Best (make-up) of 2015 [+รีวิวตัวละนิดละหน่อย]

37 6

สวัสดีค่ะสาวๆจีบัน กลับมาอีกแล้วหลังจากตั้งกระทู้ลิปไคลี่ย์ไปครั้งที่แล้ว

มาอีกทีขอเล่นใหญ่นิดนึง best of 2015 ไปเลย จัดเต็มทุกตัวๆไม่มีเม้ม

จริงๆเราเขียนในบล็อคตัวเองไปแล้วค่ะ แต่อยากเอามาแชร์ให้สาวๆที่นี่ด้วย

พร้อมแล้ว ลุยค่ะะะะ!

เช่นเคยค่ะ ก่อนอ่านอยากให้ทำความเข้าใจว่าเมคอัพทุกชิ้นที่เลือกมา เบียร์อิงจากตัวเองล้วนๆ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพผิวและสีผิวของเราด้วย ดังนั้นดีสำหรับเรา อาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้ค่ะ

ข้อมูลเบื้องต้น

สีผิว : เทียบกับ mac ประมาณ nc30-35

[สีผิวสาวไทยทั่วไป ผิวเหลือง กลางๆ ไม่ขาว ไม่คล้ำ]

สภาพผิว : ผิวผสม มันช่วง T-zone

**ลองย้อนไปอ่านของบางตัวที่ซ้ำกับปีที่แล้วได้ ตัวไหนซ้ำอาจจะไม่พูดถึงมากค่ะ เมคอัพประเภทไหนปีนี้ไม่ได้พูดถึง แปลว่ายังอินกับของปีที่แล้วเหมือนเดิม ย้อนอ่านของปีที่แล้วได้เลยค่ะ ปีที่แล้วก็ตั้งกระทู้ไว้ :)**

note : ยาวนิดนึงนะคะ เราอธิบายแต่ละตัวไว้ประมาณนึงค่ะ ว่าทำไมชอบ ดียังไง เผื่อจะซื้อตามจะได้เอาไว้ตัดสินใจได้ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องราคา ถ้าตัวไหนมีขายในไทย จะลงราคาเป็นเงินบาทให้นะคะ บางตัวเราเสิชหาราคาไม่เจอ ถ้ามีลงราคาตัวไหนผิด รบกวนแจ้งด้วยค่า ^^

Best of primer

Hour Glass mineral veil primer (52 USD)

ปีนี้ขอยกให้ hourglass เหมือนเดิมนะคะ ยังหาตัวแทนมาไม่ได้จริงๆ มันเวิร์คมากสำหรับผิวผสม-ผิวมัน เนื้อบางเบา ลื่น เกลี่ยง่าย คุมมันได้ดี ทำให้เครื่องสำอางติดทน ปรับผิวให้เรียบเนียนก่อนลงรองพื้นได้ดีมาก อาจจะไม่ช่วยเรื่องรูขุมขนเท่าไพรเมอร์พวกที่เป็นซิลิโคน แต่เราไม่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนค่ะ เลยตัดส่วนนี้ไป เนื้อเป็นสีขาวนะคะ เกลี่ยแล้วกลืนไปกับผิว (ไม่ได้ช่วยเรื่องการปรับสีผิวเหมือนพวกเบส)

เอาง่ายๆเราว่าหาตัวที่มาโค่นตัวนี้ยากค่ะ ดีมากทุกด้าน เรียกว่ามีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เสียอย่างเดียวคือยังไม่มีขายที่ไทย พรีออเดอร์ก็แพงเหมือนกัน T_T คือชอบตั้งแต่ปีที่แล้ว จนมาตอนนี้ พยายามหาตัวมาแทน ยังหาที่ดีเท่าไม่ได้เลย

ได้ข่าวมาว่าจะมีขายที่ไทยแล้ว ดีใจมาก ไว้เข้าไทยจะมา edit ราคาให้ค่ะ

Becca backlight primer filter (38 USD)

คนละแนวกับตัวบนนะคะ คุณสมบัติเค้าคือเหมือนเปิดไฟให้ผิวอะไรทำนองนั้น เนื้อวาว ทาแล้วได้ลุค dewy ไม่คุมมัน แต่ไม่ทำให้หน้ามันเพิ่มขึ้น คือเป็นความวาวที่สวยงาม ไม่ลิเก ข้อดีของตัวนี้คือทำให้ผิวเราดูมีชีวิตชีวาขึ้นค่ะ ไม่แมทจนด้าน คือบางทีเวลาเราลงรองพื้นที่มีความแมทมากๆเนี่ย ผิวจะดูแบนไปเลย ถ้าลงตัวนี้ก่อน เอฟเฟคที่ได้มันจะดูเปลี่ยนไปค่ะ คือจะดูไม่แห้งสนิท จะดูมีความเปล่งปลั่งออกมาด้วย ดูผิวดี จริงๆเหมาะสำหรับคนผิวแห้งนะคะ สำหรับคนผิวมันอาจรู้สึกว่าเอฟเฟคดูมันวาวเกินไปมั้ย แนะนำว่าให้ทดลองจับคู่ใช้กับรองพื้นที่มีอยู่ดูหลายๆตัวค่ะ จะต้องมีซักตัวที่เกิดมาคู่กัน 5555 รองพื้นบางตัวมีความโกลวอยู่แล้ว ถ้าใช้ไพรเมอร์ตัวนี้อาจจะทำให้หน้าดูวาวเกินไปในชีวิตประจำวัน สามารถใช้ผสมกับรองพื้นก็ได้ หรือใช้ก่อนลงรองพื้นแบบปกติก็ได้

ตัวแทนที่เราคิดว่าทำหน้าที่ได้แทบจะเหมือนกันเลยคือ burberry fresh glow ค่ะ ต่างกันที่สี texture นิดหน่อย และ becca มีความวาวกว่าค่ะ ลองเลือกดูตามที่ชอบ

