[[เม้าธ์มอย]] เก็บเงินอย่างไร ให้ได้ผล~?!

80 48

สวัสดี... และสวัสดีปีใหม่ 2013 ล่วงหน้านะคะ สาวๆ 

 

สืบเนื่องมาจาก เราแอบไปเห็นกระทู้ ++กระทู้ในความทรงจำ 2012!! ++  

คำตอบเรื่องเงินเก็บของเรา ติดเป็นหนึ่งในกระทู้ความทรงจำของปีที่ผ่านมานี้..

และก็เพิ่งทราบว่าเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆหลายคนอยากเริ่มเก็บเงิน

ทำเอาเรา ปลื้มมมม ลื๊มมมมม~!! 

 

ต้องขอบอกว่า เมื่อก่อน เราไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเงินเก็บของเรามันเยอะ....

ตอนที่เขียนตอบกระทู้นั้นไป พอดีเราเป็น คห. แรกเลย

เราก็คิดว่า มันเป็นเรื่องปกติ ก็แค่เป็นการบอกเล่า ว่า เออ เรามีเงินเก็บเท่านี้ๆๆ... ไม่ได้คิดอะไร

ได้รับ feed back มาในกระทู้ตอนนั้น ตอนแรกก็ตกใจ... ก็แอบกลัวๆ ว่าเฮ้ย จะมีคนหมั่นไส้ป่าววะ 555

แต่พอได้ยินว่า เป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆหลายคนเก็บเงิน... เราก็ยินดี และดีใจมากค่ะ 

ก็เลยคิดว่า ปีใหม่นี้ ทำกระทู้นี้ดีกว่า เผื่อจะเป็นแนวทางและวิธีให้สาวๆได้ออมเงินกันได้เยอะๆ 

 

 

ขอออกตัวก่อนว่า เราเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการเงิน

ไม่ได้จบและไม่ได้เรียนทางด้าน finace,, เศรษฐศาสตร์ อะไรใดๆ

ไม่เคยเล่นหุ้น ไม่เคยเข้าใจระบบตลาดหุ้น-ตลาดเงินของโลกหรือของประเทศไหนๆ

(ถึงแม้ว่าจะเคยพยายามจะศึกษาและพยายามอยากจะเข้าใจอยู่บ้าง.. แต่พบว่าตัวเองไม่สามารถทางด้านนี้จริงๆ)

 

 

เงินเก็บทั้งหมดของเรา มาจากการแบ่งเงิน การจัดระบบ และการเก็บเงินของตัวเอง ตั้งแต่เด็กๆล้วนๆ

โดยได้หลักการ แนวคิด และวิธีการเก็บเงินมาจากคุณพ่อและคุณแม่... ซึ่งวิธีนั้น เดี๋ยวจะกล่าวต่อไปค่ะ

 

 

อายุแค่ 22 ปี... มีเงินเก็บเก้าแสน ,, จริงหรอ~?!

 

จริงค่ะ .... แต่ไม่ใช่เงินที่เราหามาเองทั้งหมด

แหม ถ้าอายุแค่ 22 ปี สามารถทำงานอะไรแล้วมีรายได้ของตัวเองจนเก็บเงินได้เหยียบล้าน หนูไม่เรียนแล้วค่ะ...

เอาเวลาทั้งหมดมานั่งทำงานนั้นทั้งวัน น่าจะหาเงินได้มากกว่า~!!

 

อย่างที่ได้บอกไปในกระทู้ที่ตอบนั้นไปแล้ว...

เงินที่ได้มา ก็เป็นเงินเก็บจากค่าขนม ตั้งแต่สมัยประถมจนปัจจุบัน (ปี4)...

เงินที่ได้จากญาติผู้ใหญ่ในปีใหม่ของทุกๆปี... เราก็ไม่เคยใช้เลย เก็บเข้าบัญชีมาตลอด

ตอน ม.ปลาย ก็เริ่มมีทำงานพิเศษเล็กๆน้อยๆ ตอนปิดเทอม... อาศัยว่าภาษาใช้ได้ ก็รับงานแปลเล็กๆน้อยๆตลอด

เงินที่ได้ ก็เก็บใส่บัญชีมาเรื่อยๆ

พอเข้าปี1 ก็เริ่มทำงานเป็นติวเตอร์ สอนพิเศษ... (งานแปลตอนนั้นก็ยังรับบ้าง ก็รับงานใหญ่ๆยากๆได้มากขึ้น)

รับจ๊อบสอนได้สัก 2 ปี ก็เริ่มเห็นแนวทาง... ก็เลยเปิดสถาบันติวเตอร์ และจัดหาติวเตอร์ ร่วมกันกับเพื่อน 5 คน

รายได้ตรงนี้ก็พอสมควร... แต่งานแปลก็เลิกไป เพราะไม่มีเวลาเลยค่ะ เรียนหนักด้วย

 

รวมทั้งหมดที่ว่ามา ก็เป็นเงินราวๆ เจ็ดแสนบาท...

