ฉันจะสวย...และรวยมาก แนะนำเทคนิคเก็บเงินสำหรับสาวๆ

89 44

วันก่อน มีน้องคนนึงตั้งกระทู้เรื่องนี้ขึ้นมาทำได้คิดได้ว่า ควรจะต้องแบ่งปันเรื่องแบบนี้ สักครั้งแล้วล่ะ

 

บางครั้งเห็นคนสมัยนี้ใช้เงิน แล้วใจหายแทนจริงๆ (ป้านี่จะเผือกไรเรื่องของชาวบ้านนักก็ไม่รู้นะ ใครเค้าจะใช้อะไรยังไงมันก็เรื่องของเค้าสิ) ...จะรวยจริง รวยเล่น เป็นนักศึกษา ทำงานแล้ว หากตามเทรนกันสุดๆ ไม่ว่าใครจะเห่ออะไรใหม่ ฉันขอมีด้วยคน กินข้าวหรู ดูหนังโรงไม่เคยพลาด กาแฟแก้วละ 150 วันละแก้วเป็นอย่างน้อย มีงานลดราคาที่ไหน ฉันต้องเช็คอินที่นั่น พฤติกรรมที่ว่ามานี้ ไม่ผิดค่ะ  ถ้าหากว่า มันอยู่ในงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ถูกจัดสรรไว้แล้ว และคุณหยิบมาใช้ถูกที่ถูกทาง

 

ต้องออกตัวแรงแซงโค้งก่อนนะคะ ว่าไม่ใช่กูรู ในด้านการเงิน ไม่ใช่นักลงทุนมืออาชีพ และยังไม่ได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายการเงินที่ตัวเองวางไว้แม้แต่น้อย (ทุกวันนี้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกินข้าววันละสองร้อยบาท ยังทำได้บ้างไม่ได้บ้างเลยค่ะ 55555) แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยผ่านยุคมืดเรื่องเงินๆทองๆ มาก่อน ถึงแม้ จะไม่เลวร้ายขนาดเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องผ่อนบัตรเครดิต เอาใบโน้นมาโปะใบนี้ เจ้าหนี้โทรทวงไม่เว้นวันแบบที่เคยได้ยินมา แต่มันก็เป็นช่วงชีวิตที่หลายๆ คนอาจกำลังเป็นอยู่ คือ

 

ใช้เงินชักหน้าไม่ถึงหลัง

ไม่มีเงินเก็บ เมื่อไหร่ที่พอจะเก็บได้ มีเหตุ มีกิเลส มาทำให้ต้องใช้เงินอยู่ตลอด

เงินเดือนออกต้องเอามาจ่ายค่าบัตรเครดิตไปกว่าครึ่ง เผลอๆ บางเดือน จ่ายบัตรเครดิตแล้วเงินสดไม่พอใช้

เฝ้านับวันรอจะได้เงิน เพื่อต่อชีวิตให้อยู๋ถึงสิ้นเดือน

แต่ถึงจะมีชีวิตแบบนี้ เราก็ยังไม่รู้ตัว ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ต่อไป รู้สึกเหมือนมีความสุขเวลาได้ซื้อของที่อยากได้

มีรายได้หลายทางก็หมุนเอาเงินตรงโน้นมาโปะตรงนี้ คิดว่า หาเงินได้เยอะ ก็มีสิทธิ์ที่จะใช้เยอะ ให้รางวัลกับตัวเอง หรือ ทำให้หายเหนื่อย จริงๆ แล้ว....หายนะรออยู่ข้างหน้าชัดๆ 

 

พอมีลูก ก็ปรับพฤติกรรมไปเยอะพอสมควร ไม่ซื้อของตัวเอง แต่หาเรื่องซื้อของให้ลูกเยอะเวอร์อยู่ร่ำไป (สรุปไม่ได้ดีขึ้นเลย ปรับตรงไหน 5555)

จากแต่ก่อนวันไหนไม่ได้ซื้อเครื่องสำอาง หรือเสื้อผ้า แวะตลาดนัด พอมีลูกเปลี่ยนเป็นโฉบกะบะลดราคาสักนิดซื้อเสื้อผ้า ห้างไหนลดราคา เว็บไหนขายของเล่น วันๆ ทำงานอยู่หน้าจอก็เสียเงินได้ วันไหนไม่เสียเงินเหมือนชีวิตขาดหายอะไรไป ไม่ได้คลายเครียด -__-''

 