(dewy สำหรับบางคนอาจจะเป็นหน้ามันสำหรับอีกคน ต้องเลือกระดับความวาวที่ชอบดูค่ะ)

note : เราอ่านรีวิวของฝรั่งมา เค้าบอกว่าใช้กับรองพื้นทุกชนิดได้ตั้งแต่เนื้อบาง-หนา แต่ส่วนตัวลองกับรองพื้นที่เนื้อค่อนข้างหนาแล้วจะไม่เห็นผลค่ะ ใช้เห็นผลได้ดีสำหรับรองพื้นเนื้อ liquid-cream ที่เนื้อไม่หนามาก

Best of Foundation

1) Three complete harmony foundation (2650 THB) #204

เอาจริงๆไม่คิดว่าจะประทับใจนะคะ เพราะว่าตอนเข้าไทยใหม่ๆ ลองรุ่น liquid แล้วไม่ชอบเลย พยายามชอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ชอบ เอาเป็นว่าเสียดายตังอ่ะ คือส่วนตัวคิดว่าไม่เหมาะกับคนหน้ามันเลย เราผิวผสมเราว่ามันยังเยิ้มนะคะ และอีกอย่างคือมันไม่แทบไม่ปกปิดเลยค่ะ (light coverage สุดๆ) คงต้องคนผิวดีอยู่แล้ว มีจุดประสงค์การลงรองพื้นให้ผิวดูเป็น skin ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ถึงจะใช้ได้ค่ะ

แต่ความคิดนั้นเปลี่ยนไปเมื่อเจอรองพื้นรุ่น cream ของ three ที่ออกใหม่ล่าสุดค่ะ ต้องบอกเลยว่าไม่ได้คุมมันมากมายอะไร การปกปิดอยู่ที่ระดับเกือบๆ medium ค่ะ ปกปิดได้ดีในขณะที่มีความเป็นผิวอยู่ ใช้แล้วผิวสวยธรรมชาติเลย ผิวชั้นมีความเปล่งๆ ไม่ดูว่าเป็นรองพื้น รอยดำ รอยแดงสิวที่ไม่เข้มมาก รอยกระจางๆปิดอยู่ ไม่มี crack ระหว่างวัน รอยคล้ำใต้ตาที่ไม่คล้ำมากเอามาปิดได้นะคะ ย้ำๆเพิ่มอีกได้ เกลี่ยง่าย ไม่ตกร่อง เรียกว่ายืดหยุ่นตามผิวได้ดีตามคำเคลม เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่คนผิวมันไปกว่าเรา รักแน่นอน! ถ้าผิวมันมากอาจมีคราบเล็กน้อยตรงร่องจมูกนะคะ

note : เราคิดว่าตัวที่คุณสมบัติเหมือนกันมากๆคือ Lunasol cream foundation นะคะ เป็นกระปุกๆลักษณะนี้เหมือนกัน แบรนด์ญี่ปุ่นเหมือนกันด้วย แต่ราคาถูกกว่าค่ะ Lunasol ถ้าจำไม่ผิด ไม่เกินสองพันค่ะ

2) Nars All day luminous weightless (1850 THB)

ไม่ลงสีเพราะรู้สึกว่าไม่มีสีไหนตรงเป๊ะ ต้องบอกว่าสี punjab ของ nars เนี่ยไม่ใช่อันเดอร์โทนเหลืองนะ อันเดอร์โทนมันติดพีชๆนิดนึง แต่ถือว่าโอเค ยังใช้ได้อยู่ ถ้าจะเอาตรงผิวที่เป็นโทนเหลืองจริงๆ เราต้องเอาสีเข้มกับสีอ่อนที่เป็นโทนเหลือง(ceylan + stromboli)ของเค้ามาผสมกันถึงจะเป๊ะ เฮ่อเหนื่อยเนอะ 555 ให้ความปกปิดระดับ medium เกลี่ยยากนิดนึง และแห้งไว แนะนำให้ใช้แปรงขนแน่นๆเกลี่ย ใช้ปริมาณน้อยมากๆก็เกลี่ยได้ทั่วหน้าแล้ว build เพิ่มเพื่อเพิ่มระดับการปกปิด ได้เหมือน three ค่ะ แต่ต้องเกลี่ยดีเก่งๆหน่อย คิดว่าผิวแห้งมากๆไม่เหมาะ คุมมันได้ประมาณนึง หน้ามันแล้วไม่เยิ้ม ฟินิชลุคที่ได้ทำให้ผิวดูแมท แต่ไม่แมทเกินไปจนทำให้ดูแบนจนเกินไป ผิวยังสวยดูอยู่ค่ะ ที่สำคัญคือ texture บางเบาแต่ปกปิดได้ดี

3) Marc Jacob Re(marc)able full cover foundation concentrate #33 (2130 THB)

โอ้ยชื่อจะยาวไปไหน แม่เอ้ยยย ต้องบอกเลยว่า full coverage จริง! concealer ไม่ต้องใช้ รอยสิวหายมิด เป็นเนื้อแมท เนื้อจัดอยู่ในเกณฑ์หนานิดๆ ต้องใช้สกิลนิดนึงจะลงได้สวยพอดี แนะนำให้ใช้คู่กับแปรงขนแน่นๆ มีช่วงที่เราใช้ bha แล้วสิวอุดตันโผล่ออกมาเยอะมาก จนต้องไปกดออก ทีนี้ช่วงแรกมันจะทิ้งรอยไว้ รองพื้นตัวนี้ทำได้ดีค่ะ กลบเนียนกริ๊บ ต้องเรียกว่าผิวกลายเป็น flawless skin เลยอ่ะ ช่วงหน้าแหกๆจากรอยต่างๆ ตัวนี้คือจำเป็นมาก มันจะดูเนียน แต่เป็นความเนียนเพราะลงรองพื้นมานะคะ ไม่ได้ดูเนียนแบบผิวดีธรรมชาติสร้างมาเหมือน three

ข้อควรระวังคือ อย่าเอามาปิดรอยคล้ำใต้ตาค่ะ หนาไป ถ้ามีร่องใต้ตาจะตกร่องได้ค่ะ

Best of Concealer

Becca Compact Concealer #Macadamia (22.40 USD)

