และแล้วก็เข้าสู่ วงเวียนวัฏจักรชีวิต แม่เลี้ยง & ลูกเลี้ยง (ฉันผิดหรือ ???)

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ 

กระทู้เราตั้งเพื่ออยากสอบถามความคิดเห็นด้านจิตวิทยาและการเลี้ยงดูจากมุมมองของหลายๆ ท่าน ของด "ดราม่า"  (ต้มยำ,มาม่า,น้ำพริก,ผักต้ม) นะคะ


เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน 

เราแต่งงานกับสามี ที่มีลูกติด (ปัญหา ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) และเราก็มีลูก ซึ่งอายุลูกที่เกิดจากเรา ห่างกับ ลูกเค้าประมาณ 10 ปีน่าจะได้ ลูกเค้าเป็นเด็กผู้ชาย ลูกเราเป็นเด็กผู้หญิง

แรกๆ สามีก็ยังไม่พามาบ้านเรา แต่เราก็ให้เค้าไปมาหาสู่กับลูกเค้าตลอด ไม่ปิดกั้น คุณจะพาไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ก็ไปเถอะ เพราะไงนั่นก็ลูก บางครั้งเราก็ให้เค้าเอาลูกเราไปด้วย เพื่อให้พี่น้องเค้ารู้จักกัน 

จนเมื่อถึงเวลา เค้าก็พาเราไปรู้จักกับลูกของเค้า ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ว่าเราทำอะไร นิสัยยังไง ประมาณไหน (แต่ดูเด็กเค้าก็ติดพ่ออยู่ไม่น้อย เพราะอย่างว่า เราไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเค้านี่เน้อ ^^"!! ) การดำเนินชีวิตของพวกเราก็ดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่ง

สามีเค้าพาลูกเค้ามานอนที่ร้านด้วย ซึ่งเค้าไม่เคยพามานอนอยู่แล้ว ปกติรับแล้วก็ไปส่ง ที่พามาครั้งนี้เนื่องจาก ดึกมาก เลยไม่กลับ และหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่า มาอยู่กับเราเลยทั้งเดือน ซึ่งเป็นช่วง "ปิดเทอม" 

จากการได้มาอยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ทำให้เราเห็นพฤติกรรมของเค้า ว่าเค้าดำเนินชีวิตอย่างไร กินอยู่ อย่างไร

เราด้วยความที่กึ่งเจ้าระเบียบ เพราะโดนเลี้ยงมาแบบนั้น เราก็สังเกตุและแนะนำลูกชายเค้าตั้งแต่ 
1. เรื่องการกิน   = (กินมูมมาม)
2. การเดิน  = (เดินไม่สำรวม ถ้าไปเดินในกลุ่มเจ้าถิ่น คงโดนกระทืบไม่รู้อิโหน่ อิเหน่)
3. การช่วยทำงานบ้าน = (ไม่ช่วยอะไรเลย พ่อกวาดบ้าน ลูกนั่งเล่นเกมส์)
4. การพูด = (ไม่มีหางเสียง) 
5. การเล่นเกมส์ = (เล่นตั้งเครื่องพีซี ออกจากพีซีไปคว้าไอแพดต่อ)
6. การนอน = (นอนดึก ตื่นสาย เพราะเล่นเกมส์ดึก เลยตื่นเที่ยง บ่าย) 
7. การอยู่ในสังคมรวม คนหมู่มาก ฯลฯ  = (โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง) 

เพราะเค้าอายุก็ย่าง 14 หล่ะ ถือว่า เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นไม่เด็กแล้ว การพูดเตือนแนะนำ น่าจะให้ความร่วมมือกันได้ เรื่องแบบนี้เราก็ศึกษามาพอสมควร

ระหว่าง "แม่เลี้ยง กับ ลูกเลี้ยง" จะมีปฏิกิริยากันอย่างไงบ้าง ทำอย่างไรบ้าง ....

เราก็เปิดอกคุยกับสามีเรานะ ว่า "เค้าต้องฝึกเยอะนะ เพราะดูแล้วเค้าไม่ได้รับการฝึกอะไรมาเลย" ในระยะช่วงปิดเทอมนี้ เราก็พูดกับสามีเกือบทุกวัน

ว่าคุยกับลูกเค้าบ้างไหม บอกเค้าบ้างไม เพราะถ้าเราบอกเอง คิดว่า ไงซะเด็กก็จะแอนตี้เรา 

เราก็สังเกตุพฤติกรรมมาเรื่อย ก็พูดคุยบ้าง แนะนำบ้าง แต่เหมือนไม่มีอะไรปรับปรุงขึ้นมา จนวันหนึ่ง เราเรียกลูกเค้ามาคุย แบบถามตรงๆ เพราะสิ่งที่เราเห็นคือ ไม่ทำอะไรเลย เสื้อผ้าก็ให้พ่อเค้าซักให้  เล่นเกมส์ กิน นอน เล่นเกมส์  อาบน้ำก็ถามพ่อ มีเสื้อผ้าใส่เปล่า 

