My Current Fav Beauty Products :D

16 6

สวัสดีครับ (กราบ) ชื่อปลาโอครับ อันนี้เป็นครั้งแรกที่จะมาทำ รีวีวของที่ชอบอยู่ตอนนี้ และก็ใช้จริงมาสักพักนึงแล้ว ถ้าชอบ รัก หรือถูกใจก็ฝากติดตามด้วยนะครับ ดังนั่นก็ HOP ไปสู่เมนหลักกันเลย

SKINCARES/ CLEANSERS

ในส่วนของสกินแคร์/ คลีนเซอร์นะครับ ตอนนี้ส่วนตัว มีที่ชอบอยู่เยอะ แต่ที่ใช้แล้วรักจริงๆ มีอยู่ สาม อันครับ จะมี ทั้ง เค้าเตอร์แบรนด์ แล้วก็ drugstore ครับ โอเป็นคน ผิวผสมนะครับ จะมันมากๆ ตรง T-ZONE และจะมีจุดแห้งๆตามหน้า เวลาตื่นนอน ยิ่งพอล้างหน้าจะเห็นชัดเจนมากเลยครับ โดนเฉพาะบริเวณใต้ตา ปีกจมูก กับ กระพุ้งแก้ม แต่โอก็ยังรีเมนตัวเองว่าเป็นผิวที่มัน

มาดูอันแรกเลยครับ อันแรกคือ

1. CLINIQUE DRAMATICALLY DIFFERENT MOISTURIZING LOTION +/ GEL

ส่วนตัวชอบทั้ง สูตร เจล และ โลชั่น + ครับ อันนี้เป็นขวดที่ 5 แล้ว 4 ขวดแรกเป็น เจล ส่วนขวดนี้เป็น โลชั่น + แตกต่างกันยังไง ตรงที่ เจลจะสำหรับคนหน้ามัน และ โลชั่น + สำหรับคนหน้าแห้งครับ โอจะเอาโลชั่นพลัสออกมาใช้ตอนที่ ไปเที่ยวทะเล อากาศหนาว ส่วน เจลจะใช้ในชีวิตประจำวัน

PROs

- ลดรอยแดงตอนตื่นนอนอย่างเห็นได้ชัดครับ

- ตื่นมาแล้วหน้าดู "เป็นคน" (คิดไปเองรึเปล่าวะ)

- ชุ่มชื่นสุดๆ ทั้งสองสูตร

- ไม่แพ้ครับ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

- หาซื้อง่ายครับ แทบจะมีทุกเซนทรั่ล

CONs

- สูตร + จะเข้มข้นจนเรารู้สึกหนักหน้าไปเลยครับสำหรับคนผิวผสมค่อนมัน (ผิวแห้งหรือผสมค่อนแห้งน่าจะชอบ)

- ซึมยากมากกกกกกกกกกกกกก (สำหรับคนผิวมัน) แต่หม่อมแม่ของโอใช้แล้วเจ้ชอบนะ! (เจ้แกหน้าแห้งเพราะชอบทำงานหน้าเตาขนม)

- ราคาแพง ( ราคา 1,650 ) ซื้อจากร้านความงาม ( ราคา 1100-1250 )

คหสต. ไม่คิดจะเปลี่ยนไปใช้ อันอื่นแล้วครับต่อให้เป็นจากแบรนด์เดียวกัน เพราะทุกคนก็น่าจะรู้ว่าการหาของที่ใช้ดีกับตัวเอง โฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วไม่แพ้ด้วย นี้มันหายากขนาดไหน จะมีขวดที่ 6 - 7 - 8 และ 9 ตามมาแน่นอนครับ