ตลับเยินมาก ผ่านสมรภูมิมาเยอะ เขินจัง > <

ในส่วนของ corrector ใต้ตา ยกให้ giorgio armani เหมือนเดิมค่ะ (อ่านรีวิวของปีที่แล้วนะคะ จะได้ไม่เยิ่นเย้อ) ส่วนถ้าใครอยากเอาที่หาซื้อง่ายๆในไทย เราชอบของ three ค่ะ เม็ดสีอาจจะไม่แน่นเท่า แต่ในส่วนของแปรง three ทำได้ดีกว่า และหาซื้อง่ายกว่าด้วยค่ะ

และในส่วนของ concealer จริงๆยังชอบ nars อยู่นะคะ เอาหาซื้อง่ายๆก็ตัวนี้ (อ่านรีวิวของปีที่แล้วได้เช่นกันค่ะ) แต่ถ้าถามความชอบ ชอบ becca ที่สุดค่ะ หาซื้อยากนิดนึงนะคะ แต่ว่ามีสีให้เลือกเยอะมากกกกก มันต้องมีซักสีที่เป๊ะกับเรา ตัวนี้ดังมานานหลายปีแล้วค่ะ แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ส่วนตัวเอานิ้ววอร์มก่อนใช้ ใช้ทั้งใต้ตาก็ไม่แห้ง ไม่ตกร่อง และใช้ส่วนอื่นของหน้าด้วยค่ะ คือเนื้อไม่หนาเลย แต่ปกปิดดีเยี่ยม ขอแค่เลือกสีให้ดี เนียนกริ๊บ ชีวิตดีแน่นอน

note : ถ้าเอาตัวที่หาในไทยได้ตอนนี้ เนื้อบางเบาแต่ปิดดีมากพอๆกับ becca เราชอบ cle de peau ค่ะ สีน้อยมาก แต่สี ocher พอดีกับเราเป๊ะ (CDP จะชุ่มชื้นกว่านิดหน่อยค่ะ)

Best of Setting powder

Three Ultimate Diaphanous Loose Powder (Colorless) (1950 THB)

ของ three เพิ่งได้ลองเมื่อกลางปีที่แล้ว เนื้อละเอียด บางเบามาก สรุปมีสามสูตรเลย! 555 คือรุ่นเก่ามีสองสูตร พอดีไปซื้อมาตอนไปญี่ปุ่น (ราคาที่ญี่ปุ่นรวม tax refund แล้วถูกกว่าไทยประมาณ 20-25% ค่า ถูกกว่าพอสมควร) พอกลับมาจากญี่ปุ่นได้เดือนนึง ที่ไทยออกสูตรใหม่(พร้อมกับรองพื้นตัวใหม่) แง แล้วหอบรุ่นเก่ามาจากญี่ปุ่นทำไม ทำเพื่อใครรร.. T_T เลยลองซื้อมาพร้อมรองพื้นตัวใหม่ด้วย เพาะตอนนั้นมีโปรซื้อคู่กันแล้วลดราคา 5555 ส่วนตัวคิดว่าแต่ละสูตรไม่ได้ต่างกันชัดเจนอะไรขนาดนั้น แต่ชอบที่มันบางเบามาก ละเอียดมาก ไม่แห้งและไม่วาวจนเกินไป ใช้เซ็ทรองพื้นได้ดีไม่เปลี่ยนสีรองพื้น ถ้าถามว่าคุมมันดีมั้ย คือกลางๆค่ะ สู้ LM ไม่ได้ แต่ LM เนี่ย เนื้อหนากว่า ความละเอียดก็ยังสู้ three ไม่ได้ค่ะ

Best of Finishing powder

Hour Glass ambient lighting palette [58 USD]

หลายๆกระแสบอกว่าใช้แล้วเฉยๆนะคะ แต่สำหรับเรามันดีมากอ่ะ ใช้ทุกวันจริงๆ

ช่องแรก dim light : ปัดเพื่อให้เกิดความนวลค่ะ เอฟเฟคอาจไม่เห็นด้วยตาอะไรมากเท่าไหร่เหมือนอีกสองสี แต่เวลาถ่ายรูปโคลสอัพงานผิวชัดๆ มันช่วยได้ดีค่ะ มันจะช่วยเบลอริ้วรอยเล็กๆ รูขุมขุนได้อยู่เบาๆ ไม่ได้มีความวาวอะไร แต่ทำให้ภาพรวมดูนวลๆค่ะ จะเอามาปัดทั้งหน้าก็ยังได้ แต่เอฟเฟคแบบนี้หาได้ในแบรนด์อื่นเหมือนกันค่ะ แป้งฝุ่นชาแนลก็ใช่

ช่องสอง incandescent light : สีนี้ชอบมากที่สุดในบรรดาสามช่องค่ะ เป็นไฮไลท์ได้เลย ปัดช่วงหน้าผาก สันจมูก คาง จะได้เอฟเฟคที่พอดีมาก ไม่วาวมากจนเกินไป คือวาวแบบกำลังสวย คอนเฟิร์มเลยว่าสำหรับสีผิวประมาณเรา ปัดสีนี้แล้วหน้าพุ่งสวยค่ะ ได้ทั้งความวาวและความสว่าง จะไม่วาวเท่าไฮไลท์ทั่วๆไปนะคะ มันคือฟีลแบบอุ้ยนี่มีไฮไลท์เบาๆ แสงตกกระทบพอดี ผิวจะดูมีมิติ สวยงามแบบมีชาติตระกูลมาก ไม่ทำให้หน้าดูมันด้วย (สีนี้ไม่มีขายแยกนะคะ ต้องซื้อเซ็ทนี้เท่านั้น ฉะนั้นถ้าสีนี้หมดสีเดียว ให้ซื้อตลับสามช่องแบบนี้อีกตลับ ก็จะซื้อค่ะ เลิฟ!)

ช่องสาม radiant light : เป็นบรอนเซอร์ปัดให้ผิวโกลวขึ้น สีอุ่นๆ สวยมากกก วาวกำลังดี ไม่วาวเกินไป ถ้าผิวเข้มกว่าเราอาจจะไม่ค่อยเห็นสีค่ะ

Hour Glass #diffused light (45 USD)

ตัวนี้เราซื้อแยกเป็นตลับใหญ่มาค่ะ ชอบมาก รักมาก หมดก็ซื้อต่อเช่นกัน ตัวนี้คือรักกว่าตัวเมื่อกี้อีกนะ เอฟเฟคของตัวนี้ขอให้คำนิยามว่า 'sheen not shine' เอามาปัดช่วงจุดตกกระทบแสงได้เหมือนกัน จุดต่างจาก incandescent light คือจะธรรมชาติกว่า และจะไม่วาวเท่า ตัวนี้คือจะได้เอฟเฟคสว่างๆค่ะ ทำนองเปิดไฟให้ผิวเหมือนที่ทางแบรนด์เค้าเคลมไว้เลย ที่สำคัญคือเอามาปัดใต้ตาแล้วดีงามมากกกก!

คือเราเป็นภูมิแพ้ค่ะ ใต้ตาจะคล้ำมาก นอกจาก corrector & คอนซีลเลอร์แล้ว พอเจอตัวนี้ เราคิดว่าชีวิตคงขาดไม่ได้แล้วอ่ะ รักนางมาก อย่าเลิกผลิตนะ 555555

เราเอามาปัดช่วงใต้ตาแล้วเลยลงมาช่วงหน้าแก้ม (นึกภาพว่าปัดเป็นรูปคล้ายๆสามเหลี่ยมคว่ำ) มันไม่ได้ทำการปกปิดใต้ตานะคะ เพราะเนื้อมันเบามาก แต่ช่วงใต้ตาจะดูสว่างสดใสขึ้นค่ะ

สีนี้สามารถเอามาปัดตามจุดไฮไลท์หน้าได้ทั้งหมดค่ะ อยากให้ตรงไหนดูพุ่งแบบสว่างๆขึ้นมา ปัดลงไปตรงนั้นเลยค่ะ ได้เลย

note : ย้ำแรงๆว่า HG เนี่ย ต้องลองบนหน้าค่ะ ลองบนมืออาจจะไม่ว้าวมาก ลงบนหน้าถึงจะรู้ว่ามันเหมาะกับเรามั้ย เค้ามีแป้งหลายสีค่ะ บางสีอาจจะไม่ปังสำหรับเราก็ได้ แต่ถ้าสีผิวประมาณเราลองสีที่แนะนำไปก็ได้ค่า :)

Best of Hilight

Kevyn Aucoin #candle light (44 USD)

สำหรับ everyday makeup ยกให้เค้าเลย ให้เค้าเพราะเนื้อเนียนละเอียด วาวนิดๆ มีความออร่าเบาๆ ใช้ในชีวิตจริง เดินกลางวันเราว่ากำลังดีนะคะ ไม่ได้ดูขนาดว่าอุ้ยยยเธอปัดไฮไลท์มาเหรอ สำหรับเราถ้าใช้ในชีวิตประจำวัน ปัดได้ทุกจุดที่เป็นจุดไฮไลท์บนหน้าเลยค่ะ ไม่เว่อร์เลย สาวๆผิวมันน่าจะชอบด้วยค่ะ เพราะไม่ได้ทำให้หน้าดูมัน [อันนี้รูปหายไปไหนไม่รู้ เดี๋ยวมาลงให้ค่ะ]

Becca shimmering skin perfector pressed (38 USD)

ขยับไปอีกเลเวลของความวาวขั้นสุด สำหรับสายแน่นที่ต้องการ Bold hilight ขอยกให้ becca เลย เนื้อละเอียด นุ่ม วาวสุดในบรรดาทุกตัวที่พูดมา ความวาวระดับนี้ ถ้าจะใช้งานกลางวัน เราเอามาปัดเฉพาะช่วงโหนกแก้มค่ะ เวลาขยับหน้าแล้วมันเล่นแสง ช่วงโหนกแก้มวาวๆ ดูมีอะไรให้ผู้ชายถามดีค่ะ 5555555

แต่ถ้าช่วงกลางคืน เอามาปัดเบาๆตามหน้าผาก สันจมูกอะไรงี้เพิ่มเติมได้ค่ะ

เรามีสามสีค่ะ moonstone opal และ champange pop

ลองเลือกที่เหมาะกับสีผิวตัวเองดู ส่วนตัวชอบ champange pop ที่สุดค่ะ สีพอดีกับเราที่สุด อยากให้ทำเป็น permanent มาก ตอนนี้มันเป็น limited ค่ะ

เรียงตามลำดับความวาวธรรมชาติไปสู่ความวาวเว่อร์วัง

HG diffused light -> KA candle light -> HG incandestcent light -> Becca

Best of Contour/Bronzer

Bronzer : Marc Jacob beauty hi-fi filter

รุ่นนี้มีสามสีนะคะ สีนี้เป็นสีเข้มสุด เนื้อนุ่ม พิกเมนต์แน่น เบลนด์ง่ายมาก สีชัดเจน เป็น warm tone ไม่ได้ติดส้มจนเกินไป เลยสามารถเป็นได้ทั้ง bronzer และ contour ค่ะ ไม่มีวิ้ง เนื้อเป็นซาติน เลยไม่ได้แมทสนิทจนทำให้ดูแบนไปหมด ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมาก แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไม sephora เมืองไทยถึงเอาเข้ามาทีละหน่อย กว่าจะซื้อได้นี่เป็นเดือนอ่ะ จนต้องบอกพนักงานว่าเก็บไว้ให้ด้วยนะคะ มาสามรอบแล้วไม่มีของซักที รออยู่เดือนนึงจนในที่สุดก็ได้มานี่แหล่ะ ใครเซฟงบ ไม่อยากซื้อทั้ง bronzer ทั้ง contour แยกกัน ซื้อตัวนี้ตัวเดียวได้ค่ะ ตลับใหญ่บึ้มมาก สุดแสนจะคุ้ม ปัดยันชาติหน้า 55

Contour : Kevyn Aucoin #medium (44 USD)