และอีก สองแสน เน็ตๆ มาจาก คุณพ่อคุณแม่ สมทบให้ เป็นเงินก้อน เพราะจะเรียน จบ ป.ตรี แล้ว 

 

 

ก็ถือว่า เรามาแชร์วิธีการคิด วิธีการออมเงินแล้วกันนะคะ...

 

 

เอาล่ะค่ะ~!! ทีนี้ มาว่ากันถึงวิธีเก็บเงินของเราดีกว่า.... มีแค่ 3 ข้อ... ง่ายๆ(หร๋าาา??)ค่ะ~!!

 

เริ่มที่ ข้อแรกกก....

 

 

1. รู้จัก "แบ่ง" เงิน

 

หลักการเบสิคที่ทุกคนรู้.... พูดง่าย ทำยาก

 

หลักการนี้ เราเรียนรู้มาจากคุณพ่อ (โดนคุณพ่อฝังหัวมา 555) ตั้งแต่เราเด็กๆเลยค่ะ...

ทุกเดือน คุณพ่อจะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ มากน้อย ก็ตามประเด็นการใช้เงินแต่ละช่วง

 

ขออนุญาตแจกแจง เผื่อเป็นแนวทางให้คุณพี่ๆสาวๆที่ทำงานมีเงินเดือนแล้ว แล้วกันนะคะ

 

เงินที่คุณพ่อให้คุณย่า ให้ทุกเดือน... ส่วนนึง 

เงินที่คุณพ่อให้คุณแม่และให้เราทุกเดิือน... ส่วนนึง (เมื่อก่อน ตอนที่แม่ทำงาน พ่อก็ไม่ได้ให้แม่ค่ะ)

เงินที่ไว้ใช้จ่ายในครอบครัวประจำแต่ละเดือน.... ส่วนนึง

เงินเก็บ ที่เก็บเผื่อเป็นทุนการศึกษาให้เรา... ส่วนนึง

เงินเก็บส่วนตัวของคุณพ่อเอง... ส่วนนึง (ส่วนนี้รวมไปถึงเงินเก็บที่เอาไว้ใช้ลงทุน ซื้อหุ้นซื้อกองทุนอะไรต่างๆด้วย)

เงินที่เก็บไว้ ไปเที่ยว... ส่วนนึง (บ้านเราเป็นบ้านชอบเที่ยวค่ะ เที่ยวในประเทศบ่อย และไป ตปท. ราวๆสองปีครั้ง)

 

หลักๆที่คุณพ่อเก็บประจำก็ประมาณนี้...

ถ้าช่วงไหนมีโครงการ เช่น จะซื้อรถ... นั่นก็จะเป็นอีกส่วนที่ต้องเก็บเพิ่มขึ้นมา

โดยที่เงินออมส่วนอื่น ก็ต้องลดลงไป.... ตามอัตราส่วน (ส่วนมากก็จะเป็น เงินสำหรับไปเที่ยว ค่ะที่ลดไป)

 

 

และส่วนตัว การแบ่งของเรา... เผื่อน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่ยังศึกษาอยู่นะคะ

 

เมื่อก่อน ตอนเด็กๆ แบบ ประถม-ม.ต้น ที่เรายังไม่มีรายได้เอง... เราไม่แบ่งค่ะ (ไม่มีอะไรให้แบ่ง)

แต่เราจะใช้เงินน้อยมาก... เรียกว่า ประหยัดแต่เด็ก ((ตอนเด็กประหยัด ตอนนี้ไม่ค่อยแระ 5555 :"p))

เพราะเงินที่เราจะเก็บได้ มีแค่เงินพิเศษที่ได้ตอนปีใหม่ กับเงินค่าขนมที่เหลือเท่านั้น

เงินพิเศษ ที่ได้ตอนปีใหม่ ตอนวันเกิด... ก็เยอะอยู่ค่ะ...