2. Collection Makeup Remover Cleansing Water

อันนี้นะครับตอนแรก เลยนะที่เห็นคือ เดินผ่านครับ เห็นครั้งแรกใน TOP แบบ เดินเล่นๆแล้วก็ เอ๊ะ 1แถม1 หรอ (ตอนนั้นใช้ bioreขวดเหลี่ยมชมพู) เดินผ่านจ้าแบบไม่สนใจเลย แต่เมื่อ Biore หมดครับความซวยมาเยือนแล้วเป็นช่วงที่เงินขัดสนมาก ... ต่างกัน20บาทยังคิดหนักเลย ในใจแบบจะซื้อ Bioderma ขวดเล็กมาใช้ก่อนดีไหมวะ หรือจะ เอา Smoot E 100ml ดี เดินคิดไปคิดมา อยู่ๆก็หันมาเจอ มันอีกแล้วครับ ตอนแรกยังเต็มชั้นอยู่เลยตอนนี้เหลืออยู่ 2 แพค แล้วแบบ ถือ Smoot E กับ Biore ขวดเล็กอยู่ 100-200 พอหันไปเจอไอ้ขวดใหญ่ปุ๊บ เฮ้ย 250ml สองขวด ในราคา 300 บาท (250*2=500) เอาแล้วไง ผมนี้เดินตรงไป แล้วเอามาเปรียบเทียบเลยครับ พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆปุ๊บ บนขวดเขียน อื้อหือ จะ ฟรีอะไรขนาดนั้น แอลกอฮอร์ ฟรี, พาราเบน ฟรี, ฟราแก้นซ์ ฟรี, ที่สำคัญคือ ปริโตเลี่ยมออย ฟรี แถมยังมีค่าเป็นกลางอีกดี (pH Balance) อุ๊บ พอหันหลังขวดไปครับ เช็คตาม Bioreก่อนเพราะชอบมาก ผมเจออะไรรู้ไหมครับ มันคือ คอมบิเนชั่นระหว่างบีโอเรและสมูทอี รวมอยู่ในขวดเดียวกันครับ เรารออะไรหละ หยิบมาสิ จ่ายตัง เดินหน้าบานขึ้นรถกลับบ้านเลยครับ ปัจจุบันใช้ได้มา สองอาทิตย์แล้ว ยังไม่มี ท่าทีว่าจะก่อให้เกิดเหตุร้ายบนใบหน้าอะไรเลย ดังนั่น รัก รัก รัก (รักมาก)

PROs

- ถูกโว้ย 1-1 แถม 1 299บาท

- หาง่าย

- อ่อนโยน เต็มไปด้วย การฟรี

- แพคเกจ ถึงจะใสแต่ก็ดูแพงนะเออ

- พลังในการเช็ด จะบอกว่าเทียบเท่า ไบโอเดอร์ม่ายังได้เลย

CONs

- หมดโว้ยยย มัน out of stock

คหสต. หาจุดด้อยของเจ้าชิ้นนี้ยากมากครับคิดนาน แต่คิดออกอยู่อย่างเดียว ฮ่าาาา ถ้าอยากให้ทำ deep review ก็ยังไงติดต่อมานะครับ อันนี้ทำครั้งแรก แค่นี้ก็เขียนเยอะแล้วยังไม่เข้าหมวด คสอ. เลย T ^ T

ต่อไปเป็นหมวดของ เครื่องสำอางค์

COSMETICS

ส่วนตัว เป็นคนที่ชอบการแต่งหน้าอยู่แล้ว แต่งดีบ้างเละบ้างไปตามประสา แต่ผมชอบศึกษาและทดลองมันเป็นเหมือนอะไรที่แบบเราต้องโดนด้วยตัวเองถึงจะรู้ แต่ส่วนการตัดสินใจในการซื้อทดลองก็มีมาจากการ รีวิวจากเพื่อนๆแหละ บิวตี้กูรูที่มีสภาพผิวใกล้เคียงกับตัวของโอเองจึงได้ตัดสินใจซื้อมาลอง ไม่ใช่แค่คอสเม่ แต่รวมถึงสกินแคร์และทุกสิ่งอันเลยครับที่จะแชร์นี้ โอของบอกก่อนนะว่า โอสภาพผิวเป็นยังไง ปัญหาหรืออะไร มีตรงไหนบ้าง เอ้า! LET's DO THISSSSSSSSSS

สภาพผิว : ผสม Oily Combo มันกว่าน้ำมันที่บ้านซะอีก/ Dry patches แห้งกรังเป็นจุดๆทั่วใบหน้าแล้วแต่ว่าจะเกิดตรงไหนตามอารมณ์ของผิว

