แชร์ประสบการณ์ Work and Travel ที่ New York (Part 1 : เตรียมตัวให้พร้อมก่อนบิน!)

36 10

สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนน ช่วงนี้ก็ใกล้ช่วงเปิดรับสมัคร work and travel 2017 กันแล้ว ตื่นเต้นกันมั้ย รู้นะว่า มีคนสนใจโปรแกรมนี้อยู่ไม่น้อยใช่ม้า ......

วันนี้มิ้วก็จะมาอธิบายเกี่ยวกับการสมัครโปรแกรม work and travel แบบละเอียดยิบทุกขั้นตอน แล้วก็จะมาแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ USA ให้เพื่อนๆ ที่สนใจทุกคนได้รู้กัน แต่จะขออนุญาตแบ่งเป็น 2 part น้า คาดว่าถ้ากระทู้เดียวมันจะยาวเกินไป

Question 1

- โครงการ work and travel หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "เวิร์ค" เนี้ยคือโครงการที่จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษา (ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโทก็ได้) ได้ไปใช้ชีวิต ไปทำงานที่อเมริกาในช่วงซัมเมอร์ ระยะเวลาสั้นๆ และหลังจากทำงานเก็บเงินเสร็จก็สามารถเที่ยวต่อในอเมริกาได้ รวมระยะเวลาในการทำงาน+เที่ยวแล้วก็ประมาณ 2-4 เดือน โดยวีซ่าที่เราจะได้ก็คือ J-1 นั้นเอง

Question 2

- โดยส่วนตัวคิดว่าโครงการนี้มันดีมากกกกกกก คือปกติแล้วเราไม่สามารถไปทำงานที่อเมริกาได้ง่ายๆ นะ ไม่ใช่ว่าชั้นอยากไปเริ่มชีวิตใหม่ ทำงานที่อเมริกาชิวๆ ชั้นก็คือซื้อตั๋วบินไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้นนนนนนน โนๆๆๆๆ นังอเมริกามันไม่ให้ใครมาทำงานที่ประเทศมันง่ายๆ หรอก 5555555

นี้คือโอกาสเดียวของช้านนนนน ที่จะได้ไปทำงานที่อเมริกาและถลุงเงินที่หามา ให้สาสมใจ ฮี้ๆ คือรู้สึกว่าเราไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ เพราะเราหาเงินเอง ไม่ต้องขอเงินที่บ้านซักบาท อยากกินอะไร อยากไปเที่ยวไหนก็ใช้เงินตัวเอง แฮปเป้

Question 3

- ก่อนอื่นเลยมิ้วว่าเราควรวางแผน ว่าที่เราจะไปเวิร์คเนี้ยจะไปทำอะไร และอยากได้อะไร เพราะค่าโครงการเนี้ยก็ค่อนข้างแพง ไปทั้งทีก็ควรเอาให้คุ้มชิมิ้ ไม่ใช่ไปแบบไม่ได้แพลนอะไรไว้เลย ถ้าเกิดปัญหาที่อเมริกาก็คงลำบาก เสียเที่ยวเลย เพราะมันไกลบ้านเราด้วย ลองคิด ลองตั้งเป้าหมาย เลยว่าไปครั้งนี้ชั้นต้องได้อะไรกลับมา

เงิน- ถ้าเราอยากจะโกยเงินกลับมา ให้เลือกงานที่ได้เรตเยอะๆ (10 ดอล/ชมนี้กำลังดีแต่อาจจะหายากหน่อย) เช่น งานบริการที่ได้ทิป แม่บ้าน ร้านอาหารเป็นต้น - และก็ถ้าเราเน้นได้เงิน ไม่เน้นช้อปเน้นเที่ยว ให้เลือกตั๋วที่ถูกๆ ที่ไม่ได้แวะสตอปที่เกาหลีหรือญี่ปุ่น อาจจะแวะฮ่องกงจีน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ตั๋วถูกๆเข้าไว้ เรื่องอาหารการกินก็ขนมาม่าไปเยอะๆ ปลากระป๋อง เครื่องแกงอะไรเอาไปให้หม้ดดดด อะไรประหยัดได้ก็เซฟไว้เลยค่ะ