ส่วนเงินค่าขนมที่เหลือ ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ 5555

แต่ตอนนั้น ก็จำได้ว่า เราไม่ซื้อของกระจุกกระจิก ไม่ใช้อะไรฟุ่มเฟือยเลย...

ใช้แค่กินข้าว กินขนมในโรงเรียนอย่างเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็เก็บหมด

 

พอ ม.ปลาย เริ่มมีรายได้พิเศษตอนปิดเทอม... รายได้ที่ได้พิเศษพวกนั้น เราก็ไม่ใช้เลยค่ะ

ไม่ว่าจะทำงานที่ร้านหนังสือตอนปิดเทอม,, รับจ๊อบแปลงาน ฯลฯ ...เงินที่ได้จากตรงนั้น ก็เก็บตลอด

แต่เงินค่าขนมรายเดือนที่ได้จากคุณพ่อ ก็เริ่มใช้เยอะขึ้น 5555

เพราะถือว่า หาเงินเองได้ มีเงินเก็บแล้ว... เงินที่พ่อให้ ก็ใช้เท่าที่อยาก... แต่ก็ยังพยายามให้เหลือๆบ้างทุกเดือนค่ะ

แบบว่า เงินที่หาเอง ก็เก็บไป เงินที่พ่อให้ก็ใช้กินปกติ และถ้านานๆทีอยากซื้ออะไรสวยๆพิเศษๆก็เริ่มซื้อบ้าง

 

พอเข้ามหาลัย ทีนี้เริ่มทำงานได้หลากหลายขึ้น... สอนพิเศษเอย เปิดสถาบันติวเตอร์กับเพื่อนเอย รายได้เริ่มเยอะ

เงินเข้าเยอะ ก็สามารถใช้ได้เยอะขึ้นบ้าง ตามอัตราส่วน...

แต่ที่สำคัญ เงินเก็บ ก็ต้องเยอะขึ้นด้วยนะคะ~!! ไม่ใช่ เงินเข้าเยอะ เงินออกเยอะ เงินเก็บไม่เยอะตาม อันนี้ไม่ได้

 

พอเงินเข้าเยอะ.... ตอนนี้เราก็เริ่ม "แบ่งเงิน" ตามทฤษฎีคุณพ่อบ้าง

 

เงินที่คุณพ่อให้ค่าขนมรายเดือน... 10% เก็บเข้าบัญชีเงินออมไปเลย ที่เหลืออยากใช้อะไรก็ใช้ อยากกินอะไรก็กิน

เงินที่หามาได้เองพิเศษ... ก็เก็บ โดยแบ่งเข้าหลายบัญชี เป็นส่วนๆ

#1. เก็บไว้ เพื่อใช้เวลาไปเที่ยว (อย่างที่บอก บ้านเราชอบเที่ยว ทีนี้เราหาเงินได้เอง เราก็ช่วยพ่อแม่ออกบ้าง)

#2. เก็บไว้ เก็บตายไปเลย ไม่ถอน ไม่แตะต้อง (อันนี้รวมกับ 10% จากเงินที่พ่อให้รายเดือนที่บอกเมื่อกี้)

#3. เก็บไว้ แต่เก็บแบบเผื่อกดออกมาใช้ได้ยามฉุกเฉิน หรือเอาออกมาเป็นเงินไว้ลงทุนธุรกิจอะไรเพิ่มเติม

#4. ส่วนสุดท้าย เก็บสะสม เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ๆที่อยากได้ (เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม มือถือ ฯลฯ)

 

เงินเก้าแสน ที่เราบอก... คือบวกของยอดเบอร์ #2 กับ #3 ค่ะ...

เพราะข้อ #4 มันไม่ใช่เงินออมจริงๆ แต่เป็นเงินที่เก็บไว้เพื่อใช้ ให้รางวัลตัวเอง นานๆที 

ส่วนข้อ #1 ที่เก็บไว้ไปเที่ยวช่วยพ่อแม่ออก มันก็ไม่ได้เยอะอะไรหรอกค่ะ...

เพราะไปเที่ยว พ่อแม่เค้าก็ไม่ได้หวังจะให้เราช่วยออกอะไรมากมาย...

เค้าก็เหมือนยังถือว่าเราก็ยังเรียนไม่จบ ยังเด็กอยู่ เค้าออกให้ได้

แต่เราก็ช่วยแบบ ออกค่าอาหารบางมื้อ,, ของฝากอะไรก็ออกเงินซื้อเอง ไม่รบกวนเงินพ่อแม่ อะไรประมาณนั้น

 

 

เฮ้อออ แค่ข้อหนึ่งก็ยืดยาว.... แต่ยังค่ะ (เรา)ยังไม่เหนื่อย~!! 5555

(ไม่ถามคนอ่านเลยว่าเบื่อกันหรือเปล่า 

)

 

ไปต่อกันที่ ข้อสอง เลยก๊าบบบ~!!!!