บางครั้งทำเหมือนเป็นคนดี ยังไม่ซื้อของชิ้นนั้นๆ ทันที กลับมาบ้านได้แต่เฝ้าคิดถึง พยายามหาเหตุผล (คิดเอาเอง)ว่าเป็นสิ่งจำเป็น สุดท้ายอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับไปซื้ออยู่ดี (เพื่อไร??) คิดๆ ไปแล้ว เราก็เหมือนเด็กๆ ที่อยากได้ของเล่นชิ้นนึงมากๆ พอได้มาแล้ว เล่นไม่นานก็เบื่อ ยังไงยังงั้นเลย จัดบ้านเมื่อไหร่ จะได้พบกับเสื้อผ้าที่ซื้อมาแล้วยังอยู่ในถุง หรือของใช้ เครื่องประดับ เครื่องสำอางที่ซื้อมาแล้ว เก็บจนลืมใช้ อะนั่นแหน่....เป็นเหมือนกันใช่ไม๊ ไม่กล้าคำนวณ มูลค่าของทั้งหมดที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ใช้ไม่หมด ใช้แป๊บเดียวแล้วลืม รวมๆ กันแล้วมูลค่าสักเท่าไหร่

 

ทั้งหมดที่กล่าวอย่างยาว เพื่อจะบอกว่า เราก็เป็นคนปรกติธรรมดาคนนึง ที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องการเงิน แถมยังมีนิสัยการใช้เงิน และ ทัศนคติเรื่องเงินแบบผิดๆ แท้ๆเลยเชียว จนมาวันนึงค่ะ เราคิดว่าจะต้องสอนลูกให้รู้จักวิธีการใช้เงิน และคุณค่าของเงิน เริ่มหาหนังสือการเงินมาอ่าน เริ่มสนใจดูแล ใส่ใจเงินตัวเองมากขึ้น เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี และพอจะเข้าใจความหมายของการออมเงิน ว่าจริงๆ แล้ว การออมเงิน ไม่ใช่เรื่องของเงินแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งกลับ เรื่องของการนับถือคุณค่าในตัวเอง

 

เพื่อให้เราออมเงินสำเร็จ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองในบางส่วน เราอาจจะไม่ได้กินข้าวหรูๆ ทุกมื้อ ไม่ได้ซื้อของทุกครั้งที่อยากได้ แต่เมื่อปรับเปลี่ยนแล้ว เห็นเงินออมงอกเงยขึ้นมา มันทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ การแลกเงินกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวด้วยการช็อบปิ้ง ซื้อของ ใช้เงินซื้อความสุขอย่างไม่มีลิมิตเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตนั้น เทียบไม่ได้เลย กับความสุขที่เกิดจากการนับถือตัวเองค่ะ

เมื่อเราว่างเปล่า เราจึงมักเติมเต็มตัวเองด้วยวัตถุ ที่ไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิต” คำพูด ของ Suse Orman ในหนังสือ เงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน

พอจะมีคำแนะนำที่คั้นออกมาจากหนังสือการเงินเล่มต่างๆ และอยากเอามาแบ่งปัน จุดประกายให้คนอื่นบ้าง

 

เราขอเสนออออ......5 วิธีเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราพ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการเงิน และเป็นเศรษฐีนีน้อยๆ ได้ ตามที่เขาว่าไว้ ออมก่อน รวยกว่า!!! (ถึง 30 จะยังแจ๋ว ไม่สายเกินไป แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่ารอให้ถึง  30 เลยนะคะ)

 

1. ปรับทัศนคติเรื่องเงินใหม่ แทนที่จะคิดว่า เรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องยุ่งยากกกกกก เข้าใจยากกก....เป็นภาระ คนอ่อนด้อยเลขอย่างฉันไม่มีวันเข้าใจเรื่องยากแบบนี้ ได้หรอก

 

อันที่จริงแล้ว ในฐานะผู้หญิง ผู้ซึ่งแบกความรับผิดชอบไว้สารพัดหน้าที่ เป็นทั้ง ลูก ทั้งแม่ ทั้งเพื่อน ทั้งแฟน เจ้านาย ลูกน้อง...เราต้องดูแลความสัมพันธ์ต่างๆ รอบตัวมากมาย เราเป็นห่วงแฟน เป็นห่วงลูก เป็นห่วงพ่อแม่ ดูแลทุกคนรอบตัวเราให้อยู่ดีมีสุข แต่เรากลับเพิกเฉยที่จะรับรู้ เรื่องเงินของตัวเอง

