[REVIEW] แป้งผสมรองพื้น Canmake UV Silky Fit Foundation

Canmake UV Silky Fit Foundation # 01 ( SPF30/PA++ )
ราคา 1000 Yen ( จากในเว็บญี่ปุ่น )
ราคาในห้างไทย 695 บาท ( ถ้าจำไม่ผิดนะคะ )
ราคาในอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ 490-600 กว่าบาท

เปิดมาด้านในจะเป็นแบบนี้ค่ะ ด้านนึงเป็นช่องใส่พัฟ ด้านนึงเป็นที่ใส่ Refill แป้ง
และมีกระจกพร้อมในตัว สีแป้งเบอร์ 1 จะขาวประมาณนี้ เพราะแป้งเกาหลีหรือญี่ปุ่นสีจะค่อนข้าง
ขาวกว่าแบรนด์ทางฝั่งอเมริกา และมีเฉดสีให้เลือกน้อย พัฟที่ให้มาใช้ดีกว่าพัฟของ Cezanne ค่ะ
ใช้แล้วพัฟไม่ร่วงเป็นเศษขุยๆ ทาติดง่าย

เนื้อแป้งใกล้ๆเป็นแบบนี้ เนื้อแป้งจะค่อนข้างละเอียดและอัดแข็งมาอย่างดี
ซึ่งในตอนแรกออนลองใช้คู่กับครีมกันแดดจำพวกที่ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ ผลปรากฏว่า
เนื้อแป้งไม่ติดหน้า ไม่กลืนไปกับหน้า เป็นคราบๆ แล้วก็หมอง มัน ระหว่างวัน หลังจากนั้นเลย
ลองเปลี่ยนกันแดดดู เป็นพวกกันแดดเนื้อมูส หรือกันแดดแบบลิขวิดธรรมดา กลายเป็นว่าเนื้อแป้งติดทน
เนียนและปกปิดในระดับนึงเลย เลยใช้มาตลอดถึงวันนี้

ลองปาดเนื้อแป้งมาให้ดู แป้งตัวนี้สีจะไม่อมชมพูมากนัก ถ้าเทียบกับแบรนด์ญี่ปุ่นเกาหลีบางแบรนด์
ซึ่งทาแล้วไม่ทำให้หน้าดูลอยหรือวอกตัดกับคอจนเกินไป

ด้านหลังของตลับจะเป็นแบบนี้
ตรงช่องใส่พัฟจะมีช่องระบายอากาศ ช่วยระบายอากาศพัฟหลังจากที่ใช้เสร็จ
ทำให้ลดการเกิดกลิ่นอับชื้น หรือลดการเกิดสิ่งสกปรกหมักหมม

ในรูปนี้ใช้ Portrait Mode ถ่าย จะได้เห็นผิวจริงๆ ชัดๆ
ใช้รองพื้น Coffret D'or รุ่น Gel foundation ลง แล้วตามด้วยแป้ง Canmake
โดยใช้แปรงคาบูกิ (หรือแปรงปุ้มปุ้ยปัด ไม่ได้ใช้พัฟทา) แป้งปกปิดค่อนข้างดี แต่จะไม่ถึง
กับเนียนสนิท ยังเห็นสิวผดๆอยู่บ้าง และมี SPF30 ช่วยด้วยในเรื่องของกันแดด

ใช้กันแดดเนื้อมูสสีเนื้อของกานต์ชนกคลีนิกลง แล้วตามด้วยแป้ง Canmake
แต่ใช้พัฟทา ไม่ได้ใช้แปรงปัด การปกปิดจะน้อยลงมานิดนึง เพราะเห็นรอยสิวแดงๆ และสิวผด

เปรียบเทียบแป้งตัวนี้กับแป้ง Cezanne (ตลับฟ้า-ตลับชมพู)
และแป้ง Beauty Credit (รุ่นผสมรองพื้น)

Canmake VS Beauty Credit = แป้ง Canmake จะปกปิดมากกว่าเล็กน้อย ควบคุมความมัน
พอๆกัน ความผ่องใกล้เคียงกัน แต่ราคาสูงกว่าเพราะเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น

Canmake VS Cezanne = แป้ง Canmake จะปกปิดน้อยกว่า Cezanne และผ่องน้อยกว่าเล็กน้อย
แต่ในเรื่องราคาแป้ง Canmake จะราคาสูงกว่าแป้ง Cezanne นิดหน่อย (Cezanne อยู่ที่ 350-400 บาท)

วิธีการลงแป้ง

ใช้พัฟ = ในกรณีที่ออนใช้พัฟ วันนั้นจะเป็นวันที่ออนไม่ได้ใช้ make-up base หรือรองพื้น
โดยจะเป็นวันที่ออนทาแต่กันแดดอย่างแล้ว แล้วใช้พัฟในการทาแป้ง เพื่อให้แป้งติดทนหน้า
มากขึ้น เพราะเราสามารถกดพัฟได้

ใช้พัฟแตะน้ำ = วิธีนี้เหมือนกับวิธีด้านบน แต่อาจจะเป็นในวันที่หน้าโทรมมาก ไม่มีรองพื้น
ไม่มี make-up base หรือวันที่ต้องออกไปลุยทั้งวัน แล้วต้องการให้แป้งติดหน้ามากขึ้น
ก็ใช้วิธีนี้โดยการเอาฟองน้ำแตะน้ำให้พอหมาด บีบฟองน้ำเพื่อความแน่ใจว่าฟองน้ำจะไม่
เปียกจนเกินไป นำฟองน้ำมาปาดแป้ง แล้วก็ทาหน้า หลังจากนั้นควรซักฟองน้ำให้สะอาด
และตากให้แห้ง

ใช้แปรงปัดแป้ง = วิธีนี้จะใช้เมื่อเวลาทา make-up base หรือรองพื้นที่หน้าแล้ว
แล้วแค่ต้องการปัดแป้งทับเบาๆ เพื่อลดความเหนียวของหน้า โดยจะใช้เป็นแปรงปัดแป้งที่
หัวใหญ่ๆ หรือแปรงคาบูกิก็ได้ แต่แปรงปัดแป้งหัวใหญ่ จะได้ลุคที่บางเบากว่า แต่แปรงคาบูกิ
จะช่วยให้แป้งติดหน้าได้มากกว่า และเนียนกว่า โดยเวลาปัดจะปัดวนๆ เพราะถ้าหาก
ทารองพื้นที่หน้ามาแล้ว แล้วยังใช้พัฟปาดอีก อาจจะทำให้ดูหนาจนเกินไป

สรุปความรู้สึกหลังการใช้ : ชอบแป้งตัวนี้ เพราะว่าทาแล้วแป้งติดหน้าครึ่งวันเลย
ในอากาศร้อนๆเหนอะๆ อย่างบางวันไม่ต้องเติมแป้งก็ได้ แค่ซับหน้าเบาๆด้วยทิชชู่ก็
กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ควบคุมความมันใช้ได้สำหรับคนผิวผสมอย่างออน ราคาไม่แพง
หาซื้อไม่ยากไม่ง่าย (ได้ทั้งในอินเตอร์เน็ต และ counter ที่ watsons หรือตามห้างบางห้าง)
ตลับไม่สวย แต่ก็ไม่น่าเกลียดพกพาง่าย ไม่เทอะทะ แต่แค่ไม่ได้น่ารักเหมือนแบรนด์ญี่ปุ่นอื่นๆ

Disclaimer : พี่ที่รู้จักกันส่งแป้งตัวนี้มาให้ลอง โดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับกับทางบริษัทหรือ Agency
นะคะ โดยที่ออนใช้จริง และความรู้สึกหลังการใช้ก็มาจากความรู้สึกที่ได้ลองเอง 100% ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นผลิตภัณฑ์แต่ละผลิตภัณฑ์อาจจะไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ
ควรจะหาข้อมูลให้ได้เยอะที่สุด และข้อมูลที่ใกล้เคียงกับตัวเองที่สุดค่ะ

ขอบคุณค่ะ