 

ข้อสองนี้ เป็นข้อเล็กๆ ต่อยอดจากข้อหนึ่ง... ทำได้ง่ายๆค่ะ ^^"

 

 

2. เปิด หลายๆบัญชี และ ลงทุนกับบางอย่าง~!!

 

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วในข้อหนึ่ง... ว่าเราแยกเงินเก็บเป็นส่วนๆ... เก็บในหลายๆบัญชี...

 

อันนี้ ไม่รู้สิ... ไม่รู้ว่า ถ้าคิดตามหลักการเงินจริงๆ มันอาจจะไม่ถูกต้องนัก...

เพราะการแยกหลายบัญชี ทำให้เงินต้น(ในแต่ละบัญชี)น้อยลง... ทำให้ได้ดอกเบี้ยน้อยตาม (รึปล่าว?)

 

แต่ส่วนตัวเรา เราจำเป็นต้องแยกค่ะ...

อย่างน้อยก็คือแยก เงินส่วนที่เก็บ แบบเก็บตาย ไม่แตะต้อง ออกไปต่างหาก

เพราะเราเคย... เมื่อก่อน เราไม่ได้แยกเก็บ... แล้วบางเดือน รายจ่ายมันเยอะจริง ก็กดๆๆ จนเกือบหมดแน่ะ~!!

หลังจากนั้นเลย เฮ้ย ไม่ได้แล้ว... ต้องแยกๆๆ ไม่งั้นเราเก็บเงินไม่ได้กันพอดี

หลังจากนั้น ก็เลยแยกบัญชีมาตลอด

 

สำหรับเรื่อง "ลงทุนกับอะไรบางอย่าง" ..... อันนี้ ควร ค่ะ.... แต่จะลงทุนอย่างไร ก็ตามความถนัด

 

ส่วนตัวเรา เราไม่ชอบความเสี่ยง...

พยายามศึกษาตลาดหุ้น-กองทุนอะไรต่างๆแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้จริงๆ ก็เลยไม่กล้าเล่น

 

แต่ว่า ในเงินเก็บส่วนที่ #2 ของเรา (ที่เป็นเงินตาย ไม่ถอน ไม่แตะต้อง)

เมื่อเราเก็บได้ประมาณนึงแล้ว เราก็จะเอาไป ซื้อสลาก ธกส. หรือ สลากออมสิน ค่ะ

 

สำหรับสาวๆที่ไม่รู้จัก.... มันก็เป็นเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่+การออมเงินไว้ในบัญชี

คือ เราเอาเงินไปซื้อสลาก ที่ธนาคารค่ะ... (มีธนาคาร ธกส. และ ธนาคารออมสิน ค่ะที่ทำ)

โดยที่ เงินต้นที่เราซื้อ ก็ไม่ได้เสียไปเลย แต่จะเข้าไปอยู่ในบัญชีของเรา

แถมเรายังได้สลากมาหนึ่งใบ เก็บไว้ มีโอกาสถูกรางวัลอีกต่างหาก... 

ถ้าถูกทีนึง ต่อให้แค่ถูกเลขท้าย ก็ได้มากกว่าดอกเบี้ยธนาคารปกติแล้วค่ะ~!! (เพราะดอกเบี้ยธนาคารมันช่างน้อยนิด)

และถึงไม่ถูก เงินต้นที่เราใช้ซื้อสลากก็ไม่ได้หายไปไหน... ถ้าครบกำหนด เราก็ไปถอนออกมาได้

ไม่มีความเสี่ยง และไม่เสียอะไรเลย

 

และอีกส่วนที่เราทำ และก็อยากให้สาวๆหลายคนทำ ก็คือ ทำธุรกิจค่ะ

 

ส่วนตัว เหมือนเดิม เราไม่ชอบความเสี่ยง... เราก็เลือกธุรกิจที่ความเสี่ยงน้อย ไม่ต้องลงทุนเยอะ

ผลตอบแทนจะน้อยกระจิ๊ดริดนิดหน่อย... ไม่เป็นไร ช่างมัน

(มันไม่มีจริงหรอกค่ะ ธุรกิจดีๆ ที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย แต่ผลตอบแทนเยอะน่ะ... ชีวิตมันต้องเลือก)