ถ้าอย่างนั้นเรามาลองคิดเสียว่า เงิน ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องดูแลให้ดีๆ เอาใจใส่และเป็นห่วงพอๆ กับ พ่อแม่พี่น้อง แฟนสามี ลูกของเราดีไหมคะ มันไม่ใช่ภาระที่ยากลำบากเกินกว่าจะทำได้ เพราะอะไรน่ะหรอ......เพราะเวลาเราลำบาก เวลาเราต้องการความช่วยเหลือ เวลาเราป่วยไข้ เวลาเรามีความทุกข์ เวลาเราหมดทนทาง เมื่อเวลาเราหมดแรงทำงานแล้ว เงิน ที่เราสู้อุตส่าห์ดูแลมา เค้าจะมาช่วยดูแลเราแทนค่ะ เค้าหยิบยื่นโอกาสที่มากกว่า ทำให้คุณมีทางเลือกมากขึ้น ไม่ต้องเป็นยายแก่เหงาหงอย รอคอยความเมตตาจากลูกหลาน เราจะเป็นผู้หญิงที่มีอายุเพิ่มขึ้น พร้อมประสบการณ์และคุณค่าที่มากขึ้นเช่นกัน คิดแบบนี้แล้ว สบายใจขึ้นไม๊ (เป็นคำแนะนำของโค๊ชการเงินระดับโลก อย่างซูซี่ ออร์มานเลยเชียวนะ)

เรื่องที่เราคิดว่า ยาก ถ้าเราพยายามเข้าใจ ลบอคติออกไป อาจจะไม่ยากอย่างที่คิดนะคะ จงจำไว้ว่า 

สิ่งใดก็ตาม จะน่าสนใจ ก็ต่อเมื่อ เราให้ความสนใจกับมัน

 

2. ลบสมการที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆ ทิ้งไปให้หมดราบคาบ....ใครก็ไม่รู้สอนเราต่อๆ กันมาว่า

รายรับ - รายจ่าย = เงินออม

ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ชาตินี้ไม่มีทางมีเงินเก็บค่ะ !!!!

ลืมข้างบนไปซะ แล้ว memoryสมการนี้ลงไปแทนที่นะจ๊ะสาวๆ

 

รายรับ-เงินออม รายจ่าย


 

เหตุง่ายๆ คือ เมื่อไหร่ที่เราออมหลังจากใช้จ่ายแล้ว...ด้วยจิตใต้สำนึกที่ผลักไสเงินออกไปจากตัวเรา (แน่นอนทุกคนที่วันนี้ยังไม่รวยโดนฝังความเชื่อแบบนี้ต่อๆ กันมา ไม่อย่างนั้นรวยกันไปหมดแล้ว 555) และ ความกิเลสสุดแสนจะหนาพอกพูนของเรา มันจะทำให้เงินหนีหายไปจากสมุดบัญชีตลอดเวลา ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน รับรอง รายจ่ายจะมากตามมาเท่านั้น เป็นประสบการณ์ตรงที่เจอมากับตัว หาได้เท่าไหร่ไม่พอ

การฝากความหวังของการออมเงินไว้ว่า เดี๋ยวเอาไว้หาเงินได้เยอะกว่านี้ก่อนแล้วค่อยเก็บนะ ตอนนี้รายได้ยังน้อยอยู่ ใช้ยังไม่ค่อยจะพอเลย จะเอาที่ไหนมาเก็บ เป็นข้ออ้าง ความหวังลมๆแล้งๆ
ลองคิดเล่นๆ ดูว่า เรียนจบใหม่ๆ ได้เงินมาน้อยก็จริงแต่ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็ยังไม่เยอะมากใช่ไหมคะ บางคนยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ลูกก็ยังไม่มี ค่าน้ำ ค่าไฟ อาจจะไม่ต้องจ่ายเอง บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ หรือถ้าเรียนอยู่ ค่าขนมที่ได้มานี่ ไว้ใช้จ่ายเฉพาะเรื่องส่วนตัวล้วนๆ ถ้าเราใช้เงินคนเดียวตอนนี้ยังไม่พอ ถึงแม้เมื่อเราโตขึ้น รายได้มากขึ้นก็จริง แต่รายจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ค่าประกันชีวิตเพื่อหักภาษี ซื้อกองทุน ประกันรถยนต์ ค่าฟุ่มเฟื่อยซื้อฐานะทางสังคม ค่ากินอยู่ ที่ไม่ใช่ของคนคนเดียวอีกต่อไป ถามจริงๆ เถอะว่า ถ้าเราไม่ใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่ตอนนี้แล้ว..แต่งงานมีสามีไป จะรอให้สามีมาจัดการให้เราแม้กระทั่งเรื่องเงินทองของเราเอง หรอคะ