ปัญหาเวลาแต่งหน้า : รองพื้นส่วนมากถล่ม หากไม่มีการล็อคผิวที่ดิ แม้แต่รองพื้นโคตร MATTE (Revlon ฝาดำก็เคยพังมาแล้ว) สิวผดที่ขึ้นตรงบริเวณ ข้างๆจมูกใต้ตา เยอะมาก ทำให้รู้สึกไม่ดี (อารมณ์ล้วนๆ) ผิว ค่อนข้างจะ sensitive วันเดียวสิวก็ขึ้นได้ไม่ต้องรอสะสม

SHADE ผิว : MAC NC 25-30 ผสมกัน/ NAR PANJAB+FIJI/ TARTE MEDIUM NEUTRAL - LIGHT MEDIUM NEUTRAL (แล้วแต่อารมณ์)/ ARMANI LUMI 4.5/ CATRICE 002+003 (อยากรู้เพิ่มถามมาเลย)

มาเริ่มกับ คอสเม่ ชิ้นแรกกันเลย !

1. Tarte Amazonian Clay Full Coverage Airbrush Foundation

อื้อหือ ! แค่ชื่อก็กินขาดแล้วครับกว่าจะอ่านจบก็ 2 นาทีละ ฮ่าา พูดถึง BRAND กันก่อนเค้าบอกว่า แบรนด์นี้เป็น ออแกนิคครับ NO พาราเบน No talc No แอลกอฮอร์ No perfume และไร้สารตกค้างบนใบหน้า เป็น 2 in 1 makeup/skincare ไปในตัวเดียวกัน แถมยังมีสารสกัดต่างๆมากมายทั้ง ในการบำรุงผิว และตัวเด่นดังของมันก็คือ Amazonian Clay aka โคลนจากอเมซอน (ยิ้มกริ่ม) แค่ส่วนผสมก็แบบนะกินขาดจ้า เค้าเคลมไว้หลายอย่างมากเลยนะตัวเธอ แต่เราจะบอกให้ว่าอันไหนจริงไม่จริง

1. 12 ชม. บนใบหน้า (ตอบเลย ไม่จริง! ให้มากสุดก็6 เลยเว้ย!)

2. ใช้แล้วผิวหน้าดีขึ้น จาก 90กว่าเปอเซนต์ของผู้ใช้ (ขอเป็น 1ใน90กว่าเปอเซนต์นั่น)

3. ไร้น้ำหนัก (จริงๆเหมือนทาแป้งฝุ่นแล้วจบ)

4. Full-Coverage (เริ่มเป็นมีเดี้ยม .. ทำให้เป็น full ได้)

5. Airbrush Finish (ค่อนข้างจะแป้งเลยนะ ถ้าทาตอนแรกต้องรอให้มันละลายแล้ว จะกลายเป็น natural finish ถือว่าเป็นแอร์บลัชปะ แต่ผิวมันก็ดีขึ้นมากๆ แต่ไม่ถึงขั้น flawless อะ)

6. Waterproof (กันเหงื่อ แต่ไม่กันสงกรานต์ ไม่กันว่ายน้ำน่ะจ่ะ)

แล้วก็ที่สำคัญเลย เวลาซื้อตัวรองพื้นตัวนี้มา มันแถมแปลงด้วยนะเหวย !

รูปร่างมันเป็นเช่นนี้แล เรียกว่า Airbuki Brush

มันคือ แปรง buffer brush ที่ถูกออกแบบมาใช้กับรองพื้นตัวนี้โดยเฉพาะ + กับตาข่ายในตัวแพคเกจรองพื้นแล้ว ทำให้ได้ ผลิตภัณฑ์ในการใช้แต่ละครั้งอย่างเหมาะสม (1 การปั้มแปรงลงไปในตาข่าย ต่อ 1 ด้านของหน้า) ส่วนตัวโอใช้ 3 ครั้งจบ หน้านี้แป้งจ้าเลยจ่ะ ไม่มีการกดเพิ่มด้วยนะ ส่วนตัวชอบทาสองรอบ เพราะต่อให้ทากี่รอบมันก็ดูแป้งตอนแรกอะ ทาเลยสองรอบ ไม่ต้องใช้ concealer ด้วย