ดูในตลับเหมือนสีจะไม่ต่างจาก MJ มากเท่าไหร่ แต่พอสวอทซ์ลงบนแขนเทียบกันแล้วเนี่ย เห็นชัดเจนเลยว่า KA ติดเทา เป็น cool tone นะจ้ะ และสีแบบนี้แหล่ะ คือสีของเงาอย่างแท้จริง ใครที่มองหาคอนทัวร์ที่ไม่ติดส้มเลย ตัวนี้คือคำตอบ พิกเมนต์แน่น เบลนด์ง่ายมากเช่นกัน สายคอนทัวร์หน้าแน่นจำเป็นมากที่ต้องมี ไม่ผิดหวังแน่นอน แนะนำ

note : มันไม่มีความส้มและความบรอนซ์เลย อย่าเอามาทำเป็น bronzer เชียวนะ ไม่งั้นหน้าดำแน่ๆ

Best of Eye products

โปรดักส์เกี่ยวกับคิ้วส่วนใหญ่ยังคงอยู่กับของเดิมเหมือนปีที่แล้วค่ะ ย้อนไปอ่านได้เลย

นอกจาก illamasqua eye brow cake สี peak ที่ชอบมากแล้ว คราวนี้ขอเพิ่ม eye shadow เนื้อแมทของแมคมาอีกตัวค่ะ สี saddle คือปีที่ผ่านมาทำผมสีประกายส้ม ติดส้มไปพักนึก เลยต้องหาสีเขียนคิ้วที่มี tint ของสีส้มมา ซึ่งหายากมากกกก สีนี้คือใช่เลย พอดีเป๊ะ สวย ชอบมากๆ ใครมีผมสีออกส้มๆ ไปแมคเลยค่ะ

Shu Uemura eye brow pencil

สำหรับดินสอเขียนคิ้วที่มีปลายหัวตัด ให้ Shu Uemura ค่าาาา ยืมรูปมาจากเว็บนะคะ ของเราสภาพแบบไม่ไหวแล้วจีจี ไม่ควรโชว์ อาย 555555 ขอสารภาพว่าลืมนางไปนานมากเป็นปีๆ พอไปกลับมาหยิบใช้ ถึงได้นึกว่านี่แหล่ะ the best ของชั้น! อาจจะเอามาเก็บรายละเอียดเล็กๆยากกว่าพวกหัวเล็กๆหน่อย แต่ขอบอกว่านี่เป็นดินสอเขียนคิ้วที่เนื้อเริ่ดมากกกก ลองของ drugstore มาหลายยี่ห้อไม่มีอันไหนถูกใจเลย เนื้อมันแปลกๆ เขียนย้ำๆแล้วเหมือนจะเป็นก้อน เป็นปื้นๆ แต่ของชูเนี่ยไม่เป็นเลย เนื้อดีมากกกกก ปกติเราใช้อายแชโดว์+ดินสอหัวเล็กๆเพื่อความเนี้ยบค่ะ แต่ถ้าวันไหนรีบๆจะใช้แท่งนี้แท่งเดียวระบายทั้งคิ้วเลย ธรรมชาติมาก คิ้วไม่ปลิง ถ้าเทสต์กับหลังมือจะเขียนไม่ค่อยติดนะ ต้องเขียนบนขนคิ้วเท่านั้น จริงๆถามพี่คนนึงมา พี่เค้าบอกว่าของ RMK ดีกว่านี้อีก แต่เลิกผลิตไปแล้ว

ข้อเสียมีอย่างเดียวเลย เหลาเป็นปลายแบนๆแบบนี้ไม่เป็น เคยลองแล้ว พังพินาศมาก เสียเนื้อดินสอไปเยอะมากกก (/ล้องห้ายยย T_T) ผ่านเคาน์เตอร์ชูก็แวะเอาไปให้บีเอเหลาได้ค่ะ พี่ๆเค้าใจดี เราแวะไปสาขาสยามเซ็นเตอร์ประจำ บีเอดีมากกกก แนะนำเลย ว่างๆว่าจะไปให้พี่เค้าสอนเหลาบ้าง เผื่อจะเหลาเองได้ ฮ่าาา

เราถามพี่บีเอมานะคะ ว่าดินสอชูรุ่นใหม่ที่เป็นแบบหมุนๆหัวตัด มีที่เหลาให้คมตรงปลายๆ เนื้อดินสอเหมือนรุ่นนี้มั้ย พี่เค้าบอกว่าไม่เหมือนค่ะ แต่ส่วนตัวยังไม่ได้ลองนะคะ เอาเป็นว่าเราชอบรุ่นนี้ค่ะ แนะนำเพื่อนไปหลายคน เพื่อนชอบทุกคนนะคะ ควรมีดินสอแบบนี้ติดบ้านจริงๆ เขียนเร็วทันใจค่ะ

Charlotte Tilbuty #dolce vita (£38.00)

ถ้าให้เลือกพาเลทเดียว จะต้องออกงานสำคัญเลือกอันนี้ค่ะ วิ้งสวย ละเอียด ผู้ดีมาก สีช่องซ้ายล่างที่เอาไว้ pop ก็คงหาจากแบรนด์อื่นยากอ่ะ เอามาสวอทซ์เทียบกับหลายๆแบรนด์ที่มีก็ยังไม่เจอ สวยมากกกกก เป็นพาเลทไฮเอนด์ที่รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเสียเงินที่สุดแล้วค่ะ ส่วนสีอื่นๆของป้าชาล็อต สวยงามตามท้องเรื่องค่ะ แต่ถ้าต้องเสียเงินให้หนึ่งพาเลท เลือกสีนี้เลยค่ะ