 

ส่วนสาวๆคนไหนคิดในใจว่า จะเก็บทำไมให้ยุ่งยาก รอหาสามีรวยสิจ๊ะ....อะอะ...ช้าก่อน!! รู้ใช่ไม๊ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน

หรืออยากจะรอบทเรียนสอนใจให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงจะซาบซึ้ง ถ้าเรารอหวังพึ่งผู้ชาย ลองคิดดูว่า ถ้าสามีไปมีกิ๊ก แล้วเกิดอยากจะแบ่งสมบัติขึ้นมา คุณปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในการดูแลของคนอื่นหมด จะเหลืออะไร...ถ้าเป็น working woman ก็ยังไม่สิ้นไร้ไม้ตรอกนัก แต่ถ้าสละชีวิตทำงานมาเป็นแม่บ้าน รอเงินจากสามี อยู่ดีๆ วันดีคืนดี ใครคนนึง เส้นเลือดในสมองแตก มะเร็งรับประทาน เดินไม่ข้ามสะพานลอย นั่งกินข้าวอยู่ข้างทาง รถพุ่งมาบนฟุตบาท หรือเป็นลูกหลงแว๊นซ์ตีกัน

กรณีไม่ทิ้งภาระหนี้สินไว้ก็ดีไป ลูกน้อยใครจะดูแล ค่าหมอค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ไหนจะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวอีก...แค่คิดก็เพลีย


รายได้ เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะหน้าที่การงาน เจ้านาย ลูกค้า ดังนั้น การจะหารายได้เพิ่ม เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ง่ายๆ (แต่ไม่ได้บอกว่ายากนะ)

รายจ่าย เป็นปัจจัยภายในล้วนๆ อยู่ที่ตัวเราเองค่ะ เราสามารถควบคุมเงินที่ออกจากกระเป๋าได้ 100% ว่าสิ่งไหนสมควรจ่าย หรือไม่สมควร ดังนั้น ก่อนจะอ้างว่า รอรายได้เพิ่มขึ้น ระหว่างเพิ่มรายได้....ลดรายจ่าย แบบไหนง่ายกว่ากัน

 

เราสามารถเริ่มดูแลรายจ่ายก่อน เพราะ ทำได้เลยไม่ต้องรอ

3. เข้าใจแหล่งที่มาของรายได้ และรายจ่ายตัวเอง ด้วยการ จดบันทึก !!!

 

 อะ..อะ...อย่าอ้างว่า ไม่มีเวลา ไม่รู้จะจดยังไง  ต้องทำให้เป็นนิสัยทุกวัน เหมือนการอาบน้ำ แปรงฟันตอนเช้า หรือก่อนเข้านอน  แต่ก่อน เราใช้จดลงสมุดค่ะ โดยเอาสมุดบันทึก ไว้ในรถ ทุกครั้งที่ขึ้นรถ เช้า สาย บ่ายค่ำ จะคว้ามาจดก่อน  แล้วค่อยออกรถ หรือลงจากรถ หรือถ้าสาวๆ คนไหนใช้ smartphone มี app สำหรับจดบันทึกรายรับรายจ่ายให้เลือกใช้มากมาย สามารถ export ทำกราฟ ทำตาราง แยกแยะค่าใช้จ่าย จ่ายด้วยบัตร หรือเงินสด แยกบัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัว บัญชีธุรกิจ subcategories ไหนบ้าง เสื้อผ้า self improvement เครื่องสำอาง สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมายแยกย่อยได้ตามใจปรารถนา มีช่วยได้เยอะมากกกกก

 

ยกตัวอย่างให้ดู เราใช้แอ๊บนี้ในการจดบันทึกค่าใช้จ่าย โดย 3เดือนแรก ใช้สะบั้นหั่นแหลกเหมือนปกติ จากนั้น ลองเอามาแยกประเภทค่าใช้จ่ายดูว่า ปกติแล้ว เราเสียเงินไปกับสิ่งใด มากน้อยแค่ไหน อันไหนจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ อันไหนเป็นค่าใช้จ่ายขาจร อันไหนเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สามารถตัดทิ้งได้   ถึงกับผงะไปเหมือนกัน เพราะคิดว่าเป็นคนกินแพงๆ เกือบทุกมื้อ ทุกวัน ค่ากินน่าจะเยอะมาก ที่ไหนได้...อันที่จริง ซื้อเสื้อผ้าเดือนนึง เกือบหมื่น แล้วสุดท้ายตกอยู่ในสภาวะเหมือนกับว่า ชั้นไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ใส่แต่ชุดเดิมๆ แต่ถ้ามาดูที่บ้าน เสื้อผ้าล้นตู้ ไม่มีที่จะเก็บ กลับไปพิจารณาสาเหตจริงจัง พบว่า เพราะขี้เกียจรีดผ้านั่นเอง บัดซบจริงไรจริง 55555