จากข้างต้นนะ มันมีดียังไงหรอ ไปดู PRO & CON เลยจ้า

PROs

- เคยใช้รองพื้นที่ปกปิดดีแล้วไม่หนักหน้าไหมหละ นั่นแหละ

- มาในรูปแบบผงที่ ใช้ง่าย แอพพลิเคชั่น + แปรงที่แถมมา คุ้มๆ

- ความคงทน เวลาลงไปแล้ว แบบไม่ใช่ primer ก็ยัง smooth เหมือนก้นเด็ก การลงบลัช และ บรอนซิ่ง ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกลี่ยง่ายกลืนกับผิว

- แก้ไขจุดต่างๆง่าย อย่างเช่นเวลา ลง บลัชหรือบรอนเซอร์เยอะไป หน้าดู เป็นหมวยขายโอ่งหรือขวานฟ้าหน้าดำ เราสามารถใช้ ตัวแปรงที่มีอยู่ บัฟๆๆๆๆๆๆๆ มันให้ดูสมูธ เพราะมันยังมีรองพื้นที่ติดอยู่กับตัวแปรง

- เชดสีเยอะมาก!

- skincare ในตัว

CONs

- เชดสีเยอะนะ แต่อันเดอร์โทนก็เยอะตามเลือกดีๆระวังหน้าเทานะครับ

- ONLY SEPHORA!

- ใช้เวลาในการ set ตัวค่อนข้างนาน (มีวิธีแก้)

คหสต. ของชิ้นนี้ เป็นชิ้นนึงที่ได้มาฟรี ครับจากพี่สาวสุดน่ารัก แต่แกซื้อเบอร์ผิด เลยเป็นลาภของผมครับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะดีหรอก เพราะ เชดสีมันเยอะมันคงเลือกลำบาก รัก รัก รัก เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยครับ ตั้งแต่ใช้แป้งผสมรองพื้น มา เจอตัวนี้ไป คือพวกนั้นเก็บเข้ากรุหมด จริงๆแล้วแป้งตัวนี้อเนกประสงค์มาก ใช้ set รองพื้นก็ได้ ส่วนวิธีการแก้เวลาทาแล้วเป็นแป้ง แค่ฉีด setting spray หรือ mineral water ครับมันจะช่วยให้ไม่แป้ง แถมจะได้ลุคที่ดิวอี้ มว๊าก ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบ ลุคดิวอี้แต่หน้ามัน ตัวนี้เป็นตัวทางเลือกที่ดีสำหรับรองพื้นใช้ทุกวันครับ ส่วนสำหรับหน้าแห้งอันนี้ไม่รู้ครับไม่เคยเห็นคนหน้าแห้งรีวิว แต่ทางแบรนด์เค้าบอกว่า มันเป็นสำหรับ ทุกสภาพผิวครับ รองพื้นตัวนี้สำหรับผมมันเป็นแบบ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยิ่งดูดีขึ้นนะ ทาตอนเช้าไปเรียน ตอนเย็นเลิกคลาสไปเที่ยวกับเพื่อน นั่นแหละครับจะเป็นช่วงที่รองพื้นเซ็ทตัวได้งามที่สุด (ในความคิดผมนะ)

2. Colourpop Cosmetic Highlighter in Wisp

ตัวนี้ไม่มีอะไรมากนะครับ เห็น เคธรีน ไลท์ (youtuber) เป็น dupe ของ Becca skin perfector in Champagne Pop ที่ แจคเกอรีน ฮิล เป็นคนทำกับ Becca ครับ ซึ่งมันคือความงามสำหรับคนไทย สีนี้ คือสีที่เหมาะกับผิวคนไทยมากที่สุดครับ เพราะมันจะทำให้ผิวคุณดู วาว แต่ไม่มันจนเกินไป เห็นตั้งแต่ สามช่วงตึกแรกที่คุณเดินมา ส่วนสีเป็นยังไง มาดู Swatch ครับ