 

เราก็เลือกจะทำธุรกิจในวงการที่เราคลุกคลี สัมผัสมานาน... และที่สำคัญ เราชอบ

นั่นก็คือ ทำติวเตอร์เซ็นเตอร์ค่ะ.... เราชอบสอน เราสอนมานาน เราเคยเป็นนักเรียน เราเคยเป็นติวเตอร์

เราเข้าใจความต้องการของทุกๆฝ่ายในธุรกิจนี้ เราพอมองออกว่าจะเจาะตลาดยังไง จะเอาอะไรเป็นจุดขาย

เราถึงได้ทำ

 

ถ้าสาวๆอยากเริ่มทำธุรกิจ... ขอให้เริ่มจากธุรกิจเล็กๆ ในวงการที่เราถนัดนะคะ.... จะดีกว่า 

 

นอกจากนั้น เพื่อผลกำไรที่งอกเงยเพิ่มเติม... สำหรับสาวๆที่สามารถ... 

จะเอาเงินส่วนนี้ไปเล่นหุ้น ไปซื้อกองทุนอะไร ก็ตามความสามารถและตามสะดวกเลยค่ะ

 

แต่ส่วนตัวเรา ขอพอแค่สลาก ธกส. และสลากออมสินดีกว่า 5555

 

 

สุดท้าย ท้ายสุด... ข้อสาม... ข้อนี้ไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นแนวคิด

 

เป็นข้อสุดท้าย ที่ส่วนตัว เรามองว่า สำคัญที่สุด

 

 

3. ซื้อของ เกินความจำเป็น ได้... แต่ ห้าม เกิน ตัว~!!!!

 

หลักการนี้ ได้มาจากคุณแม่สุดที่รัก 

 

เป็นหลักการนึงที่ทำให้เราเก็บเงินได้เยอะ... ไปพร้อมๆกับใช้ชีวิตได้อย่างสนุกและมีความสุขด้วย

 

เราเป็นลูกคนเดียว เป็นหลานคนเดียวของคุณย่า เป็นหลานสาวคนแรกของคุณยาย

เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีพร้อมทุกอย่าง... เรียกว่า บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ

 

ยอมรับว่า เราถูกตามใจเยอะ... แต่ก็ไม่เคยถูกปล่อยให้เป็นเด็กเอาแต่ใจ

ยอมรับว่าเราได้ของเกินความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ไปมาก... แต่เราก็ไม่เคยได้ทุกอย่างที่เราอยากได้

ทั้งหมดนี้ ต้องยกเครดิตให้คุณแม่เลยค่ะ 

 

เราเคยได้พูดถึงหลักการนี้ไปในการตอบกระทู้อะไรสักอย่างเมื่อเร็วๆนี้ (จำไม่ได้จริงๆว่ากระทู้ไหน ขออภัยค่ะ)

 

สิ่งที่แม่สอนเราเสมอ... แม่บอกว่า ผู้หญิงแทบทุกคน มีของเกินความจำเป็น มันออกจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์

ตราบใดที่ มันเกินความจำเป็น แต่ไม่เกินตัว... มันก็ไม่ผิดอะไร

 

 

ถ้าเงินเก็บไม่ถึงล้าน เงินเดือนสองหมื่นกว่า

อยากได้กระเป๋าใบละแสน.... อยากขับรถคันละล้าน.... ผิด เพราะใช้เงินเกินตัว

 

ถ้าเงินเก็บเป็นสิบล้าน รายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าห้าหกแสน

อยากได้กระเป๋าใบละสี่แสน... อยากขับรถคันละสามล้าน.... เอาเลย รออะไร เงินมีไว้ใช้ค่ะ

หาเงินมาได้อย่าเอาแต่เก็บอย่างเดียว ตายไปก็เอาไปไม่ได้... ใช้ชีวิตอยู่ ต้องมีความสุขด้วย

 

แม่ไม่เคยสอนให้ใช้ชีวิตอย่างสมถะ... แต่แม่สอนให้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง (ตามแบบในหลวงของพวกเรา)

 

ถ้ายังเด็ก ยังไม่มีความจำเป็น ยังหาเงินเองไม่ได้

แล้วจะมากรีดร้อง อยากเปลี่ยนมือถือทุกปี อยากใช้เครื่องสำอางค์แพงๆ อยากใช้กระเป๋าแบรนด์เนม

อยากกินอาหารร้านหรูๆทุกมื้อ อยากทำตามแฟชันทุกอย่างโดยไม่มีสติคิดหน้าคิดหลังไม่ดูฐานะตัวเอง....