สามีเราก็คงกลัวว่าเราจะทำอะไรลูกเค้าก็เลยเดินตามเข้ามาฟังด้วย เราก็โอเค จะได้รับรู้ด้วยกันว่า เราพูด บอกยังไง

เราถามเด็ก

1. หุงข้าวเป็นไหม
2. ซักผ้าเป็นไหม (ทั้งมือ และ เครื่อง)
3. ปัดกวาด เช็ดถูบ้านเป็นไหม 

ไม่ต้องกลัว ที่ถามไม่ได้ว่าอะไร ถ้าทำไม่เป็น จะได้สอน .......เค้าบอกว่าทำเป็นหมด  และท่านั่งที่เค้าทำใส่เรา นึกภาพตามนะคะ 
(จุดนี้เราอดทน อดกลั้นมาก ...)

1. เค้านั่งแกว่งเท้า ใส่เรา
2. พูดไม่มีหางเสียง 

จบบทสนทนา เราก็เลย ให้เค้าลองหุงข้าวให้ดู เพื่อจะดูว่าเค้าทำได้ไหม สิ่งที่เห็นคือ "หุงข้าวไม่เป็น" 

จากนั้นก็ลองให้เค้าซักผ้าด้วยมือ  สิ่งที่เราเห็น "ผสมผงซักฟอกไม่เป็น" 

อืม !! ทำอะไรไม่เป็นเลยจริงๆแฮะ 


เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ เราก็พูดกับสามีเราทุกวันเหมือนกัน ....

สามี : ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ บอก เดี๋ยวเค้าก็ปรับได้
เรา : จะเดือนนึงแล้วนะ ไม่เห็นปรับปรุงอะไรเลย
สามี : เดี๋ยวพี่จัดการเอง  
.............

และแล้วก็วงจรวัฏจักร ก็มาถึง ... จากการพูดคุยกัน กลายเป็นความรุนแรง สามีมองว่าเรา "อคติใส่ลูกชายเค้า" 
และก็จุดบางอ้อ เมื่อมีการเถึยงกันเกิดขึ้น ระหว่างเรา กับ สามี 

ในที่สุด สามีก็เผยมาว่า

" อยากชดเชยเวลาที่เค้าสูญหายไป ช่วงนึงที่เค้าเคยอยู่กับพี่ เค้าก็ทำแบบนี้ ไม่ต้องทำงาน กิน เล่น นอน ไม่มีใครคอยควบคุม ตอนนี้เค้ายังเด็ก ใส่อะไรมาก เค้าก็ไม่รับหรอก แล้วเป็นไง ตอนนี้ลูกพี่เค้าไม่อยากมานี่แล้ว เพราะเธอเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาดัดนิสัยลูกพี่หรอก  " .....

เรา.... 

"เข้าใจ ว่าเด็กอาจจะมีปัญหาเรื่องแบบนี้ แต่อย่าเอาเรื่องปมด้อย มาเป็นจุดเด่น เรียกร้องความสนใจแบบนี้ เพราะมันจะเสียเด็ก มันจะเข้าข่าย พ่อแม่ รังแกฉัน ถ้าไม่สอน ไม่บอก หรือตักเตือนกันไม่ได้ จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไง แล้วนี่ลูกเธอไม่เด็กแล้วนะ ขึ้น ม.2 แล้ว..กดขี่ข่มเหงไหม ก็เปล่า ให้เลี้ยงน้องไหมก็เปล่า ....... "

สรุป ...

สามี ตามใจลูก เพราะอยากให้ลูกมาอยู่ด้วย ถ้าไม่ตามใจ เดี๋ยวลูกไม่มาอยู่ ผลสุดท้าย เด็กไม่อยากมาที่นี่เพราะเราสอน .....


คำถาม ....คือ ฉันผิด ?????? 

เราถึงกับถามอากู๋ เรื่องจิตวิทยา แม่เลี้ยงกับ ลูกเลี้ยงกันเลยทีเดียว 

คราวนี้เลยอยากถามความคิดในมุมมองหลายๆ คนว่า มีความเห็นอย่างไรกันบ้างคะ  ....

ปัญหาโลกแตกจริงๆ ให้ตาย .....