 

 

(บ้านรก เป็นสาเหตหนึ่งของความเครียดโดยเราไม่รู้ตัว เครียดเพราะหาของไม่เจอ ซื้อเยอะจัด ไม่มีที่จะเก็บ ต้องหาเรื่องไปซื้อชั้นวางของ ซื้อลิ้นชัก ซื้อกล่องมาเก็บ แต่พอหยิบออกมาใช้ ก็ไม่เก็บเข้าที่ วางแหมะไว้ แล้วก็รู้สึกว่าบ้านรก ต้องซื้อลังมาเก็บอีก หรือ พอเครียดจากอะไรก็ตาม ก็ออกไปช็อปปิ้ง ช็อบให้หายเครียด เสร็จแล้วก็ไม่ได้ดูดำดูดี ของที่ช็อบมาเท่าไหร่นะ แค่ขอให้ออกจากบ้าน เสียเงิน หายเครียดละ วงจรอุบาทว์มากกกกกกก)

 

 

อะ อะ...พอเราทราบที่มาที่ไปของเงินแบบนี้แล้ว เราจะได้หาทางแก้ไขได้ถูกจุดค่ะ...ปัญหาจะถูกแก้ ก็ต่อเมื่อเราตระหนักและมองเห็นซะก่อนว่ามันเป็นปัญหา ทำความเข้าใจสาเหต และ ตรงเข้าไปเยียวยา

 

4.จัดสรร เงินออม และกำหนด รายจ่ายประจำเดือน

หลังจากเรารู้ รายรับ และรายจ่ายของเราทั้งหมดแล้ว เรามาแยกแยะดูสัดส่วน ของรายจ่าย ว่าอันไหนจำเป็น อันไหนสามารถกำหนดให้อยู่ในขอบเขตได้ เช่น ช็อปปิ้งแต่ละเดือน กินข้าวนอกบ้าน ดูหนัง ซื้อของเข้าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเน็ท ค่าโทรศัพท์ เราไม่จำเป็นต้องเก็บเงินจนขี้เกลือขึ้น เครียดมาก เดี๋ยวจะตายซะก่อนได้ใช้เงินที่เก็บนะจ๊ะ เงินออมส่วนหนึ่ง ต้องเก็บไว้สำหรับหาความสุขที่เราพึงพอใจ จะเที่ยว จะช็อปปิ้ง จะซื้อแบรนด์เนม เราสามารถแบ่งเงินออมเป็นบัญชีๆ (สัดส่วนเท่าไหร่เดี๋ยวมาว่ากันภาค 2 นะคะ)

 

สำหรับคนที่เริ่มต้น ลองเก็บเงินสักเดือนละ  10% ก่อนค่ะ หรือถ้าดูๆ แล้วรายจ่ายที่เราจดบันทึกไว้ มันเหลวไหล ไร้สาระมาก สามารถหักออกไปได้อีก จะเป็น  15-20 %  ก็ตามสะดวก แค่เริ่มต้น เราอย่าเพิ่งหักโหมมาก เดี๋ยวจะหมดกำลังใจไปซะก่อน

เงินเดือนออกปุ๊บ หักบัญชีอัตโนมัติเข้าอีกบัญชีไปเลย (ห้ามทำบัตรเอทีเอ็มบัญชีนี้เด็ดขาด!!!!)   ถ้าเป็นไปได้ พยายามแยกบัญชีออกจากกันให้ชัดเจน (จริงๆ มีสมุดบัญชีเยอะกว่านี้อีกนะเนี่ย แฮร่)

 