Tarte Tartelette Amazonian Clay Matte Palette

เป็นพาเลทลิมิเต็ตค่ะ เราเชื่อว่าทุกคนมีอายแชว์โดว์เนื้อวิ้งๆที่ชอบอยู่แล้ว อย่าง UD naked นี่มีกันแทบทุกคนแน่ๆ หรืออาจจะเป็นยี่ห้ออื่น ที่ยกให้ tarte เพราะว่าพาเลทนี้เป็นเนื้อแมททั้งหมดค่ะ และเป็นเนื้อแมทที่เบลนด์ง่ายมากๆ ง่ายกว่าแบรนด์อื่นๆที่เรามีอ่ะ พิกเมนต์แน่นด้วย เราชอบเอามาคัดเบ้า เอามาผสมๆกับสี shimmer จากพาเลทอื่นๆค่ะ ดีมาก สีน้ำตาลในพาเลทบางทีเราเอามาเขียนคิ้วด้วย คุ้มค่ะ

แนะนำเป็นแนวทางนะคะว่าอายแชโดว์เนื้อแมทของ tarte ใช้ดี ถ้าใครมองหาอยู่ลองแวะไปดูรุ่นอื่นของ tarte ดูค่ะ

Kiss me Heroine make smooth liquid eyeliner (3xx THB)

อายไลเนอร์จากแดนปลาดิบ หัวเล็กเรียวมาก หมึกไหลสม่ำเสมอ หัวแปรงนุ่ม เขียนง่าย หัวแปรงเรียวเล็ก เลยเขียนเส้นเล็กๆได้สวย แต่อาจจะต้องย้ำซักสองทีเพื่อความดำสนิทค่ะ ใจจริงชอบ dolly wink มากกว่านะคะ ไม่ต้องย้ำเส้น ดำทีเดียวเลย ส่วนคุณสมบัติอื่นพอๆกันหมด ตอนซื้อจากญี่ปุ่นราคาประมาณ 1290 เยน ราคาโอเค พอขายที่ไทยหกร้อยกว่าบาท งั้นซื้อ kiss me ดีกว่า

DUP Perfect extension mascara (1500 JPY)

ของ DUP เนี่ยได้มาตอนไปญี่ปุ่น ร้าน Matsumoto ไทยเอาไว้เค้าน่าจะมีมาขายค่ะ ตอนนี้ก็มีหลายยี่ห้อแล้ว หยิบเพราะมีรางวัลการันตีจาก cosme เลย แต่พอมาใช้ต้องพบกับความผิดหวังมาก คือขนตาตกค่ะ โอเคไม่เป็นไร งั้นย้ายมาใช้ปัดขนตาล่างอย่างเดียว หลังจากนั้นพบถึงความดีงามเลยอ่ะ ขนตาล่างเรายาวอยู่แล้ว ปัดอันนี้ไปยิ่งยาวขึ้นอีก ปัดซ้ำๆก็ไม่เป็นก้อนเลย หัวแปรงมาสคาร่าเล็กกำลังพอดี ไม่เล็กจนเกินไป ไม่ได้เพิ่มความหนานะ เอาไปลองปัดให้เพื่อนที่ขนตาล่างกุดๆก็ยังทำให้มีขนตายาวขึ้นมาได้ แบบอเมซซิ่งมากๆ กันน้ำ ไม่เลอะเลย แต่ล้างยากหน่อยนะ เคยลองใช้ยี่ห้อเกาหลียี่ห้อนึง หัวแปรงเล็กมาก ปัดขนตาแทบไม่ติดเลยอ่ะ DUP ชนะเลิศศศศ เพื่อนไปญี่ปุ่นก็ฝากนางขนกลับมาอีก นี่ชอบจริงจังมาก กลัวหาที่ไทยไม่ได้

Koji Eyelash fix (1xx THB)

ลืมหยิบกาวออกมาถ่ายรูป กูเกิ้ลมาก่อนค่ะ

จริงๆกาวติดขนตามีสองประเภทนะ แบบที่เบสเป็นยางพารา (ดึงกาวออกจากแกนแล้วเป็นเส้นๆ) กับแบบที่เป็นน้ำๆ(ไม่รู้ว่าเบสเป็นอะไร นึกภาพว่าเป็นพวกกาวจิ้มจุ่มทั้งหลายค่ะ) ขอพูดถึงแบบยางพาราอย่างเดียวละกัน เพราะว่าแบบนี้ดึงกาวออกจากแกนง่ายกว่า ทำให้ถนอมขนตา ใช้ได้นานขึ้น ไม่เสียทรงเวลาดึงกาวออก ชอบ Koji ค่ะ ติดแน่น ติดทน แต่ต้องบอกก่อนว่ากาวลักษณะนี้ติดไม่แน่นเท่าพวกกาวน้ำๆแบบจิ้มจุ่มนะคะ พวกนั้นจะมีความเหนียวแน่นมาก ติดทนกว่า แต่ก็แกะกาวออกจากแกนขนตายากกว่าเช่นกัน แกะไม่ดีมีสิทธิขนตาพังไปเลย เราจะเอาไว้ใช้วันที่รู้สึกว่าต้องการความติดทนเป็นพิเศษ แต่ชีวิตประจำวัน 80% ใช้ Koji ค่ะ เราใช้สีดำนะคะ เคยลองใช้ที่เป็นรุ่นเนื้อเจลใสแล้ว รู้สึกว่าเนื้อกาวไม่เหมือนกัน รุ่นนี้เนื้อกาวโอเคกว่าค่ะ

Best of Lipsticks

Urban Decay Ultimate Ozone multipurpose primer pencil (900 THB)

ใครที่ทาลิป โดยเฉพาะลิปสีเข้มๆจะเห็นชัดมากว่ามีปัญหาระหว่างวันมีลิปซึมๆออกนอกขอบปากนะคะ ห้ามพลาดเลย วิธีแก้คือ 'ใช้ลิปไลเนอร์' เขียนขอบปากทุกครั้งก่อนทาลิปสีเข้ม ลิปที่มีความ moist สูงๆจะยิ่งเห็นชัดค่ะว่ามันเลอะออกมานอกขอบระหว่างวัน เขียนปากตอนเช้าสวยๆ ผ่านไปสองสามชั่วโมงเริ่มเลอะแล้ว ส่วนตัวมีลิปไลเนอร์หลายยี่ห้อค่ะ จะถูกแพงใช่้ได้หมด แต่มักจะเป็นลิปไลเนอร์ที่ 'มีสี'

