4 ขั้นตอน ตามล่าหาเงินที่หายไป ให้กลับคืนมา

ว้ายตั่ยแล้วววว!!! เงิน ค่ะ เงิน หายไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อไม่กี่วันก่อนยังนอนอัดแน่นกันเต็มกระเป๋าอยู่เลย แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว หายไปแบบไร้ร่องรอย พยายามจะย้อนรำลึกนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่า เราใช้อะไรไปตอนไหนบ้าง สาวๆ Jeban มีใครเคยเป็นแบบนี้มั้ย เงินเก็บไม่มี เงินใช้จ่ายไม่พอ เพราะไม่รู้ว่าเงินหายไปไหนหมด พอใกล้ๆ ปลายเดือนมันก็จะจนๆ นิดนึงอ่ะค่ะ

ถ้าเคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้คงต้องมาเป็นแนวร่วม “นักสืบดอกจัน” กันซะแล้ว ไปตามสืบว่า เงินเราหายไปไหน และทำอย่างไรถึงจะตามไล่ล่าเอากลับคืนมาให้ได้

1. อยากได้เงินคืนมากแค่ไหน...ถามใจเธอดู

ก่อนจะสะกดรอยตามเงินในกระเป๋า ต้องถามตัวเองก่อนว่า ทำไมเราถึงอยากจะติดตามดูว่า เงินในกระเป๋าของเราหายไปไหน เพราะสิ่งที่เราจะทำในขั้นตอนนี้นั้นสำคัญที่สุด จะว่าง่าย ก็ง้ายยยง่าย จะว่ายาก ก็ย้ากกกกยาก เพราะหลายคนเคยพยายามจะลองทำแล้ว แต่สุดท้ายก็ล่มกลางทาง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นจาก “การหาแรงจูงใจ” ของการไล่ล่าตามหาเงินของเรากลับมา แรงจูงใจที่มีพลังมากที่สุด อาจจะเกิดจากปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง เราคงไม่รอดแน่ๆ แต่สำหรับคนที่วันนี้ยังสบายๆ แค่สงสัยว่า “เงินมันหายไปไหน” ยังไม่ได้ถึงขั้นมีหนี้เกินตัว มีเจ้าหนี้กวนใจ แรงจูงใจก็อาจจะน้อยไปนิด อาจจะลองวาดภาพว่า ถ้าเงินหายไปอย่างไร้ร่องรอยทุกเดือนแบบนี้ รายได้ที่มีอาจจะไม่พอรายจ่าย ตกไปอยู่ในวังวนหนี้ ชีวิตจะแย่แค่ไหนหรืออาจจะเป็นการตั้งเป้าหมายทำอะไรบางอย่างถ้าได้เงินที่หายไปกลับมา

2. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์

เมื่อหาแรงจูงใจ หรือ เป้าหมายเจอแล้วก็เขียนใส่กระดาษเล็กๆ เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไว้คอยเตือนใจว่า จากนี้ไปจะต้องเฝ้าระวังเงินออกจากกระเป๋าไว้ให้ดี และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้หาเพื่อนสาวมาเป็นแนวร่วม หรือ จะเรียกว่า มาเป็น “บัดดี้” ตามล่าหาเงินหายด้วยกัน จะได้มีเพื่อนไว้คอยกระตุ้นเตือน ช่วยกันทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งดึง ไปให้ตลอดรอดฝั่ง ... ก็ทำคนเดียวมันเหงา เดี๋ยวเราก็เลิก

3. จดบันทึกทุกวัน อย่าให้ขาด

มาถึงขั้นตอนที่จะต้องลงมือทำกันแล้ว นั่นคือ การจดบันทึกรายรับรายจ่าย อย่างมีวินัย จดทุกรายการ จดทุกวัน (และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ต้องหาแรงจูงใจ บวกกับ บัดดี้ เอาไว้ เพราะการจดบันทึกรายรับรายจ่ายเหมือนจะง่าย แต่การทำอย่างต่อเนื่องอาจจะยากสำหรับบางคน)แต่ถ้าได้ตั้งใจแน่วแน่แล้ว จะจดบันทึกด้วยวิธีแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ใช้สมุดบันทึกธรรมดาๆ ขีดเส้นแบ่งฝั่งรายรับรายจ่ายด้วยไม้บรรทัด หรือ จะดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นบันทึกรายรับรายจ่ายแบบเก๋ๆ มีลูกเล่นน่ารักๆ มาใช้ (จะได้ไม่เบื่อ) เพราะ “ความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว” จะใช้เครื่องมืออะไรในการสะกดรอยเงินของเราก็ได้เหมือนกัน 