ถ้าใครมีบัตรเครดิต  พยายามลดปริมาณบัตรเครดิตลง (เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ครั้งละ  1-2 ใบก็พอมั้ง เยอะมากหนักกระเป๋าสตางค์อีก)  บอกตัวเองว่า เราจะไม่ใช้เงินล่วงหน้าที่ยังไม่อยู่ในมือ สิ่งที่หวังผลได้จากการใช้บัตรเครดิตคือแต้มจากการรูดบัตร หรือส่วนลดเวลาใช้บัตรซื้อสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ใช้เงินล่วงหน้า จำไว้นะคะ ทุกๆ ครั้งที่จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ให้เอาเงินสด เท่าจำนวนเงินที่ใช้ไป หยอดลงกระปุก หรือจะใช้วิธีเปิดบัญชีอีกเล่ม แยกไว้ต่างหากไว้สำหรับจ่ายบัตรเครดิตเลยก็ได้  แล้วโอนเงินใส่เข้าไปหลังจากที่เรารูดปรื๊ดๆๆ  อย่าคิดว่ายุ่งยากค่ะ นี่เป็นเกมส์ สนุกๆ

 

โคชการเงินคนดัง David Bach แบ่งนิสัยการใช้เงิน ไว้ 5 แบบ คือ

ใช้เท่าที่หาได้  -> จน

ใช้มากกว่าที่หาได้  --> ล้มละลาย

ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้ ออม 10% -> ชนชั้นกลาง

ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้ ออม 20-30% --> รวย

ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้ ออม  50%--> เศรษฐี

 

เงินออมก้อนแรก จะไปทำอะไรดี ??

ห้ามดีใจ กระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าเก็บเงินได้แล้ว ขอเอามาใช้สักหน่อย ตีมือเผียะๆๆๆ ห้ามถอนออกไปซื้อของตามใจชอบเด็ดขาด!!! ก้อนแรก จะเป็นเงินออมยามฉุกเฉิน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น  สามารถถอนออกมาใช้ได้ทันที เช่น ตกงาน รถชน บาดเจ็บ ขาหักขาเป๋ ไปทำงานไม่ได้ หยอดน้ำข้าวต้ม ก้อนนี้ จะเท่ากับ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของเราต่อเดือน x 6 เดือน หรือ 8 เดือน ตามสะดวก หลังจากเราออมเงินก้อนนี้ได้แล้ว...จะมีก้อนอื่นๆ ตามมา

 

ในส่วนของเคล็ดลับการเก็บตังค์เพิ่มเติม ไว้มาต่อภาค 2 นะจ๊ะ..ถ้าสาวๆ สนใจ ไว้จะมาเจาะลึกให้ฟัง หรือจะไปหาหนังสือการเงินอ่านเอาเองก็ได้นะคะ 

 

5. ศึกษาเรื่องการลงทุน และความเสี่ยง

นำเงินออมที่ได้ ไปลงทุน สร้างผลตอบแทน ให้เงินทำงานให้เราค่ะ ตรงนี้ ต้องค่อยๆศึกษาไปตามความถนัด แต่ ทุกคนต้องศึกษา มีความรู้ขั้นพื้นฐานบ้างก็ยังดี แบบไหนเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย  ยังไม่ชำนาญ ก็ลงทุนในส่วนที่ผลตอบแทนต่ำหน่อย แต่ปลอดภัย

 


มีหนังสือที่อยากจะแนะนำ สำหรับทุกคน  เป็นหนังสือสอนเรื่องเงินที่ไม่น่ากลัว ไม่ใช้ศัพท์ยาก เข้าใจสถานะภาพคนอ่านที่เป็นคนธรรมดาๆ อ่านอะไรยากๆ ไม่ค่อยเข้าใจ (ถ้าเข้าใจกันได้ง่ายทุกคนคงรวยไปนานแล้ว) อย่างเช่นเล่มนี้

 

หรือเล่มนี้ เป็นการ์ตูน อ่านง่ายๆ ทำตามได้ไม่ยาก และตรงกับนิสัยเราเป๊ะ!!

 

 

success is habits ....สร้างความสำเร็จให้เป็นนิสัย เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ออมเงินด้วยเศษเหรียญ แบ้งค์ย่อย แบ้งค์ห้าสิบ...พร้อมไปกับการหารายได้ให้มากขึ้น ศึกษาวิธีการลงทุน รับรอง เศรษฐีนีไปไหนไม่ไกล...โฮะๆๆๆๆ

 

 อ่านจบแล้ว เริ่มบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวัน และไปเปิดบัญชีธนาคารรอไว้เลยนะจ๊ะ !!!!


(กุศลผลบุญครั้งนี้ ขอให้ช่วยส่งเสริมให้อิชั้นรวยยิ่งๆ ขึ้นไป ซ๊าธุ 5555555)

 


กุ๊ดจัง

กุ๊ดจัง

FULL PROFILE