ภาษา- ถ้าอยากได้ภาษาให้เลือกงานที่ได้พูดเยอะๆ เช่น สวนสนุก แคชเชียร์ เป็นต้น ให้ทำงานเจอผู้คนเยอะๆ อยู่ตลอดเวลา มันจะทำให้เราได้ฟังเจ้าของภาษา ได้ศึกษาวิธีการพูด การออกเสียง สำนวนต่างๆ ที่ฝรั่งเค้าใช้กันจริงๆ อยู่ที่นู้นก็ต้องขยันหาเพื่อนคุย ศึกษาจาก nativeให้มากที่สุดและต้องห้ามอายเด็ดขาด!!!

ประสบการณ์- ถ้าเราอยากได้ประสบการณ์ อยากเห็นว่าประเทศอเมริกามันเป็นยังไง คนอเมริกันเค้าพูดเค้าใช้ชีวิตกันยังไง ให้เราเลือกสิ่งที่เราชอบให้เต็มที่ไม่ต้องแคร์เรื่องเงิน - อยากเที่ยวที่ไหนไป อยากไปรัฐไหนไป ข้ามไป LA กลับมา New York หรือจะลงไป Florida เอาให้หม้ดดดดดด มาครั้งเดียวเอาให้คุ้มมมมม แต่คงจะต้องงบเยอะเงินหนานิดนึง 5555 แต่มันก็คุ้มที่เราจะได้เที่ยว ได้เห็นสถานที่ในฝันของเรา

ช้อปปิ้ง- อ่ะเป้าหมายนี้ของมิ้วเอง 5555555555555 สาวๆ อย่างพวกเรารู้ๆ กันดีว่า พวกเครื่องสำอางสกินแคร์ที่อเมริกาเนี้ยมันถูกกว่าบ้านเราเยอะมากเลยข่ะคู้นนนนน แล้วยิ่งประป๋งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า น้ำหอม โอ้ยอเมริกานี้สวรรค์สำหรับพวก shopaholic ชัดๆ

- ราคาใน outlet นี้ยิ่งถูกกันเข้าไปใหญ่ บางที่ sale 30-70% บ้างแหละ ถูกมากจีจีเหมา Coach หรือ Kate Spade ไรพวกนี้มาเป็นโหล ก็ยังว่าคุ้ม เป้าหมายนี้อาจจะต้องใช้เงินเยอะนิสนุง จะต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ว่าช่วงไหนจะ sale ซื้อที่ไหนของถูก Woodbury Outlet ไปกี่วันดี ไรเง้ 555555555 เนื้อที่ในกระเป๋าอาจจะต้องแน่นเอี๊ยด อาจจะต้องอดเที่ยวกินมาม่า ทำงานตรากตรำ แต่ทุกครั้งที่คิดถึงกระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางแล้วมันคุ้มจริงๆค่ะคุณขาาาาาา

พอรู้เป้าหมายที่ชัดเจนของเราแล้วก็เริ่มดำเนินการสมัครโครงการได้ เริ่ม!!!!!!

- เอเจนซี่มีให้เลือกเยอะมาก ก็แล้วแต่คนว่าจะเลือกเอเจนซี่ไหน แต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน มิ้วขอแนะนำให้เลือกเอเจนซี่ที่ไว้ใจได้ มีคนเคยไปมาจริง ให้ถามคนเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เคยไปมาแล้วว่าดีมั้ย ต้องระวังนะคะ มันชอบมีเอเจนซี่ที่ขี้โกง หลอกเงินแล้วชิ่ง ต้องดูดีๆ เลย! 

- แต่ละเอเจนซี่ก็มีค่าใช้จ่าย ค่าโครงการ หรือค่าวีซ่า ไม่เท่ากัน บางที่แพงกว่า บางที่ก็ถูกกว่า งานแต่ละเอเจนซี่ก็มีไม่เหมือนกัน รัฐต่างกัน ต้องลองสอบถามรายละเอียดคนที่เคยไปมาแต่ละเอเจนซี่ แล้วเอามาเลือกดูว่าเราโอเคกับที่ไหนมากที่สุด

- ส่วนตัวมิ้วเลือกไปของออีจี เพราะตอนนั้นได้ส่วนลดเยอะอ่ะ หลายพันเลย 55555 (แอบขี้งก) โออีจีมีงานให้เลือกค่อนข้างน้อยนะ แต่บอกเลยว่าพี่ๆ พนักงานดีมากๆ ดูแลเราอย่างดีเลย ใส่ใจเราทุกๆอย่างเลยตั้งแต่สมัครจนถึงไปอยู่นู้น จนกลับมาก็ยังคอยโทรหา ไม่ทิ้งเราอย่างแน่นอน มีปัญหาอะไรก็บอกพี่เค้าได้เลย เป็นปลื้มมมมมม ดี๊ดี

- เมื่อสมัครแล้ว ก็ไปสอบสัมภาษณ์วัดระดับภาษาที่โออีจีก่อน ว่าภาษาอังกฤษของเราอยู่ในระดับไหน การสัมภาษณ์เป็นอังกฤษหมดนะคะ แต่ไม่ยาก ฟรีด้วย เค้าก็จะถามเรื่องทั่วๆ ไป เช่น ทำไมถึงอยากไปเวิร์ค เรียนที่มหาลัยเป็นไงบ้าง ประมาณนี้ สอบเสร็จแล้วก็ ก็จ่ายเงินก้อนแรกประมาณ 8,000 บาท พอจ่ายเงินเสร็จเค้าถึงจะให้เราเลือกงานได้ 

- านที่เอเจนซี่ให้เลือกมีหลายอย่างเลย ทั้งสวนสนุก ร้านอาหาร แม่บ้าน บลาๆๆๆ มีหลากหลายรัฐด้วย สุดท้ายมิ้วเลือกงานสวนสนุกของ Six Flags ที่ New York เพราะรู้สึกว่างานสวนสนุกน่าจะแฮปปี้ดีอ่ะ แบบเจอคนเยอะแยะ บรรยากาศที่ทำงานน่าจะดูมีสีสันดี 555555 แล้วค่าบ้านก็ถูกด้วย แค่ 65 ดอลต่ออาทิตย์เอง คือถ้าค่าบ้านเกิน 100 ดอลต่อวีคนี้ มิ้วว่าไม่ควรเลือกนะ เพราะมันค่อนข้างแพงอ่ะ

หลังจากเลือกงานเสร็จแล้ว ก็รอวันสัมภาษณ์ได้เลยส่วนมากจะมี 2 แบบคือนายจ้างบินมาสัมภาษณ์เราที่ไทยโดยตรง กับสัมภาษณ์ทางสไกป์ 

- ของมิ้วนายจ้างบินมาสัมภาษณ์โดยตรงเลย วันนั้นมิ้วไม่ได้เตรียมตัว ตอบไม่ได้เลย 555 ของมิ้วได้สัมภาษณ์เป็นกลุ่ม นายจ้างคนเดียวสัมภาษณ์เด็กประมาณ 6-7 คนพร้อมกันทีเดียว ข้อดีคือไม่ตื่นเต้น มีเพื่อนนั่งข้างๆ กัน ข้อเสียคือนายจ้างมักจะถามคำถามเดียวกันทุกคนเลย ถ้าได้นั่งคนท้ายๆ จะคิดคำตอบไม่ออกแล้วอะ เพื่อนแย่งตอบกันไปหมดแล้ว มิ้วจำได้เลยเค้าถามว่าโตขึ้นอยากเป็นไร คือตั้งแต่หัวแถวตอบว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตจกันหมด เพราะอยากบริการลูกค้าอยากท่องเที่ยวบลาๆๆๆ พอมาถึงเรา เราแบบเอ่อ ...... ซวยล้ะ คือมิ้วก็อยากเป็นแอร์โฮสเตจเหมือนกันแต่ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุผลจะตอบแล้วอ่ะ มันจะเหมือนกับเพื่อนๆหมด 555 จำได้เลยว่าสุดท้าย ตอบว่าไม่อยากเป็นอะไรเลย เพราะเป็นคนขี้เกียจ ...... กลับบ้านมาแบบบบบโอ้ย ช้านตอบอะไรลงไปเนี้ย กำๆๆๆๆๆๆ สติค่ะ!!

- ก็พอสอบเสร็จก็ประกาศผลเดี๋ยวนั้นเลย ผ่านทุกคนเลยนะ คนตอบไม่ค่อยได้เลยก็ผ่าน เราว่าเค้าน่าจะรับทุกคนนะเพราะฉะนั้นอย่าเครียด ให้เตรียมตัวให้ดีที่สุดถ้าตอบไม่ได้ให้พยายาม ให้เค้าเห็นว่าเราไม่เก่งแต่เราขยันเราสามารถพัฒนาได้ :) 

- ตอนเรารู้ว่าผ่านแล้วได้งานแล้วแน่ๆ ต่อมากคือการจ่ายค่าโครงการและค่าวีซ่า ค่าโครงการประมาณ 40,000-50,000 บาท ส่วนค่าวีซ่า 5,000-10,000 บาท แล้วแต่เอเจนซี่เด้อ

-อันนี้ชิวมากกกกกกกกกก ของมิ้วสัมภาษณ์แค่ประมาณ 2-3 นาทีเอง แต่สภาพก่อนสัมภาษณ์ นี้แบบเครียดสุดๆ กลัวไม่ผ่านกลัวตอบไม่ได้ กลัวไม่ได้ไปกลัวทุกสิ่งจิงกาเบล 55555555 

แต่พอวันจริงคือเค้าถามเราน้อยมาก ถามว่าเรียนที่ไหน จะไปอเมริกาทำไม ทำงานไร ไปรัฐไหน แล้วก็ตบด้วยขอให้สนุกน้าาาาาาาาาาาา แค่นั้น!! สเตจเม้นต์ ใบเกรดไรไม่ดูเลย พระจ้าววววว ตอนนั้นคือดีใจมาก เพราะเท่าที่เราอ่านในกระทู้มาตลอดคือ สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกายากถึงยากมาก  แต่วีซ่านร. ส่วนมากคงผ่านกันหมด คนไม่ผ่านอาจจะเพราะเกรดไม่ถึง 2.00 รึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ อ่ะพอได้วีซ่าแล้วก็ลั่นล้าาาาาาา สบายใจแล้ว ไปจองตั๋วกันเต้อะะะะะ!

เอกสารสำคัญที่ควรนำไปสัมภาษณ์วีซ่า : DS1029

: Transcript จากมหาลัย

: Job offer form

: Statement ของผู้ปกครอง (จำนวนเงินประมาณ 100,000-200,000)

: Passport

- ขอบอกเลยว่านี้ควรเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนไปเวิร์คนะคะ! ควรจะแน่ใจว่าเราได้งานแน่ๆ ได้วีซ่า มีที่พักเรียบร้อย รู้วันเวลาที่จะบินแน่ชัด เพราะถ้าซื้อตั๋วแล้วไปไม่ได้หรือจะเลื่อนวันเนี้ย จะเสียดายมากกกก ค่าตั๋วมันแพงแสนแพงงงงงงอ่ะ

- บางเอเจนซี่อาจจะบังคับให้ซื้อกับเค้าโดยตรงเลย แต่บางเอเจนซี่ให้ไปหาซื้อเองได้ ของมิ้วหาตั๋วเอง มิ้วเลือกไปกับโคเรียนแอร์ เพราะตอนกลับอยากไปแวะเที่ยวเกาหลีก่อน ค่าตั๋วประมาณ 43,000-47,000 ประมาณนี้ขึ้นอยู่กับรัฐที่จะไป ราคาตั๋วโปรของเด็กเวิคก็จะถูกลงกว่าเดิม

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วแบบนี้ ก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องบินกันได้แล้วเด้อ~

ถ้าอยากรู้ว่าเมื่อมิ้วไปถึงอเมริกาแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง ชีวิตทำงานจะสนุกสนานหรือจะแสนเศร้าก็ตามไปอ่านกันได้ในกระทู้ part 2 นะคะ วันนี้ต้องขอตัวไปก่อนแล้ว เจอกันในกระทู้หน้าน้าาาาาาา

บ้ายบายยยยย


duchmutejdya

duchmutejdya

IG : duchmute

FULL PROFILE