มันจะเป็นสี champagne ที่ มี hint ของ shimmer สีทอง กับ rose gold ครับ ยิ่งเวลาเราทาบนบลัช สี ออก mauve นะครับ จะสวยมากๆ ถ้าคนเคยเล่นกับ ผลิตภัณฑ์จาก Colourpop จะรู้นะครับว่าตัว โปรดัคของมัน นิ่มขนาดนั่น เกลี่ยง่ายขนาดไหน แล้วก็ ครีมขนาดไหน พิกเม้นต์ของสีมันแบบแจ่มวาวมากครับ จากในรูปนั่นคือการ เอานิ้วลูบ แล้วปาดลงบนแขนครั้งเดียวไม่มีการ ถูไปกลับนะครับ ดูเอาเองนะครับว่า สีมัน strong ขนาดไหน ผมว่า พี่เค้าคงไม่ได้มาเล่นๆแน่นอน วิธีการใช้ก็ง่ายๆเลยครับ นิ้วมือ นิ้วมือคือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ผลิตภัณฑ์ของ Colourpop ครับ ลูบผ่านแล้วก็เอานิ้วแพคๆ ลงไป หรืออีกทางก็ ใช้ แปรงขนซินแทติคครับเพราะ ขนธรรมดาจะแพคผลิตภัณฑ์ไม่ขึ้นเพราะมันนิ่ม เหมือนเยลลี่ ส่วนตัวไม่อยากเปรียบเทียบอันนี้กับแบรนด์อื่นนะครับเพราะส่วนผสมเค้าก็มาค่อนข้างจะฮาร์ทคอร์อยู่เหมือนกัน แต่ในเรื่องคุณภาพ การเกลี่ย การลงคู่สี พิกเม้นต์ ของตัวมันเอง กับราคาย่อมเยาขนาดนี้ ตบหลายแบรนด์ในดวงใจผมหน้าหันมากเลยครับ

PROs

- คุณภาพเกินราคา (400 บาทเองนะ)

- ไม่มีอะไรจะบอกแล้ว ลองหามาใช้เถอะแล้วคุณจะรักมันแบบ ยกถวายหัวเลย

CONs

- ร้านหิ้ว โอนลี่

คหสต. ในอนาคต ไม่สิครับ ตอนนี้โอสั่ง ผลิตภัณฑ์ของ Colourpop มาจำนวนหนึ่งเพิ่มแล้ว ซึ่งขอบอกว่า เอาตัวนี้มาก็รักเรือหายแล้วครับ ยิ่งไปอ่านรีวิวมาเจอแต่สิ่งดี้ดี และคาดว่า ถ้าเพื่อนๆลองไปซื้อมาเล่นบ้างก็ คงจะรักเหมือนที่ผมรู้สึกตอนนี้แหละครับ

3. L.A. Girl PRO. Conceal HD. High-Definition Concealer

อันนี้ เห็นเพื่อนๆ ใน วานิลาหลายคนมารีวิว เจ้าตัวนี้กันแล้วดังนั่นจะขอไม่อะไรกับตัวนี้มากนะครับ ผมก็แค่คน คนนึง ที่ รัก รัก รัก เจ้านี้มากๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะ สีที่ทำมาเพื่อน Bronzing หน้า สีที่โอ ซื้อมา คือสี Pure Beige กับ Beautiful Bronze ครับ

อันนี้เป็น Swatch นะครับ

TOP > PURE BEIGE BOTTOM > BEAUTIFUL BRONZE

สองสีนี้เป็นสีที่โอใช้ conceal กับ bronzing ครับ เพราะ ปกติไม่ใช่ คนชอบ คอนทัวร์อยู่แล้วแต่จะบรอนซ์สีให้หน้าดู flat เท่านั่นครับ ไปดูข้อดี ข้อด้อยเลยดีกว่า

PROs

- พลังในการสเตนค่อนข้างสูงเมื่อเซ็ทตัว ซึ่งทุกคนต้องชอบแน่นอน โดยเฉพาะ เชด Bronze

- ปกปิดรอยด่างดำได้ดีกริบ

- เนื้อบางเกลี่ยง่าย เป็น natural finish

- แอพพลิเคชั่นหัวพู่กันใช้ง่าย

- ราคาถูก (290 บาท)