ปลื้ม UD ที่สุดเพราะตัวนี้ไม่มีสีค่ะ ด้วยความที่ไม่มีสีนี่แหล่ะ ทำให้เราทาลิปสีอะไรก็ได้ โอเคจบ รู้เรื่อง! จริงๆมันเป็น multipurpose ค่ะ ตามคำแนะนำของเค้าคือเอาไปเติมเต็มริ้วรอยได้ ตรงนี้ยังไม่เคยลอง และเค้าบอกว่า correct mistakes อย่างพวกรอยเลอะมาสคาร่าตรงหางตานิดๆหน่อยๆได้ค่ะ อารมณ์เหมือนปากกาลบคำผิด เคยลองเอามาลบๆดูเหมือนกัน มันลบออกนะ เออ multipurpose จริงๆด้วย ข้อเสียคือหัวปากกาใหญ่ไปหน่อย แต่เข้าใจค่ะว่าทำมาให้ใช้ได้เอนกประสงค์ ไม่ได้เป็นลิปไลเนอร์โดยตรง ใช้กับปากก็ให้คะแนนเต็มละ ชอบมาก ขอบปากเนี้ยบทั้งวันแน่นอน

Tom Ford (1800 THB)

เป็นคนไม่ค่อยใช้ลิปประเภทครีมเท่าไหร่ คือชอบลิปแมทมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงลิปครีมแล้วเนี่ย ขอยกให้ tom ford เลย เนื้อดีมาก พิกเมนต์แน่น ชุ่มชื้น ติดทน เป็นลิปครีมที่ชอบที่สุดแล้ว สีที่แนะนำว่าควรมีคือ spanish pink กับ pink dusk ค่ะ แนะนำสองสีนี้เพราะส่วนตัวคิดว่าถ้าจะลงทุนกับลิปไฮเอนด์ซักแท่ง อยากให้เลือกสีที่ทาได้ทุกวันจะได้คุ้มๆ 5555 สองสีนี้เป็นชมพูอ่อนๆค่ะ เป็นสีชมพูที่ดูแพง สีคล้ายๆกัน แต่ spanish pink จะดูสดใสกว่านิดหน่อยค่ะ ทาได้ทุกวันแน่นอน ถ้าไม่แต่งหน้าส่วนอื่นเลยอาจจะซีดไปนะคะ

Bite Beauty matte creme lip crayon #amaretto (24 USD)

เนื้อแมท แต่ไม่ได้แมทสนิทนะคะ เป็นแมทแบบครีมนิดๆ (ให้เทียบกัน nars แมทกว่า) ติดทน ปากไม่แห้ง เรามีอยู่หลายแท่งเหมือนกัน แบรนด์นี้เค้าดังเรื่องลิปค่ะ เลือกเป็นสีนู้ดมา เป็นนู้ดเลย ติดพีชนิดนึง ถ้าแต่งหน้าส่วนอื่นเยอะแล้ว เราชอบหยิบสีนี้มาทาค่ะ เป็นนู้ดที่สวยมาก สำหรับเราถ้าทาเดี่ยวๆป่วยค่ะ

Kat Von D everlasting liquid lipsticks (20 USD)

สำหรับหมวดลิควิดลิป เรียกง่ายๆว่าลิปจิ้มจุ่ม แบบเนื้อแมท เราชอบแคทวอนดีที่สุดค่ะ แห้งที่สุดในบรรดาลิปทุกชนิด แต่ก็ติดทนที่สุด ทนมากกก ไม่รู้จะทนไปไหน ชอบสี double dare ที่สุด เคยรีวิวไว้ในลุคแต่งหน้าสไตล์ไคลี่ย์กระทู้ที่แล้วด้วยค่ะ กดไปอ่านได้เลย

Nars velvet matte lip pencil #red square (990 THB)

แน่นอนว่าต้องมีลิปแดง เพราะเราชอบเป็นพิเศษ (เลยแถมสวอทซ์ให้ด้วย <3) มันเป็นสีซิกเนเจอร์ ทุกคนจำเราในแบบปากแดงไปแล้ว 555 เป็นเนื้อแมทที่ดีมากๆค่ะ ไม่แห้ง ติดทนและไม่แห้งเท่าพวก liquid lips ด้วย สีดี เนื้อดี สีนี้เป็นแดงโทนร้อนนะคะ นึกง่ายๆคือแดงส้มอ่ะค่ะ สวยมาก แดงโทนนี้ให้ฟีลที่ทาแล้วลุคเปรี้ยวๆหน่อยค่ะ ไม่แก่แน่นอน ที่เคาน์เตอร์เคยบอกว่าเป็นสีขายดีด้วย หมดประจำ

Best of Cheek products

Tarte holidaze (1500 THB)

เพิ่งรู้จักกับ tarte เมื่อสองปีก่อน เลยเก็บคอลเลคชั่นของปี 2014 มาได้เป็นอันแรก พอปีที่แล้วเลยได้เก็บรุ่นนี้มา เสียดายที่เป็นลิมิเต็ต มันคุ้มมากค่ะ ได้มาห้าสี ตกสีละสามร้อย แต่ปริมาณแต่ละสีเล็กกว่าไซส์จริง เรื่องคุณภาพความติดทนเนี่ย ยกให้เค้าเลย มันทนมาก ปัดแล้วเนียนไปกับผิว ไม่เป็นแป้งๆ สวยมากกก ด้่วยความติดทนนี่แหล่ะ สาวหน้ามันต้องชอบแน่ๆ ลองซื้อสีที่ขายตามปกติมาดูค่ะ สวยจริงๆ แนะนำ ไซส์จริงเอาไว้พกพาไปไหนได้ด้วย ตลับไม่เยินง่ายๆ

Hour Glass ambient lighting blush (35 USD)

และนี่คือ the best ของปีนี้ ไม่พูดถึงไม่ได้ คือชอบมากจริงๆ เป็นผีบ้าฝากเพื่อนหิ้วมาจากอเมริกา 6 สี ขาดอีกสีเดียวน่าจะเอามาให้ครบๆเนอะ ไหนๆก็ไหนๆละ -_- และอย่างที่บอกไว้ตอนแรก เดี๋ยวก็เข้าไทยแล้วค่ะ ไม่ต้องรีบพรีออเดอร์ก็ได้