Discussion (12)

ของเราก็คล้ายกับชีวิตคุณ. แต่ต่างกันตรงลูกเขา 2 คน ชายและ หญิง. ตอนนี้ 19 และ 18 แต่เรามีลูกสาว 10 ขวบ 1 คน เราไม่ได้เอาลูกมาอยู่ด้วย. เพราะกลัวลูกเราเห็นพฤติกรรมลูกเขา. ผู้ชาย มีเมียตั้งแต่ 12. เมีย 28 ตอนนั้น. ลูกสาวเป็นทอม. ก้าวร้าว. พูดจาหยาบคาย. เที่ยว กินเหล้า สูบยา. แต่ทั้งคู่ก็เรียนหนังสือจนถึงปัจจุบันอยู่ปี 1 มีเมียทั้งคู่. สามีตามใจลูกทุกอย่าง. ไม่กล้าบ่นลูก. ห้ามอะไรลูกไม่เชื่อ. เพราะความเป็นลูกครึ่ง. แต่สามีเราเป็นคนดี. แต่รักลูกเกิน. เพราะกลัวลูกมีปม. เราแต่งงานกับเขามา 6 ปี. เด็กๆ ยิ่งโต ยิ่งมีปัญหา. เราทนมาได้. ทำทุกอย่าง. เว้นแต่งานบ้าน. เพราะมีแม่บ้าน. แต่เสื้อผ้าเราซักเอง. และส่งรีด. ส่วนลูกๆ โตแล้ว ก็เริ่มทำเอง. แต่ถ้าเราเถียงกับพ่อเขา. เราจะกลายเป็นถูกรุม. เราทนเพราะลูก. เพราะเราทำงานบริษัทสามี. และรักเขา. เราไม่มีสิทธิในทรัพย์สิน และอะไรทั้งสิ้น. เพราะได้แต่มีงานแต่งงาน. แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส. เพราะลูกเขาไม่ยอม. ถึงแม้เราจะเซ็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทรัพย์สินเขา. ลูกเขาก็ไม่ยอม ที่เราอยากจดทะเบียนสมรส. เราอยากให้ลูกเรามีพ่อ เพราะไม่ต้องการให้ลูกต่องเขียนชื่อพ่อเดิม หรือ จดจำ. เพราะเขาไม่เคยมาเยี่ยม. ไม่ส่งเสีย. มีแต่สามีใหม่เราส่งเสียค่าเทอม. ส่วนอย่างอื่นเรารับผิดชอบทุกอย่างของลูก. อ้อลูกเราอยู่กับพ่อแม่ของเรา. เพราะเขาเลี้ยงกันมาแต่เล็ก. เพราะเราต้องทำงานหนักมาก กาอนมาเจอสามีคนปัจจุบัน. เราถามตัวเองเสมอ. เราอยู่เพื่ออะไร. ทนพฤติกรรมลูกเขาเพื่ออะไร. เราพยายามช่วยเหลือลูกเขาทุกอย่างเท่าที่เราทำได้. ไม่ปริปากบ่น. เรายังไม่ดีเลยในสายตาพวกเขา. เพราะยังไงเราก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา. และสามีเราก็เข้าข้างลูกเขาเสมอ ใครช่วยตอบทีเราควรทำอย่างไรต่อไป. ปล. เรามีภาระผ่อนบ้านที่พ่อ แม่ และลูกเราอยู่. แต่โชคดีแม่ กับ พ่อมีบำนาญ เลี้ยงตนเองได้. แต่เราส่งเสียทุก้รื่อง้กี่ยวดับลูกเรา
คห.9 จัดหนัก 


จขกท.ทำดีแล้วค่ะ
แต่วัยนี้แรงจริงๆค่ะ สอนยากมากๆ

จขกท.คงต้อง ปล่อยวางจริงๆนั่นแหละค่ะ 
จขกท.ไม่ได้คิดผิดค่ะ ออกแนวหวังดีด้วย แต่ว่าด้วยสถานการณ์และฐานะของความเป็นแม่เลี้ยง มันอาจไม่เอื้อให้หวังดีเช่นนั้น หากสามีคุณไม่เอาด้วย

คือถ้าสามีกลัวลูกไม่รัก ก็เลยตามใจทุกอย่าง เราจะแก้ยังไงล่ะคะ คุณทำไปก็ทะเลาะกับสามีคุณเปล่าๆ จะกลับกลายเป็นไปยุ่งเรื่องของลูกเขาโดยที่เขาไม่ได้ขอ ทั้งอีกบุคคลภายนอก เช่นแม่เด็ก ญาติพี่น้องสามี จะพาลไม่ชอบคุณได้ ทั้งที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