CONs

- ปิดแพนด้าไม่ได้ (ปิดได้แต่ต้องใช้หลายตัว)

- ปิดรอยแดงไม่ได้ (ปิดได้แต่ต้องใช้หลายตัว)

- กะปริมาณตอนบีบไม่ได้ เพราะหัวพู่กันมันบังแล้วดูยากมาก

- แพคเกจค่อนข้างเลอะ

คหสต. จากที่เพื่อนๆในวานิลารีวิวกันมา ว่าตัวนี้เหมือน MUF HD Conceal ผมจะบอกว่าตัวนี้ค่อนข้างจะด้อยกว่าอยู่มาก ในเรื่องการปกปิด เพราะเหมือน MUF เค้าทุกเชด จะเป็น universal cover คือเน้นครอบคลุม แต่ตัว L.A. Girl จะเน้นเป็นอย่างๆ ถ้าผมจะบอกว่ามันเหมือนตัวไหน มันเป็นเป็นร่างกลับด้าน ของ Nars Radiant ครับ เพราะว่า ตัวนี้บาง เกลี่ยง่ายเหมือนกัน แต่ ตัวนี้ไม่มี เทคโนโลยีกระจายแสงเทียบเท่า ตัวแบรนด์ hi-end ตัวอื่นๆ ทำให้เราไม่สามารถกลบแพนด้าได้ ตัว Nars ผมจะไม่เอามาใช้เป็น conceal อะไรบนหน้าเพราะมันจะกระจายแสงทำให้ เวลาเราปิดพวกรอยแผล รอยสิวเหมือนเราไปเน้นมากกว่า ส่วนปัญหาเรื่องรอยแดง L.A. Girl ที่หลายคนบอกปิดไม่ได้ จริงๆแล้วปิดได้ครับแต่ คอนซีลที่ทำออกมาส่วนใหญ่มันเป็นอันเดอร์โทนชมพู ดังนั่นคิดว่า L.A. Girl เหมาะเอามาคอนทัวร์กับคอนซีลมากกว่าครับ

ส่วนสุดท้ายแล้วครับอันนี้เป็นแปรงที่ตอนนี้ชอบมากๆ

BRUSH

1. Bdellium Tools Yellow Bamboo Brush in 785

แปรง Bdellium อันนี้ซื้อมาเป็นเซ็ทครับ แต่ที่ชอบมีไม่กี่อัน แต่ตอนนี้ชอบอันนี้เป็นพิเศษ ในการเกลี่ย คอนซีลเลอร์ ทั้งใต้ตา แล้วก็ spots ครับ ใช้เกลี่ยให้ไม่มี harsh line ทำให้ดูกลืนกับผิวมากๆ รัก รัก รัก ฮ่าาา

ราคาก็ลืมครับแต่ถูก มากๆ สำหรับ แปรง Bdellium ถ้าไม่รู้จะซื้อแปรงอะไรคิดว่า หัดเริ่มแต่งแปรงยี้ห้อนี้ถือว่าดีมากๆครับ แค่ไม่ดังเท่านั่นเอง แถมยังเป็น แปรง Vegan 100% ด้วยนะครับ

ก็หมดแล้วครับสำหรับ Beauty Products ที่ชอบอยู่ตอนนี้

ก็ อยากให้เพื่อนๆเข้ามา comments แสดงความคิดเห็นกันนะครับ จะดีหรือไม่ดียังไงติได้ครับ เรื่องการพิมพ์ นี้เป็น เว็ปแรกเลยครับ ครั้งแรกด้วยที่ทำอะไรแบบนี้ ก็ หวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันนะครับ ถ้าเพื่อนๆชอบกัน ก็จะมารีวิวให้ดูแบบนี้อีกครับ

รักและเคารพ

AutumnScifi <3


AutumnScifi

AutumnScifi

เป็น เอ่อ .. เป็น สิ่งมีชิวิตที่ชอบการแต่งหน้า เครื่องสำอางค์ และ ความงาม และ review ด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น

FULL PROFILE