อันนี้ก็ไม่ได้... คนเรา ต้องรู้ค่าของเงิน

 

แต่ก็อย่าประหยัดเกินไป... 

ถ้ามีเงินเก็บเยอะแล้ว ถ้าเป็นถึงผู้บริหาร... ก็อย่ามาประหยัดใช้มือถือเครื่องละสองพัน แล้วลูกน้องใช้ iPhone5

ต้องหัดดูแลภาพลักษณ์ ต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ สมฐานะ

(หลักการนี้ ถ้าใครเห็นต่างก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ)

 

 

เงิน ถ้าเก็บพอแล้ว ก็ใช้บ้าง... แต่อย่าใช้ มากกว่า เก็บ

 


อย่างส่วนตัวเรา เวลาเรามีรายได้ ไม่ว่าจะเป็นที่เหลือจากรายเดือนที่พ่อให้ หรือเก็บจากรายได้พิเศษ

เราก็จะมีส่วนนึง... อย่างที่บอก... คือเก็บ เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ๆ นานๆที เป็นรางวัลให้ตัวเอง

 

โดยเราจะคำนวนเลย ว่า เรามีรายเงินเก็บต่อเดือนทั้งหมด ประมาณเดือนละเท่านี้ๆๆ

เราจะขอแบ่ง เท่านี้ๆๆ (500 บาทต่อเดือน ,, 2000 บาทต่อเดือน อะไรก็ว่าไป) ...เก็บไว้ เพื่อซื้อของที่อยากได้

พอเก็บได้ถึงยอด เราก็ซื้อ

 

อย่างก่อนหน้านี้ เราอยากได้ iPhone 5

เพราะมือถือที่เราใช้อยู่ มันใช้มานานพอสมควร... เพื่อนเรียกว่า เป็นแอนดรอยด์รุ่นบุกเบิก 55555

(samsung Omnia ค่ะ... จริงๆมันออกพร้อมๆ iPhone1... แต่เข้าไทยก่อน iPhone1 อีกค่ะ~!! เก่าใช้ได้อยู่)

 

เราก็เก็บเงินๆๆในส่วนนี้ จนถึง 32,000 บาท... แล้วก็ เนี่ยค่ะ กำลังจะไปซื้อแล้ว 

(จริงๆวันก่อนไปดูแล้ว แต่หมดทุกที่... เลยซึ้งว่า ไอโฟนมีเงินอย่างเดียว ซื้อไม่ได้... ต้องดวงดีด้วย~!! 55555)

 

หรือ อย่างเงินรายเดือนที่ได้จากคุณพ่อ....

เราก็จะเก็บแค่ 10% อย่างที่บอก.... ส่วนที่เหลือ นอกจาก 10% นั้น เราก็ใช้เต็มที่

ไปดูหนังเรื่องที่อยากดู กินกาแฟร้านที่ชอบ กินอาหารร้านที่อยากกิน ซื้อเครื่องสำอางค์ที่อยากได้

เพราะเราถือว่า เงินนี้คือเงินส่วนที่เรา "จะใช้" ....เราก็จะไม่ประหยัดกับมัน

ไม่งั้นชีวิตไม่มีความสุข... เพราะเรายังไม่ได้ปลงได้ขนาดนั้น ยังยึดติดกับวัตถุ ยังปล่อยวางไม่ได้ค่ะ 5555

 

 

*****************************

 

หลักการ วิธีคิด วิธีออมของเรา มีเท่านี้ค่ะ...

 

เป็นการออมเงินที่ เงินเก็บก็เพิ่ม ชีิวตก็มีความสุขได้ใช้ของที่อยากได้ด้วย

 

ใครมีวิธีออมเงินที่เหมือนหรือแตกต่างกับเราอย่างไร แชร์กันได้

ใครเห็นต่างในส่วนไหน เราขออภัยมา ณ ที่นี้.... และยินดีรับฟังทุกสิ่งอย่างค่ะ

 

ถ้ามีคำถาม คำแนะนำ ติชม อย่างไร... คอมเมนต์ไว้ได้ตามสบายนะคะ

จะตอบทุกคำถาม เท่าที่เรารู้เราสามารถค่ะ 


MaeMhor

MaeMhor

Beauty IG :: @destinyglamour

Personal IG :: @kamoljanok

FULL PROFILE