บลัชอันนี้เกิดจากการผสมระหว่าง pigment สีๆและแป้ง ambient ของเค้า(ที่เรารีวิวไว้บางส่วนด้านบน) ใครชอบแป้งของเค้า เราคิดว่าน่าจะชอบบลัชด้วย เอฟเฟคละมุนๆแนวเดียวกับแป้งเค้าเลย ผสมกับแป้งสีอะไรดูจากชื่อสีได้เลยค่ะ ทุกสีจะออกแนวลูกคุณหนู สวยงามผู้ดีๆ สีจะออกแนวละมุนๆซอฟท์ๆทั้งหมดเลย เนื้อบลัชนุ่ม พิกเมนต์ดี ติดทน เบลนด์ง่าย ปัดแบบรีบๆมั่วๆก็สวย อันนี้คือสมราคา ดีมาก! ไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่านี่ชอบมากๆๆๆๆๆ คัดมาแล้วสำหรับปีนี้

สำหรับสายฟาดแก้มหนักๆ สีวิ้งเว่อร์อะไรแบบนี้คิดว่าบลัช HG คงไม่ใช่คำตอบ แต่สำหรับสายชอบแก้มละมุนๆซอฟท์ๆอย่างที่บอก ห้ามพลาดเด็ดขาด

อีกยี่ห้อที่เราชอบมากก่อนจะมาเจอ HG คือ Shu Uemura นะคะ สีหวานๆสวยๆ ออกแนวซอฟท์ๆ ละมุนๆเยอะค่ะ ลองแวะไปเลือกกันดู ยี่ห้อนี้มีขายในไทยอยู่แล้ว หาซื้อง่ายด้วย ^^

Best of Tools

Beauty Blender (750 THB)

เป็นฟองน้ำแต่งหน้าที่แพงมาก แพงจนต้องถามตัวเองเลยว่าเราจำเป็นต้องใช้ฟองน้ำแพงขนาดนี้เลยเหรอวะ? คือแปรงแต่งหน้ารักษาดีๆอยู่ได้เป็นสิบปี แต่ฟองน้ำเนี่ยไม่นานก็พังแล้ว พอลองใช้แล้วต้องพูดเลยว่าตั้งแต่ลองฟองน้ำที่เป็นลักษณะเดียวกันนี้ BB ดีที่สุดค่ะ เคยได้ลองแบรนด์ไทยมาหลายแบรนด์ คุณภาพก็ตามราคาอ่ะ บางอันซักสองทีขาด บางอันก็เนื้อแน่นแข็งจนเกืนไป ของ BB เนี่ยซักหลายรอบยังไม่พัง มีความนุ่มกำลังดี เกลี่ยรองพื้นได้เนียนมากกก มีไซส์ปกติกับไซส์มินิ ไซส์ปกติลงทั่วหน้า ไซส์มินิไม่ต้องมีก็ได้ค่ะ แต่เราชอบเอาไว้ลงบลัชออนประเภทครีมหรือเกลี่ยคอนซีลเลอร์ใต้ตา ส่วนตัวคิดว่าขนาดกำลังพอดี ที่ถูกกว่านี้และคุณภาพโอเคคือของ real techniques ค่ะ

ส่วนฟองน้ำทั่วไปแบบแบนๆ ใช้แบบแห้ง ชอบฟองน้ำ lunasol ที่สุดค่ะ เนื้อแน่น นิ่ม ไม่ระคายผิว ซักใช้ได้นานมาก!

Oguma Aqua Key : Dr.Oguma

น้ำแร่ oguma ละอองละเอียด ฉีดแล้ว fresh เอาไว้เวลาที่รู้สึกว่าหน้าเหนื่อยๆ สเปรย์ไปที่หน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วซับออกค่ะ จากนั้นจะเติมแป้งอะไรก็ตามใจเลย มันมีหลายสูตรนะ สูตรปกติกับสูตร doctor ซึ่งเป็นสูตรเข้มข้น ที่ใช้เป็นประจำก็สูตรปกติค่ะ แต่ตอนนั้นหน้าพังเลยเลือกสูตรเข้มข้นสุดมาติดสปีดการบำรุงให้หน้า เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง 555555 เวลามีผื่นที่เกิดจากอากาศร้อน สเปรย์ระหว่างวันบ่อยๆช่วยได้เลย เรื่องราคาไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ เราซื้อตามสะดวกค่ะ บางทีแวะอีฟแอนด์บอยก็ซื้อ บางทีก็ซื้อจากร้านของพี่ที่รู้จักกันค่ะ มีโปรโมชั่นบ่อยๆด้วย จะซื้อช่วงโปรโมชั่นค่ะ ประหยัด 5555 เวลาพกไปข้างนอกเราถ่ายใส่ขวดจิ๋วนะคะ พกพาสะดวกดี เวลาอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้แต่งหน้า นั่งหน้าคอมก็หยิบมาสเปรย์บ่อยๆค่ะ ชุ่มชื้น สดชื่นดี

จบแล้วค่าาา บางรูปที่ดูเหมือนว่าของยังไม่ได้ใช้ คือเราเอาตัวที่ซื้อตุนไว้มาถ่ายนะคะ บางตัวก็ไม่ได้ตุน เอาเน่าๆมาถ่ายนั่นแหล่ะ - -' เดี๋ยวจะงงว่าเอ๊ะยังไม่ได้ใช้ มาบอกว่าชอบได้ไง บางรูปก็ถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนซื้อมาใหม่ๆแล้วค่ะ เพราะเคยใช้มาแล้ว และตั้งใจจะให้เป็น BEST OF 2015 อยู่แล้ว เลยถ่ายเก็บไว้ก่อน :)

มีคำถามอะไร อยากเม้ามอยพูดคุย มาเม้ากันได้นะคะ อยากไปซื้อตามเพื่อนๆบ้าง

ขอบคุณค่าาา <3


rinyapatn

rinyapatn

FULL PROFILE