดู  -- ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าเราทำ เพราะบางทีเราก็ยืนบ้าง นั่งว่างๆบ้าง  --  ห้านาที ก็ยังดี  หนึ่งนาที ก็ยังดี  

    วิธีทางนี้ เป็นวิธีที่มากับความจริง ลองทำได้ พิสูจน์ได้ค่ะ

    และยังมีข้อมูลดีๆ วิธีดีๆ พร้อมคำอธิบายดีๆ อีกหลายอย่างมากๆในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างจิตใต้สำนึกกับระบบประสาทอัตโนมัติ หรือการหลั่งฮอร์โมน ผลจากการที่เรายิ้มหรือหัวเราะ การนวดหน้า การชะลอวัยด้วยวิธีทางการแพทย์ การใช้อาหารเสริมเข้าช่วย  และอีกมากมาย หากเพื่อนๆคนไหนสนใจ สามารถลองทำตาม หรือลองอ่านกันได้ค่ะ ^^

    ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาอ่าน 

    ขอบคุณหนังสือดีๆจากสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ

Discussion (2)