AHA และ BHA แตกต่างกันอย่างไร? เผื่อใครยังไม่รู้นะค่ะ ^^

2 2

ตัวหนังสืออาจจะเยอะหน่อยแต่เป็นข้อมูลดีๆที่ควรรู้ก่อนใช้ มาแชร์ให้เพื่อนๆดูกันนะค่ะ^^

 

AHA คืออะไร 
AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า alpha hydroxy acid หมายถึงสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็น กรด เป็นสารที่สกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์

 

ผลข้างเคียงของกรดเอเอชเอ 
กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูง แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการขจัดเซลล์ผิวแก่ๆ ให้หลุดลอกเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นผลให้ผิวหนังดูเรียบเนียน สดใสขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เกิดผื่นคัน และไวต่อแสงแดด(แพ้แสงแดด)ได้มากเช่นกัน บางครั้งจะทำให้เกิดรอยดำ โดยเฉพาะในผิวคนไทย ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นด้วย 

การที่ไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกสุด ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเซลล์ผิวชั้นล่างๆ รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการติดเชื้อ ต่อต้านมลภาวะ โดยเฉพาะแสงยูวี อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ทำให้มีข้อสงสัยว่า การใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อผิวหนังอย่างไร และการใช้เป็นระยะเวลานานก็ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่นอนว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แม้แต่การใช้โดยแพทย์เองก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการแพ้ แต่แพทย์จะทราบว่าเมื่อมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขอย่างไร
 
คำแนะนำในการใช้กรดเอเอชเอ 
๑. เลือกใช้เอเอชเอที่รู้ความเข้มข้นของสูตร ใช้ในระดับที่ไม่สูงจนเกิดความระคายเคือง 
๒. ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเป็นประจำทุกวัน 
๓. หากใช้แล้วเกิดระคายเคืองหรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที แล้วรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนัง 
๔. การใช้เอเอชเอต้องใช้อย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ ผิวก็จะเหมือนเดิม 
๕. สำหรับวัยสาวที่ผิวพรรณดูดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เลย

 

 

 

มาดูข้อมูลของ BHA กันบ้าง 

 

BHA

BHA คืออะไร 
BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) จากพริก ที่มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน ที่นิยมนำมาทำยาหม่อง

 

ผลข้างเคียงของบีเอชเอ 
บีเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผลเสียต่อผิวหนัง ไม่ต่างจากการใช้เอเอชเอ นั่นคือ การระคายเคือง ลอก แดง ทำให้ผิวบางลงและไวต่อ แสงแดด ซึ่งอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงด้วย อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
 
จะเห็นว่าเอเอชเอและบีเอชเอต่างก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งหากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกต้อง ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องสำอางใน บ้านเรามักไม่ค่อยบอกว่า มีส่วนผสมอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะมีความเสี่ยง ถ้าหากว่าเครื่องสำอางที่ใช้มี เอเอชเอและบีเอชเอในปริมาณสูงเกินไป

 

 

หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่ดีให้เพื่อนๆได้รู้กันนะค่ะ^^

 

 

 


 

 

 


yeenair

yeenair

^^

FULL PROFILE