เที่ยวฮอกไกโด(เองไม่ง้อทัวร์) วันที่ 10 - 16 พ.ค. 2558 :Vol.1 Day1-2

12 2

สวัสดีค่ะ

วันนี้จะมารีวิวเที่ยวฮอกไกโด แบบวางแผนเอง เที่ยวเอง ไปมาเมื่อวันที่ 10 - 16 พ.ค. 2558 ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เที่ยว 4 เมือง ฮาโกดาเตะ, โนโบริเบทซึ, โอตารุ และซัปโปโร สมาชิกร่วมเที่ยว มีดิฉันกะเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะโปรโมชั่นของแอร์เอเซีย ที่เปิดเที่ยวบินตรงสู่ฮอกไกโด ซึ่งออกมาในราคาน่ารักมาก แต่ด้วยไทยมีเหตุกับ ICAO เลยต้องมานั่งลุ้นมากค่ะว่าจะถูกระงับไฟลท์หรือไม่ สรุปแล้วโชคดีมากค่ะที่ได้ไป ก่อนที่เที่ยงบินนี้จะถูกระงับในช่วงเดือน ส.ค.

พร้อมแล้วไปเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ

วันที่ 10 พ.ค.

บ่ายๆ ด้วยบินไฟลท์ดึกเลย web check in จากที่บ้านไปก่อน ระหว่างนั้นก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทาง

21.00 น. นัดเจอกับเพื่อนที่สนามบินดอนเมือง โหลดกระเป๋า และที่สำคัญ internet savvy อย่างเรา เลยเช่า pocket wifi จากไทยไป ดิฉันใช้บริการของ Japan wifi มีบริการส่งของและรับคืนที่สนามบินเลย ราคาวันละ 195 บาท ใช้ที่โน้นสัญญานดี แต่ต้องเตรียม power bank เสริมไป เพราะถ้าใช้เยอะ แบตที่เครื่องจะไม่พอหนึ่งวัน แต่บางวันที่ไปก็ไม่ต้องชาร์ทแบตเพิ่มระหว่างวัน รับ wifi เสร็จ ก็ไปตรวจคนออกจากไทย โดยข้ามการ shopping ที่ kingpower เพราะเราจะไปซื้อที่โน้นนนน เย้!

22.30 น. ฺBoarding pass time ดิฉันก็เสียงตังซื้อชุดคอมฟอร์ทคิทบนเครื่องไป 250 บาท เพราะร้านที่สนามบินปิด เที่ยวบินนี้ operate โดย airasia มาเลเซีย แอร์ฯเข้มงวดมาก กระเป๋าถือนี่นางให้เก็บให้เรียบร้อย เช็คปรับระดับที่นั่งแล้วเช็คอีก เมื่อเครื่องพร้อมกับตันก็พาเรา 2 สาวเหินฟ้าไปฮอกไกโด หลับยาวค่ะ เช้าที่ญี่ปุ่น

ลงรูปที่นั่งแอร์เอเชียไว้ให้ดูด้วย นั่งพอได้ ไม่แคบมาก (เรากะเพื่อนตัวไม่สูง)

วันที่ 11 พ.ค.

07.50 น. ถึงสนามบิน New Chitose หรือ Shin Chitose ไปตรวจคนเข้าเมือง คนไม่เยอะเท่าไหร่ แล้วไปรับกระเป๋า พอออกมาก็เจอโดราเอม่อนยืนรอตอนรับอยู่เลยค่ะ

สิ่งแรกที่ทำคือเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งหน้าเต็มค่ะ แล้วก็แยกของใส่เป้เพื่อไปค้างคืนเที่ยวเมืองไกลๆก่อน ส่วนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เราก็ส่งไปที่โรงแรมในซัปโปโรเลยฝากแมวดำ รูปร้านตามด้านล่าง ร้านอยู่โซน departure ค่าส่งประมาณ 1,000 เยน (คือก่อนไปศึกษาข้อมูลพบว่าต้องแบกกระเป๋าขึ้นสะพานลอย เลยกลัวหิ้วกันไม่ไหว เลยแบ่งมาแบกเป้ แต่พูดเลยว่าดิฉันหนักมากเพราะ 2 คืน แต่พอไปจริงคิดว่าลากใบใหญ่มาด้วยเลยได้ค่ะ)

จากนั้นเดินไปซื้อตั๋วรถไฟไปฮาโกดาเตะค่ะ ระหว่างทางผนังทางเดินที่สนามบินเค้าก็มีรูป 3D ตลอดทางค่ะ แวะถ่ายรูปนิดหน่อย เพราะเราต้องรีบไปซื้อตั๋ว

เรื่องตื่นเต้นเริ่มมา คือ เราไม่ได้ซื้อ hokkaido rail pass เพราะเมืองที่เราจะไปมันไม่ไกลมาก ไม่คุ้มนั่นเอง เลยซื้อเป็นเที่ยวๆ ซึ่งก็ flexible สำหรับเราดี ไปฮาโกดาเตะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จึงต้องซื้อแบบจองที่นั่งด้วย แต่ จนท.บอกว่าต้องนั่งแยกกัน พวกเราก็เริ่มไม่โอเคละ แล้ว จนท.เค้าก็หาๆ เลยได้นั่งโบกี้เดียวกัน ได้ตั๋วแล้ว สบายใจ ไปหาข้าวเช้ากินได้ ในสนามบินคนเยอะมาก ทั้งคนญี่ปุนที่เค้าบินมาติดต่อธุรกิจ นักท่องเที่ยว โซนของฝากที่เรียกได้ว่ายกตลาดเช้ามาไว้ที่สนามบิน ขนมเพียบ ร้านเสื้อผ้า drugstore แถมยังมีโดราเอม่อนพาร์ค คือถ้าใครมีเวลาเผื่อเวลามาเดินเที่ยวหรือซื้อของที่สนามบินได้เลย

ในสนามบินมีโซนราเมง พวกเราเลยไปประเดิมมื้อแรกกัน มีหลายร้านเลยค่ะ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เปิด (เพราะมาไฟลท์ค่อนข้างเช้า) เลยต้องกินร้านนี้ อยู่ด้านซ้ายมื้อของทางเข้า พ่อค้าเชียร์แขกน่าดูเลย ราเมงชามใหญ่มาก กินไม่หมดอ่ะ กินคู่กะเกี๊ยวซ่า

กินมื้อเช้าเสร็จพอมีเวลานิดหน่อยก็เลยเดิน window shopping แวะหากาแฟกิน แล้วก็เดินลงไปขึ้นรถไฟ ซื้อ ekiben (ข้าวกล่องที่ขายที่สถานีรถไฟ) เผื่อหิวบนรถไฟเพราะจะไปถึงที่หมายบ่ายๆ เราได้ข้าวหน้าแซลมอลย่างมา ถึงแม้มันจะเย็นไปหน่อย แต่พอกินมันก็อร่อยดี

10.48 น. รถไฟ JR Rapid airport ออกเดินทาง จริงๆแล้วเป็นการเดินทางครั้งแรกโดยรถไฟที่ญี่ปุ่นของเรา เคยไปแต่กับทัวร์ เลยงงๆ ขบวน มั่วโบกี้หน่อยในช่วงวันแรกๆ

10.51 น. ถึงสถานี minami chitose เผชิญกับอากาศภายนอก เย็นมากกก ยืนรอเปลี่ยนขบวนเป็น Ltd. exp super hokuto 8 วิวฝั่งทางด้านซ้ายของรถไฟจะเป็นทะเล บางโซนก็เป็นป่าเขา เห็นหิมะอยู่บนยอดไกลๆ ทะเลสาบโทยะ เรียกได้ว่าชมวิวไปชิวๆ ไปตลอดเส้นทาง บนรถไฟจะมีรถเข็นผ่านมาขายอาหาร ขนม เครื่องดื่มเรื่อยๆ เราก็เลยลองกินไอติมนมวะนิลามากินแก้เพลีย อิอิ

13.54 น. ถึง Hakodate เดินไปเช็คอินเข้าโรงแรม เราพักที่ smile hotel อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเลย อบอุ่นเหมือนอยู่ไทย นักท่องเที่ยวไทยทั้งน้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็บินแอร์เอเชียมาพร้อมกัน แล้วก็ไปเจอกันตามเมืองต่างๆ แถมบางคนยังเจอกันตอนแช่ออนเซ็น หึหึ เข้าห้องไปเก็บข้าวของ อาบน้ำแต่งตัว

จากนั้น เริ่มเดินเที่ยวเมือง Hakodate ที่ดูชิคและ slow life เดินทางโดยนั่ง tram ไป Goryokaku Park โดยต้องลงป้าย Goryokaku Koen mae ให้ทายว่าหลงทางมั้ย หลงค่ะ แค่วิธีขึ้นก็งงแล้วค่ะ วิธีคือ ตอนขึ้นให้หยิบตั๋วเล็กจากเครื่องอัตโนมัติและจำว่าเราขึ้นที่สถานีหมายเลขที่เท่าไหร่ของสายนั้น ยอดเงินก็จะขึ้นไปๆเรื่อยๆตามระยะทาง ดูได้จากบอร์ดไฟหน้ารถ เวลาลงก็หย่อนตั๋วลงกล่องแถวๆคนขับ และหยอดเงินค่ารถซึ่งรับแต่เหรียญ แต่มีเครื่องไว้ให้สำหรับแลกเหรียญ ถ้าจำไม่ผิดแบงค์ใหญ่สุดที่สามารถแลกได้คือแบงค์ 1000 เยน ระหว่างที่รอถึงจุดหมายปลายทางผู้โดยสารสามารถเดินไปแลกเหรียญเพื่อเตรียมการไว้ได้เลย

เข้าใจว่าดิฉันและเพื่อนลงเลยป้ายเลยต้องเดินย้อนกลับมาโดยเดินมั่วมั่วให้ไปในทิศทางหอคอย goryokaku ถึงที่หมายนี่ดีใจมาก ตอนแรกที่วางแผนคาดว่าจะยังเจอซากุระอยู่บ้าง แต่ปีนี้อากาศอุ่นกว่าปีก่อน ๆ ก็เลยเห็นซากุระตามเมืองที่ไปน้อยมาก

เดินถึงจุดหมายแบบเหนื่อยและหนาว ซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวเมืองและสวนรูปห้าแฉก จากข้อมูลที่ต้องสร้างห้าแฉกเพราะว่าประเทศตะวันตก รวมทั้งรัฐบาลใหม่ญี่ปุ่นต่างก็อยากครอบครองเมืองนี้ จึงต้องสร้างแบบนี้เพื่อป้องกันวัง ข้างบนมีจุดขายของที่ระลึก และ highlight คือ Sakura soft icecream เลยจัดให้หายเหนื่อย

จากนั้นนั่ง tram ไปเดินเที่ยวย่าน motomachi ซึ่งจะมี slope เห็นวิวอ่าว มีโบสถ์คริส ร้านค้าเก๋ๆ ขอบอกว่าเดินเมื่อยฝุดๆ แถวหนาวด้วย แต่บรรยากาศก็ดีสุดๆ

จากนั้นก็เดินค่ะเดินไปขึ้น mount hakodate ropeway ชมวิวระดับมิชชลิน 3 ดาว ซื้อตั๋ว แล้วยืนรอคิวนานทีเดียว ทัวร์จีนเยอะมาก แถมหนาวแต่โรแมนติคมว๊ากค่ะ เหมาะไปกะแฟนฝุดๆ

ตอนนี้ทั้งหิวและหนาวมากค่ะ เดินๆลงเนินมา หามื้อเย็นกินที่ริมอ่าว เค้าบอกว่ามาฮาโกดาเตะต้องกินโรงเบียร์ท้องถิ่น ลองชิมแก้หนาวค่ะ เคล้าปลาหมึกแห้งชุบแป้งทอด พร้อมอาหารอิตาเลี่ยน ฟินค่ะ

เหมือนยังไม่จบ เลยเดินข้ามถนนไป starbucks ฝั่งตรงข้าม ซื้อช็อคโกแลตร้อนกินแก้หนาว ที่ปลื้มคือเจอแก้ว tumbler ลาย Hokkaido limited จัดกลับบ้านมา 1 ใบค่ะ

เดินออกมาจะกลับละ แต่ไปเจอตู้กดน้ำอัตโนมัติหน้าร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งแอบน่ากินมากแต่ตอนนั้นก็อิ่มมากแล้วเช่นกัน ลายกระป๋องเป็นรูปตัวตลก เลยกดมาทั้ง 2 สีเลย ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าน้ำอะไร แต่มันแปลกดี เลยถ่ายรูปไปให้เพื่อนแปลให้ บอกว่าเป็นกาแฟ กะ น้ำอัดลม แต่สีกระป๋องไหนคืออะไรจำไม่ได้แล้วค่ะขออภัย

ขากลับโรงแรมตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับ ราคาพอสู้ได้ 700 เยน เพราะหนาวและเหนื่อยโหกกกกมาก แถมแถวนั้นเงียบๆด้วย นี่แค่วันแรกก็อยากจะเอาขามาพาดคอ สำหรับตอนต่อไปๆ จะทยอยมา post นะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านค่ะ

Marliblossom


marliblossom

marliblossom

I am a salary-woman in Bangkok, the city of angle. I love color of makeup, beauty item, mix career & street style fashion, traveling and eating.

FULL PROFILE

Comment

เขียนความเห็นได้เลยจ้า..

Recent comments ความคิดเห็นล่าสุด