เรื่องนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยวางนะคะ

เราว่าจริงๆจขกท.หวังดีนะคะ คห. 9 แรงไปมั้ย
แล้วคุณตั้งใจอยากจะได้อะไรจากเด็กอายุ 14 หรอค่ะ? ม.2 ค่ะ ม.2 แล้วยังไงหรอคะ คุณเอาตัวเองไปตัดสินเขาว่าเขาจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ โดนตัดสินจากตอนที่คุณเด็กหรอคะ คุณอาจคิดว่าตอนคุณม.2 คุณทำโน้นได้ทำนี่ได้ นั้นหมายความว่าเขาต้องทำได้แบบคุณหรอค่ะ? ถึงคนทั้งโลกทำได้ แล้วเขาต้องทำได้หรอคะ? ตั้งแต่เล็กจนโตมาอายุ 32 เราไม่เคยซักผ้า หุงข้าว หรือจับไม้กวาดเลยแม่ทำให้ตลอด ใครอาจมองเราว่า อีเด็กนี้ขี้เกียจสันหลังยาว อกตัญญูก็แล้วแต่นะค่ะ แต่ทุกวันนี้ เราอายุ 32 เป็นเจ้าของบริษัท รายรับเจ็ดหลักต่อเดือนซึ่งมันทำให้เกิดคำถามต่อมา ทำไมคุณมั่นใจค่ะว่าถ้าเขาไม่ทำตามที่คุณบอกเขาจะเสียเด็ก? คุณไม่มีวันรู้ว่าเด็กคนนั้นรู้สึกยังไง หรือผ่านอะไรมาบ้าง อย่าเอาอคติที่คิดเองว่าเป็นความหวังดีมาตัดสินใคร เพราะคุณเองมั่นใจแค่ไหนว่าสิ่งที่เขาต้องเดินผ่านมา สิ่งที่เขาต้องเจอ คุณจะสามารถผ่านมันมาได้ถ้าคุณอายุเท่าเขา ...อ่อ อีกอย่างนะคะ ความหวังดีมันไม่ได้ดูจากคำพูดคะ มันแสดงออกมาผ่านน้ำเสียง ต้องระวังนะคะ ...เห็นมีแค่คนโพสอวย ขอเป็นอีกมุมฝากให้คิดนะคะ
กำลังเจอแบบเดียวกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแม่เลี้ยง-ลูกเลี้ยง เป็นเรื่องปู่กะหลานค่ะ เข้าข่ายว่าไม่ให้หลาน(ลูกเรา)ทำอะไรเลย และไม่อบรมอะไรเลย ด้วยเพราะ"ยังเด็กอยู่ จะไปอะไรมากทำไม ปล่อยๆ ไปเหอะ" แล้วผลก็ออกมาคือ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับปู่(พ่อสามี)ลูกสาวเราเป็นเด็กดีพูดเพราะ น่ารัก รู้จักไหว้ รู้จักมารยาท พอมาอยู่ที่บ้านนี้ ทุกอย่างทำไม่เป็นเลย และมารยาทแย่ลงมาก จนเราต้องตัดสินใจออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกเอง

ของจขกท.นี่ยากนะคะ เพราะสาเหตุหลักใหญ่คือคุณสามีเองนั่นแหล่ะที่มีทัศนคติต่อต้านคุณ การอบรมเด็กนี่คือเพราะรักนะเนี่ย ไม่รักแล้วจะบอกเรื่องดีๆหรือ ใช่มั้ยคะ? เราอยากให้ลูกเค้าเป็นเด็กน่ารัก มีแต่คนรักคนชื่นชม เค้ากลับมองไม่เห็นซะงั้น...สำหรับเรื่องตัวเด็กนั้นเราคิดว่ายากค่ะ เพราะแน่นอนว่าเค้าต้องเชื่อพ่อเค้า เมื่อพ่อเค้าไม่พูดไม่บอกไม่อบรมหรือปลูกฝังในสิ่งที่ควรทำ เราในฐานะแม่เลี้ยงพูดเท่าไรเด็กจะไม่มีทางฟังแน่นอนค่ะ ยิ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วยแล้วนี่...โห อย่าเสี่ยงเลยค่ะ จะยิ่งพาลต่อต้านกันเปล่าๆ

(เราเป็นเด็กที่โตมาในบ้านของพ่อจริง-แม่เลี้ยง และแม่จริง-พ่อเลี้ยงค่ะ เราก็ไม่ฟังพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเหมือนกัน)

คงต้องคุยกันกับสามีนะคะเราว่า การฝึกให้ทำนู่นทำนี่ไม่ใช่การสร้างความลำบากเลยนะ ให้มองเป็นกิจกรรมในบ้านไปก็น่ารักดีค่ะ เช่น ทำบาร์บีคิวกินกันก็ให้น้องเค้ามาจุดไฟ หรือเสียบไม้ หั่นหมู ทำน้ำจิ้ม ล้างจาน อะไรแบบนี้ เป็นการฝึกไปในตัว แต่คงมาบอกให้เค้าทำทุกๆ วันเป็นกิจวัตรได้ยากค่ะ คงต้องพึ่งพ่อเค้าให้พูดให้บอกกัน เพราะเด็กวัยรุ่นไม่ค่อยฟังใครอยู่แล้วเนอะ

ยังไงเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆนะ เอาใจช่วยค่ะ :)