แรกๆ อาจจะยากหน่อย เพราะจ่ายออกไปรัวๆ จนจดบันทึกกันไม่ทัน (ถ้าใครทำแล้วรู้สึกแบบนี้ บอกได้เลยว่า เป็นเพราะเราจ่ายเงินง่ายเกินไป) แต่เรื่องนี้แก้ง่าย แค่ดึงสติกลับมานิดนึงก่อนจะหยิบเงินออกจากกระเป๋า แล้วรีบอัพโหลดใส่หน่วยความจำเก็บไว้ จากนั้นในแต่ละวันเราจะกำหนดเวลาสำหรับการรวบรวมสติ อาจจะเป็นทุกวันตอน 3 ทุ่ม หรือ จะเป็นตอนเช้าระหว่างเดินทาง ไปเรียน ไปทำงาน โดยค่อยๆ รำลึกถึงรายการทั้งรับและจ่ายมาใส่ลงไปในสมุด หรือ แอพพลิเคชั่นที่ชอบ   หรือจะใช้อีกวิธีที่น่าสนใจ คือ จดก่อนจ่าย อาจจะยุ่งยากหน่อย ดูเหนือจริงไปนิด แต่ช่วยให้ไม่พลาดซักรายการ (ชัวร์) แถมยังอาจจะทำให้ใช้เงินน้อยลง เพราะขี้เกียจจดก็ได้ 

4. ถอดรหัสรายจ่ายเกินจำเป็น

พอได้เริ่มจดบันทึกรายรับรายจ่ายแล้วก็ จดวนไปค่ะ วนไปจนครบ 1 เดือน (เป็นอย่างน้อย) เพราะในระยะเวลา 1 เดือน น่าจะทำให้เราสามารถนำรายการใช้จ่ายที่บันทึกไว้มาถอดรหัส ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้วที่เราคิดว่า เงินมันหายไปไหนหมด จริงๆ แล้วมันหายไปได้อย่างไรเริ่มจากนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาแบ่งประเภท (หรือจะแบ่งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่จดบันทึกเลยก็จะทำให้ขั้นตอนนี้ง่ายขึ้น) โดยมีทั้งหมด 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

เราจะเห็นทันทีว่า เงินเราหายไปไหน ไปอยู่กับรายจ่ายประเภทใด หรือ รายการใดมากที่สุด แต่ยังไม่จบ เพื่อให้ความยุติธรรมกับตัวเราเอง ต้องนำรายจ่ายทั้งหมดมาไล่เรียง หรือ จัดลำดับ ความจำเป็นของค่าใช้จ่ายแต่ละรายการ โดยเริ่มจากรายจ่ายที่จำเป็นมาก >> จำเป็นน้อย อันนี้บอกไม่ได้ว่า รายจ่ายอะไรที่จำเป็นมาก จำเป็นน้อย หรือ รายจ่ายฟุ่มเฟือย เพราะแต่ละคนก็จะมีความจำเป็นต่างกันพอไล่ลำดับความจำเป็นแล้ว เราก็จะค่อยๆ ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้ แล้วโยกไปใส่ไว้ในรายจ่ายเพื่อการออมและลงทุนแทน เพียงเท่านี้ เงินที่เคยหายไปก็จะกลับมาอยู่กับเราไปอีกนานแสนนานแต่ถ้าบางรายการที่เหมือนจะฟุ่มเฟือย แต่ “มันดีต่อใจ” ก็อาจจะแค่ปรับลดลงมาบ้าง จะได้ไม่เบียดบังความสุขของตัวเองจนเครียดเกินไป  เพราะตึงเกินไปก็ไม่ดี หย่อนเกินไปก็ไม่สวย ^^!