วิธีรักษารอยดำจากสิว ทำยังไงให้หาย รู้ไว้ดูแลให้ถูก | Jeban x SkinX

by

DaisyOfficial

รอยดำคืออะไร?

รอยดำมักจะเกิดตามหลังการอักเสบของผิว โดยจะทิ้งเป็นเม็ดสีเอาไว้ หรือที่เรียกว่า PIH ย่อมาจาก Postinflammatory hyperpigmentation ซึ่งการอักเสบที่มักจะเจอได้บ่อยๆ ก็คือ การอักเสบจากสิว เมื่อสิวหายแล้ว แล้วจึงทิ้งรอยดำบนใบหน้า ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรักษารอยดำให้หายไป

รอยดำเกิดจากอะไร?

รอยดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งเกิดจากสิว อาการแพ้ ระคายเคือง การใช้ครีม หรือยาบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ เมื่อหายจากการอักเสบจะมีเม็ดสีตกค้างอยู่บนผิวหนัง เกิดเป็นรอยดำ จึงควรเริ่มแก้ที่ต้นเหตุก่อนการรักษา

วิธีการรักษารอยดำจากสิว

การรักษารอยดำ ควรเริ่มต้นจากการดูแลด้วยตัวเอง คือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ที่มีสารช่วยลดเลือน หรือยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น วิตามิน C, Niacinamide , Kojic acid , Azelaic acid และ ที่จะช่วยทำให้การส่งผ่านเม็ดสีค่อยๆ ลดลง รวมถึงสารกลุ่มที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวด้านบนให้หลุดลอกออก เช่น AHA, BHA หรือ Retinoids ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง ซึ่งจะเห็นผลดีกับเม็ดสีในระดับตื้น

โดยรอยดำบางประเภทอาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วยในการรักษา โดยกลุ่มยาบางอย่างต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น

  • ไฮโดรควีโนน (Hydroquinone) ที่เป็นสารช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี การใช้แสงหรือเลเซอร์ชนิดที่กำจัดเม็ดสีเฉพาะจุด เช่น Q-switch, IPL (Intense Pulse Light) และ Picosecond laser ที่สามารถจับกับเม็ดสีเมลานิน ทำให้แตกตัว และสลายไปได้ เป็นต้น
  • การใช้กรดลอกผิวหน้า (Chemical peeling) เพื่อเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ให้เม็ดสีลดลง

สกินแคร์ที่มีส่วนผสม (ingredient) ตัวไหนที่ช่วยรักษารอยดำจากสิวได้?

มีส่วนผสมหลายชนิดด้วยกันที่ช่วยดูแลเรื่องรอยดำ

  • ส่วนผสมที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง แต่อาจต้องใช้ระยะเวลา ไม่ใช่ส่วนผสมที่เห็นผลเร็วทันตา เช่น Niacinamide หรือวิตามินบี 3, วิตามินซี, Arbutin, Kojic acid และ Azelaic acid เป็นต้น
  • สารบางชนิดอาจมีส่งผลทำให้ระคายเคืองได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว (AHA,BHA,Retinoids) ดังนั้นจึงควรประเมินสภาพผิวก่อนเลือกใช้ด้วย

รอยดำจากสิว ใช้สกินแคร์นานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?

การใช้สกินแคร์ดูแลรอยดำให้ลดเลือนลง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป ถึงจะเริ่มเห็นผลว่ารอยดำค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่ขึ้นอยู่กับสีผิว หรือ Fitzpatrick Skin type ของแต่ละคนด้วย ในคนผิวขาวอาจจะเห็นผลได้เร็วกว่าคนที่มีผิวสีเข้มที่มีเม็ดสีมากกว่า เพราะฉะนั้นระยะเวลาในการรักษารอยดำก็จะแตกต่างกันไป

ผิวที่มีรอยดำควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง?

คนที่มีรอยดำ ไม่ควรขัด ถู หรือสครับผิวแรงๆ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ผิวเกิดอาการอักเสบ และทำให้เกิดรอยดำขึ้นมาอีก

  • การขัดถูแรงๆ จะทำให้เม็ดสีหลุดร่วงไปในผิวชั้นที่ลึกขึ้น การรักษาจะทำได้ยาก
  • ควรหลีกเลี่ยงการให้ผิวเจอแสงแดดโดยตรง ร่วมกับการทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง เพราะแสงแดดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เม็ดสีเข้มขึ้นได้

รอยดำ และจุดด่างดำต่างกันอย่างไร?

รอยดำมักจะเกิดขึ้นตามหลังการอักเสบ แต่จุดด่างดำไม่ได้มีการอักเสบร่วมด้วยเหมือนกับรอยดำ ซึ่งจุดด่างดำประกอบด้วย เช่น รอยฝ้า กระ ส่วนความด่างเกิดจากปริมาณเม็ดสีที่ลดลง ไม่สม่ำเสมอของสีผิวที่ต่างจากรอยดำ

  • รอยดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่มักจะเจอรอยดำได้บ่อยๆ คือ การอักเสบจากสิว
  • การรักษารอยดำ สามารถเริ่มต้นจากการดูแลได้ด้วยตัวเอง ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งที่มีสารช่วยลดเลือน ยับยั้งการสร้างเม็ดสี รวมถึงสารกลุ่มที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวด้านบนให้หลุดลอกออกไป
  • รอยดำบางประเภทอาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วยในการรักษา ซึ่งบางประเภทต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น ไฮโดรควีโนน (Hydroquinone), การใช้เลเซอร์ และการลอกหน้าด้วยกรดที่ต้องอยู่ในการดูแลโดยแพทย์การใช้สกินแคร์ดูแลรอยดำให้ลดเลือนลง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป และขึ้นอยู่ขึ้นอยู่กับสีผิว หรือ Fitpatrick skin type ของแต่ละคนด้วย
  • คนที่มีรอยดำ ไม่ควรขัด ถู หรือสครับผิวแรงๆ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ผิวเกิดอาการอักเสบ และทำให้เกิดรอยดำ

มีเรื่องผิวกวนใจ ปรึกษาปัญหาด้านผิวหนัง ได้ทุกเรื่อง ได้ทุกที่

กับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ SkinX แอปพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์

daisy-skinx.png

ขอบคุณข้อมูล :
นายแพทย์พนด ชินพิพัฒน์ แพทย์ผิวหนังจากโรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี