ความรู้:สิว คือเรื่อง สิวสิว

1 31

สิว คือ 

การอักเสบเรื้อรังของรูขนและต่อมไขมัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ หัวขาว หรือหัวดำ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง หรือตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณหน้า คอ หน้าอก หลัง ไหล่ หรือต้นแขน มักเป็นในเด็กวัยรุ่น แต่ไม่ได้จำกัดอยู่เท่านั้น ผู้ใหญ่อายุ 20 - 40 ปีก็พบได้ ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง อาจมีอาการเจ็บปวดตามผื่น แม้ว่าสิวจะไม่ใช่โรคที่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต หรือพิการ แต่ก็อาจทิ้งร่องรอยของแผลเป็นบนใบหน้า เกิดเป็นปมด้อยไปตลอดชีวิตได้

 

ชนิดของสิว 
-สิวอุดตัน หรือ คอมีโดน มี 2 ชนิด คือ สิวหัวปิด (สิวหัวขาว) - สิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) 
- สิวอักเสบ มีหลายชนิด เช่น ตุ่มแดง
 - ตุ่มหนอง 
- ก้อนบวมแดงใต้ผิวหนัง
 - ถุงหนองหรือฝี 

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว
ฮอร์โมนเพศชายที่พบได้ทั้ง 2 เพศ เป็นตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้โตขึ้น และทำงานมากขึ้น สารไขมันที่ถูกผลิตขึ้นจะรวมตัวกับเซลชั้นขี้ไคล จากผนังท่อกลายเป็นก้อน เรียกว่า คอมีโดน (comedone) และจะถูกขับออกทางรูขน ทำให้เกิดการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณรูเปิดของรูขน ให้หนาตัวขึ้นและเกาะตัวกันแน่น ทำให้รูชนนั้นอุดตัน เชื้อแบคทีเรียในรูขนจะเจริญ และปล่อยสารเคมีบางอย่าง ทำให้ผนังของรูขนรั่ว มีการซึมของสารต่าง ๆ จากรูขนออกสู่เนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง 

1. รูเปิดและท่อทางเดินของต่อมไขมันอุดตัน (Ductal hypercornification) ดังนั้นจึงมักพบว่าผู้ที่มีใบหน้ามัน ผมมัน หรือหนังศีรษะมัน มักจะเกิดสิวได้ง่ายกว่าผู้ที่มีใบหน้าแห้ง 
2. แบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก P. acnes บางชนิดเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อน
 3. ช่วงใกล้มีประจำเดือน (Premenstrual) ส่วนใหญ่ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน จะมีโอกาสเกิดสิวมากกว่าปกติเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน 
4. เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าต่างๆ บางคนใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวหลายชนิดมากจนเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ทำให้ท่อทางเดินต่อมไขมันอักเสบและอุดตันทำให้เกิดสิวขึ้นได้
 5. กรรมพันธุ์ เชื่อว่ากรรมพันธ์มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างในการทำให้เกิดสิว บางคนมีคุณพ่อหรือคุณแม่ ที่เคยเป็นสิวมากๆ จนทำให้เกิดรอยแผลเป็นลูกๆ ก็มีโอกาสเป็นสิวมากเช่นเดียวกัน 
6. ยาบางชนิด สามารทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาจำพวกสเตียรอยด์ ทั้งแบบชนิดกินและชนิดทา, ฮอร์โมนเพศชาย (androgen) เป็นต้น
 7. ความเครียดวิตกกังวล ความเครียดเป็นบ่อเกิดของสารพัดโรค ทางด้านผิวหนัง นอกจากจะทำให้แก่เกินวัยแล้วยังทำให้เกิดสิวได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านทำงานหนักมากเกินไป เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก จะเกิดสิวได้ง่าย 
8.การถู ขัดหน้า พอกหน้า การถู ขัดหน้า พอกหน้า อบไอน้ำ พอกสมุนไพร บำรุงผิวสารพัดแบบนั้น ถ้าทำมากเกินไปบ่อยครั้งเกินไป จะทำให้ตัวคลุมผิวตามธรรมชาติ (skin barrier) หลุดลอกออกไป ผิวหน้าจะบางลง และไวต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง อักเสบ เกิดเป็นสิวมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
 9.อาหาร หลายคนเชื่อว่าช็อกโกแลตมีส่วนทำให้เกิดสิวได้ ความจริงแล้วไม่เกี่ยวข้องกัน ส่วนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวที่ทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ เช่น พวกเหล้า เบียร์ต่างๆ เพราะทำให้สุขภาพทรุดโทรมสิวจึงเห่อขึ้นได้
 10.อากาศร้อน ถ้าคนที่อยู่ในอากาศร้อนและมีเหงื่อมาก มีโอกาสเกิดสิวได้ง่ายกว่าที่มีอากาศเย็นๆ ฯลฯ


เมื่อเป็นสิวแล้ว ควรปฏิบัติตนอย่างไร
-จะเห็นว่าสิวไม่ได้เกิดจากฝุ่นละออง หรือความสกปรก ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องล้างหรือทำความสะอาดมากเกินไป การล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดา วันละ 1 - 2 ครั้ง ก็เป็นการเพียงพอ
-อาหารไม่มีส่วนทำให้เกิดสิว แต่บางคนที่พบว่า อาหารบางชนิด มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวทุกครั้ง ก็ควรหลีกเลี่ยง
-เครื่องสำอาง ถ้าจะใช้ควรใช้ประเภทที่ไม่มีไขมัน (oil-free) และควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดทุกวัน สเปรย์หรือเจลใส่ผม ไม่ควรให้โดนผิวหน้า เพราะอาจทำให้เกิดสิว (แนะนำนิดนึงค่ะ สำหรับคนที่แตงหน้าแล้วไม่ใช้ออยนวดกอน มีผลทำให้เกิดสิวอุดตัน ฉะนัน้ควรใช้ออยนวดให้สะอาดแล้วเช็ดด้วยสำลี ก่อนจะให้โฟมสำหรับคนผิวแห้ง และสบู่สำหรับผิวมัน ล้างหน้าต่อไปน่ะค่ะ สวนตัวแล้วแนนใช้ FANCL ดีมากเลยหละคะ)
-ห้ามแกะเกาหรือบีบสิวเอง เพราะทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้น และมีรอยแผลเป็นมากยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การขัดหน้าหรือนวดหน้า และการเช็ดถูหน้าแรง ๆ
-ควรพักผ่อน หรือออกกำลังกายให้พอเหมาะ การอดนอนหรือทำงานหนัก และเครียดเกินไป ทำให้สิวเป็นมากขึ้น ต้องเข้าใจว่า

จุดประสงค์ของการรักษาสิว คือ ป้องกันการเกิดสิวใหม่ และทำให้สิวที่เป็นอยู่แล้วยุบหายไป โดยไม่เกิดแผลเป็น
ฉะนั้น การรักษาสิวจะต้องใช้เวลา แพทย์ผิวหนังจะให้การรักษาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสิว ยาปฏิชีวนะจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในรูขน ทำให้สิวอักเสบลดลง

ในวัยที่เป็นสิวง่าย ควรจะทายาละลายการอุดตันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่
(แนะนำนิดน่ะคะ ว่าพวกยา PanOxyl 2% 5% 10% จะดีมากเลยคะ ส่วนใครที่ต้องการยาที่อ่อนวก่านี้แนะนำ Benzec หาซื้อได้ตามร้านขายาทั่วไป หรือวัตสันและบุ๊ทน่ะค่ะ ) ควรระลึกเสมอว่า สิวอาจไม่มีการหายที่ถาวร แต่สามารถควบคุมได้ และการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นหลังสิวหายแล้ว ได้เป็นอย่างดี

หลักในการรักษาสิวนั้นต้องรักษาทั้งด้านจิตใจ, ตัวสิวเอง และร่องรอยจากสิว ควบคู่กันไปด้วย ที่สำคัญผู้ที่เป็นสิวควรจะทราบว่าสิวต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อยประมาณ 4-6 สัปดาห์ขึ้นไป และอาจใช้เวลารักษานานถึง 12 เดือน

1. กลุ่มยาทา
-กลุ่มยาทาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, 2% Erythromycin
-กลุ่มยาทาก่อนล้างหน้า เช่น 2.5% Benzoyl peroxide, Benzac, Brevoxyl -กลุ่มยาทากรดวิตามินเอ เช่น Retin-A, Stieva, Isotrex, Brevoxyl
-กลุ่มยาทาละลายขุย เช่น Salicylic acid lotion, Sulphur lotion
-กลุ่มอื่นๆ เช่น Differin, Skinoren

2. กลุ่มยารับประทาน -
-กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ได้ผลดีคือ Tetracycline, Doxycycline, Minocycline, Erythromycin และ Bactrim
-กลุ่มยากรดวิตามินเอ บางคนเรียกว่า ยาเม็ดรักบี้เพราะรูปร่างคล้ายเม็ดรักบี้ คือ ยาRoaccutane (Isotretinoin)ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ทำให้ต่อมไขมันมีจำนวนและขนาดเล็กลง สิวจึงลดน้อยลงได้ แต่มีผลข้างเคียงหลายประการ เช่น มีผลต่อเด็กในครรภ์ได้จนอาจพิการได้ ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น ริมฝีปากแห้งมาก ฯลฯ ยานี้เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีในการรักษาสิวที่เป็นรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่นๆไม่ได้ผล แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อรับประทานเองเด็ดขาด

-ยากลุ่มฮอร์โมน ได้แก่ ยา Diane 35 ใช้ได้ผลดีเช่นกัน แต่ใช้ในผู้หญิงที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น ร่วมกับมีข้อบ่งชี้เช่น ผิวมัน เสียงห้าว ขนดก และประจำเดือนผิดปกติ

3. การฉีดยารักษาสิว (Intralesional Kenacorte) ในกรณีที่เป็นสิวหัวช้าง เม็ดใหญ่มาก ที่เป็นรุนแรง (cystic acne) แพทย์อาจใช้วิธีฉีดยา เข้าไปที่หัวสิวได้เลยโดยตรง ซึ่งจะทำให้สิวยุบหายค่อนข้างเร็วมากภายใน 24 ชม. แต่ค่อนข้างเจ็บพอสมควร วิธีนี้ถ้าไม่ชำนาญหรือฉีดยามากเกินไปอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเป็นรอยบุ๋มได้

4. การกดเอาหัวสิวออก (Comedone extraction) ถ้าใช้เครื่องมือที่สะอาดและเทคนิคที่ถูกต้องจะทำให้สิวดีขึ้นเร็วในการรักษานั้นแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมให้ ซึ่งบางคนใช้แต่ยาทาอย่างเดียวก็ได้ แต่บางคนต้องรับประทานยาหรือกดหัวสิวร่วมด้วย เป็นต้น

ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคสิว มีดังนี้
1. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก ซึ่งประกอบด้วย สารเคมีที่อ่อน ไม่ระคายเคืองหรือรบกวนผิวซึ่งทำให้เกิดคอมมีโดนหรือสิวอุดตัน หรือเลือกสบู่อ่อนที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว
2. ไม่ควรล้างหน้า หรือเช็ดหน้าบ่อยๆ ล้างเพียงวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ
3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังและต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีมหรือสารที่ให้ความชุ่มชื้นซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารเคมี ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว โดยทั่วไปชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บรัชออน มาสคาร่า อาขแชโดว และชุดรองพื้น จะไม่ก่อให้เกิดสิว
4. อย่าบีบ หรือแกะสิว
5. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สิวอักเสบยุบเร็ว แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด
6. กินยาให้ครบและสม่ำเสมอ
7. หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องของโรคสิว และแนวทางการรักษา ควรสอบถามจากแพทย์พื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง

การรักษาร่องรอยจากสิว ได้แก่ รอยดำ รอยแดง แผลเป็นหลุมสิว และแผลเป็นนูน
1. รอยดำสิว เกิดขึ้นตามหลังการหายของสิวอักเสบ มักเป็นอยู่นาน 5-6 เดือนถ้าไม่ได้รับการรักษา โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาทาพวก whitening ต่างๆทารอยดำร่วมกับครีมกันแดด บางคนอาจจะต้องทำทรีทเมนต์พวก Iontophoresis หรือ phonophoresis ช่วยก็ได้
2. รอยแดงสิว เกิดตามหลังสิวอักเสบบางส่วน การรักษาค่อนข้างยาก ต้องใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษเช่น Pulse dye laser หรือ แสงความเข้มข้นสูง (IPL)
3. แผลเป็นนูน มักจะใช้การฉีดยาพวก steroid เข้าไปเพื่อให้ยุบลง นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นปิดพวกซิลิโคนเจล เช่น Cica-care ปิดไว้ หรือยาทาแผลเป็นพวก Mederma เป็นต้น
4. แผลเป็นหลุมสิว รักษายากที่สุด อาจจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน การรักษามีหลายวิธี เช่น การแต้มกรด TCA, การลอกผิว (Peeling), การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion), การกรอผิวด้วยเลเซอร์ (Ablative laser resurfacing), การผ่าตัด, การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยเลเซอร์หรือ IPL เป็นต้น ส่วนการตัดสินใจว่าควรรักษาด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็น ความรุนแรง เครื่องมือที่มี และความชำนาญของแพทย์ผู้ให้การรักษา
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจากคลีนิคผิว : https://www.clinic-skin.com ข้อมูลเพิ่มเติม

:


CREDIT: https://www.aafp.org/afp/20001015/1823.html

ข้อมูลเพิมเติม

การรักษาสิว
1. โดยการทา (topical Therapy of Acne Vulgaris) ยาทารักษาสิวนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางได้แก่ Benzoyl Peroxide (BP), Retinoic Acid (RA) และพวก Antibiotic เช่น Clindamycin (CL) ซึ่งชื่อยาที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นยาที่มีตามร้านขายยาทั่วไปและมักจะหาซื้อได้ง่าย แต่การใช้งานค่อนข้างมีผลกระทบคือการเกิดการระคายเคืองของผิว (สาวๆหนุ่มๆใน pantip ที่นิยมซื้อยาทารักษาเอง จะต้องรู้จักตัวเหล่านี้แน่นอนเพราะแนะนำกันต่อๆมา ไม่รู้ใครแนะนำคนแรกเหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้วตัวเจ้าของ blog เองไม่ขอแนะนำไม่ใช่เพราะมันจะไม่หายแต่เพราะมีตัวที่เค้าพัฒนาขึ้นมาแล้วให้ผลดีกว่าและการระคายเคืองน้อยกว่า) ซึ่งยารักษาสิวตัวใหม่ที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการระคายเคืองที่น้อยลงได้แก่ Isotretinoin (ITN), Azelaic acid (AZA) ซึ่งเหมาะที่จะรักษา สิวคอมมิโดนและสิวชนิดอักเสบ Glycolic acid ช่วยสลายคอมมิโดนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังที่รอยโรค เดี๋ยวในหัวข้อต่อไปจะมาบอกถึงยาที่ได้รับการพัฒนาแล้วมันให้ผลการทำงานจากการวิจัยดีกว่ายารุ่นเก่าขนาดไหนในปริมาณที่เทียบเท่ากัน

2. โดยการรับประทาน (Oral Therapy of Acne Vulgaris) แบ่งออกเป็น 3 พวกด้วยกันคือ

2.1) Antibiotic ยาจำพวกนี้สามารถที่จะรักษาสิวอักเสบปานกลางได้ผลดี แต่ไม่เพียงพอไปลดจำนวนเชื้อ P.acnes ลง แต่สามารถลดกรดไขมันอิสระได้ อีกทั้งยังสามารถไปยับยั้งการหลั่ง Enzymes หลายชนิด ตลอดไปจนยังไปต้าน Chemotaxis, Lymphocyte Function ได้
2.2) Isotretinoin (ITN) เป็น 13-cis-Retinoic acid หรือที่เป็นที่นิยมเรียกกันว่า roaccutane, acnotin ซึ่งล้วนเป็นชื่อทางการค้าของ ITN ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ใครเป็นสิวนิดหน่อยก็ต้องขอหมอหรือผู้รักษาเรื่อยไปว่าอยากทาน หนำซ้ำบางครั้งหมอไม่จ่ายก็ดิ้นรนหาซื้อเองเพื่อจะนำมารับประทาน จริงๆแล้วเรียกว่าอันตรายมากทีเดียวเพราะตัวนี้ใช้เฉพาะการรักษาสิวอักเสบรุนแรงและสิวชนิดที่ยากต่อการรักษา แน่นอนด้วยความแรงของมันทำให้ผลการรักษาย่อมเหนือกว่ายาอื่นทุกตัวแต่อย่างที่บอกไป คือมันใช้รักษาสิวชนิดอักเสบรุนแรงและสิวที่ยากต่อการรักษาเพราะดังนั้นถ้าหากเป็นนิดๆหน่อยๆแล้วใช้ยาตัวนี้ก็ถือว่าไม่คุ้มกับที่เสียดูจากคำเตือนที่ค่อนข้างมาก (บางคนว่าชั้นยังไม่แก่ กินไปก่อนขอสวยก่อน หารู้ไม่ว่าสวยแต่อยู่ได้ไม่นานเท่าไร)
2.3) การใช้ Hormonal Preparation ก็ได้แก่พวกการรับประทาน ออร์โมนต่างๆ พวกนี้การออกฤทธิ์นั้นจะไปลดการหลั่งซีบุ่มให้น้อยลง แต่อาจมีอาการข้างเคียงคือมีรอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มีอาการบวมน้ำหรือการเกิดฝ้าได้ง่าย

คำถามเกี่ยวกับสิวที่พบบ่อย : https://www.bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=936
เวปไซต์แนะนำเกี่ยวกับ สิว : https://www.acnethai.com ข้อมูลยารักษาสิวเพิ่มเติม : https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=2-geth3r&month=29-10-2007&group=1&gblog=3




ยาต่างๆที่ฮิตกันเหลือเกินนนน

1.Clinda-M (ยาใช้ภายนอก)



สรรพคุณ :
รักษาการอักเสบของสิว
วิธีใช้ : ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิววันละ 2 ครั้ง หลังล้างหน้า
Indication: Topical preparation for acne vuigaris.
Dosage: Apply on the affected area twice daily.

ผลิตภัณฑ์ clinda-m คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาเพื่อลดและป้องกันการอักเสบของสิว หากจังหวัดที่อยู่ไม่สะดวกจะพบแพทย์สามารถหาซื้อที่ร้านขายยาที่มีผลิตภัณฑ์ แพนคอสเมติก จำหน่ายอยู่ค่ะ แต่ในการได้พบแพทย์นั้นก็จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะแพทย์จะได้ดูปัญหาที่เป็นว่าดีขึ้นมากน้อยอย่างไร และควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวใดในการรักษาต่อไปนะค่ะ ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์หากไม่ทราบ สามารถโทรสอบถามข้อมูลสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั่วประเทศได้ที่ Call Center 0-2793-9999




2.BP หรือ Benzac
(มีฤทธิ์อ่อนกว่า PanOxyl)




สรรพคุณ : ละลายสิวอุดตัน
วิธีใช้ : (สำหรับผู้ที่ไม่แต่งหน้า)ใช้ทาก่อนล้างหน้าเริ่มจาก 5 นาที เพิมทีละ 5 จนกว่าจะมีการแสบและลดลงทีละ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยสบู่ โฟม และตามด้วย Clinda-M ในผู้ที่เป็นสิวอักเสบมาก ๆ
(สำหรับผู้ที่แต่งหน้า)หากมีเครื่องสำอาง ควรใช้คลนซิงออย ทำความสะอาดแล้วล้างออกก่อนที่จะทายาตัวนี้
*ควรเว้นบริเวนใต้ดางตา มุมปาก ร่องจมูก หว่างคิ้ว

-ผู้ที่ไม่เคยใช้ยารักษาสิวควรเริ่มที่ 2.5%
-BP water base ไม่ทำให้ระคายเคือง
ทาก่อนล้างหน้า เช้า - เย็น ทิ้งไว้ 10-15 นาที

ข้อเสีย: กลิ่นฉุนแอลกอฮอล์




ข้อมูลต่อจากนี้ เอื้อเฟื้อโดย:
https://www.samunpri-beauty.com
import product

รักษาสิว ดูแลผิวที่เป็นสิวได้ดีที่สุดในตอนนี้ โรงพยาบาลชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ ผลิตโดยบริษัทยาที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศส ได้รับความวางใจจากวงการแพทย์ทั่วโลก อยู่ในรูปwater base gel จึงซึมซาบรวดเร็ว ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิวเด็ดขาดแต่อ่อนโยนต่อผิว ละลายสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี สิวจะแห้งและยุบอย่างรวดเร็วโดยผิวไม่ลอกแดง แถมยังทำให้รอยดำที่เกิดจากรอยช้ำของสิวเลือนหาย เหมาะอย่างยิ่งกับสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวเสี้ยน ในทางการแพทย์ได้รับการตอบรับ ใช้ในการรักษาสิวกับผิวทุกประเภท และสิวทุกชนิด เห็นผลได้เร็ว ผู้ที่เป็นสิวอักเสบประจำจะทำให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ใบหน้าห่างหายจากสิว เพราะนอกจากรักษาสิวแล้วยังป้องกันการเกิดสิวด้วย ผู้ที่เป็นสิวหนักทั่วทั้งหน้า สภาพผิวโดยรวมจะดีขึ้นอย่างมากในหนึ่งเดือน การรักษาสิวแพทย์ลงความเห็นว่าอยู่ในระยะเวลา 3-6 เดือน ดังนั้นการใช้ยารักษาสิวจึงอย่าด่วนตัดสินใจหยุดใช้กลางคันเสียก่อน สภาพผิวแต่ละคนต่างกัน ระยะเวลาให้สิวหายเกลี้ยงทั้งหน้าจึงใช้เวลาต่างกัน แต่สภาพผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ สิวจะลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง และจงอย่าลืมว่าการใช้เครื่องสำอางจะทำให้การรักษาสิวยืดเวลาออกไป แต่เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ยากที่ให้ผู้หญิงเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางด้วยข้อจำกัดเรื่องงานและอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องดูแลความสะอาดผิวอย่างเป็นพิเศษ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีและน้ำหอมน้อยที่สุด ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่ปราศจากสารสบู่ ยิ่งเป็นผิวแพ้ง่ายยิ่งต้องเลี่ยงเด็ดขาด ทำความสะอาดเครื่องสำอางให้หมดจดทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นสิวอุดตันก็จะมีอยู่เรื่อยๆ คนที่มักเป็นสิวอักเสบและอุดตัน


ทุกสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ควรอย่างยิ่งที่ต้องทำทรีทเม้นผลัดผิวผิวเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและไม่มีขี้ไคลเกาะบนใบหน้าการรักษาสิวจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมีเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพเกาะบนใบหน้าจะทำให้สารต่างๆที่บำรุงรักษานั้นแทรกซึมได้ลำบาก อีกทั้งขี้ไคลหรือก็คือเซลล์ผิวเก่าที่ไร้ประโยชน์ตัวนี้ทิ้งไว้นานจะเกิดเป็นสิวอุดตัน สิวหัวดำ ปิดกั้นรูขุมขน ใบหน้าหมองคล้ำ หากรอกระบวนการผลัดผิวตามธรรมชาตินั้นหากเป็นเมื่อสมัยคุณแม่ยังสาวคงพอจะรอได้แต่ปัจจุบันสภาวะแวดล้อม ฝุ่น ควัน มลพิษต่างกัน ผิวถูกทำลายมากขึ้น กระบวนการขจัดของเสียของผิวหนังเสื่อมเร็วขึ้น หากรอธรรมชาติคงไม่ทันการ ดังนั้นควรมีการผลัดผิวร่วมด้วยเมื่ออาการสิวทุเลาหรือสภาพโดยรวมดีขึ้น สาวที่อายุ20 ปีขึ้นไปก็ควรใสใจทำทรีทเม้นเสียแต่เนิ่นๆเพื่อผิวผ่องใสยาวนาน ไม่ต้องรอให้ปัญหาเกิดแล้วจึงคิดทำ


การใช้benzacทาทั่วหน้า ผลพวงที่ได้ใบหน้าจะขาวขึ้น รูขุมขนละเอียดขึ้น คนที่ผิวแพ้ง่ายมากจริงๆ เว้นตามซอกจมูก มุมปาก รอบดวงตา

ข้อเสีย: แพง ใช้ไปนานๆ หรือทิ้งไว้นานๆหน้าอาจแห้ง ลอก แดง




3.PanOxyl (2.5%/ 5%/ 10%)



(มีฤทธิ์แรงกว่า Benzac)
ตัวยาสำคัญใน Panoxyl ก็คือ Benzylperoxide
สรรพคุณ: ละลายสิวอุดตัน
วิธีใช้ : (สำหรับผู้ที่ไม่แต่งหน้า)ใช้ทาก่อนล้างหน้าเริ่มจาก 5 นาที เพิมทีละ 5 จนกว่าจะมีการแสบและลดลงทีละ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยสบู่ โฟม และตามด้วย Clinda-M ในผู้ที่เป็นสิวอักเสบมาก ๆ
(สำหรับผู้ที่แต่งหน้า)หากมีเครื่องสำอาง ควรใช้คลนซิงออย ทำความสะอาดแล้วล้างออกก่อนที่จะทายาตัวนี้
*ควรเว้นบริเวนใต้ดางตา มุมปาก ร่องจมูก หว่างคิ้ว

-ผู้ที่ไม่เคยใช้ยารักษาสิวควรเริ่มที่ 2.5%

ข้อเสีย: ใช้ไปนานๆ หรือทิ้งไว้นานๆหน้าอาจแห้ง ลอก แดง แต่ราคาถูก





4.Differin gel ยาทาสิวรุ่นที่ 3 ของยากลุ่ม Retinoids



ยากลุ่ม Retinoids ในปัจจุบัน ได้มีการนำมาใช้รักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปของครีมทาเฉพาะที่ และยารับประทาน โดยได้มีแพทย์ผิวหนังบางกลุ่มได้จัดแบ่งยากลุ่ม Retinoids ตามรุ่นที่ผลิต( คล้ายๆ การจัดอันดับก่อนหลัง การผลิตรถยนต์) ดังนี้
Generations 1 ได้แก่ กลุ่มยา Retinoic acid เช่น 0.025%-0.05 % Retinoic acid creams
Generation 2 ได้แก่ กลุ่มยา Tretinoic acid เช่น 0.025%-0.05 % Tretinoin gel ,Roaccutrane,Isotretinoin
Generations 3 ได้แก่ กลุ่มยา Adapelene(Differin) ,Tazarotene ซึ่งในกลุ่มที่ 3 นี้ ได้ออกวางจำหน่าย และใช้ในคลินิกผิวหนัง ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ และโดยเฉพาะครีมทาเฉพาะที่Adapalene Gel ได้นำมารักษาสิวอุดตัน และสิวอักเสบ โดยมีการทดลองว่า ได้ผลดีกว่าการใช้ Tretinoin gel และผลข้างเคียงน้อยกว่า ส่วน Azarotene มักนำมารักษาโรคสะเก็ดเงิน( Psoriasia) มากกว่าการนำมารักษาสิว ดังนั้นเรามาลองทราบรายละเอียด ของ ยารักษาสิวตัวใหม่ Adapalene(Differin) Gel กันนะครับ
Adapalene เป็นอนุพันธ์ของ Napthoic acid ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยากลุ่ม Retioniods โดยมีฤทธิ์ในการควบคุม เซลล์ Keratinocyte ในการปรับขบวนการแบ่งเซลล์(Differentiation) ของผิวหนัง และมีฤทธิ์ต้านการแบ่งเซลล์ ทำให้ลดการอักเสบของสิวได้ด้วย โดยจะมีความเฉพาะเจาะจงกับ Receptor ในผิวหนังชั้นบน( Epidermis)
Adapalene เป็นยาที่ละลายน้ำได้น้อยมาก การเตรียมยาจึงเป็นการนำให้แขวนเป็นผลึกเล็กๆ ในเจล( aqueous gel) ซึ่งมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ในความเข้มข้น 0.1 % ทำให้เนื้อครีมเป็นเจลข้น ซึ่งทำให้มีข้อดีคือ ปราศจากส่วนประกอบของอัลกอฮอล์ และไขมันที่ทำให้เกิดโคมีโดน และด้วยการมีผลึกเล็กๆ( microcrystal) ทำให้แทรกซึมลึกเข้าผิวหนัง และละลายในต่อมไขมันที่ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ดี
ประสิทธิผลในการรักษา พบว่า 0.1 % Adapalene gel สามารถรักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ ( ที่เป็นไม่มาก) ให้หายจากรอยโรค ได้ถึง 49-75 % เมื่อเทียบกับ 0.025 % Tretinoin gel ซึ่งทำให้สิวหายได้ประมาณ 37-80 % และมีการระคายเคืองน้อยกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่า
ข้อควรรู้บางประการเกี่ยวกับยา Adapalene gel
ยามีราคาค่อนข้างแพง เพื่อเปรียบเทียบกับยารักษาสิวกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นแพทย์มักจะนำมาใช้ในการรักษา หลังจากใช้ยารักษาสิว กลุ่มอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือมีผลข้างเคียง
ควรทายาบางๆ วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หลังการล้างหน้า โดยไม่ต้องเช็ดหน้า จะลดการระคายเคืองลงได้บ้าง
การใช้สบู่ล้างหน้า โดยเฉพาะที่มีอัลกอฮอล์ จะทำให้ผิวหน้าแห้ง และเมื่อทายาอาจเพิ่มการระคายเคืองได้
มีความคงตัวต่อแสงแดด ไม่สลายง่ายเหมือน Tretinoin gel แต่ก็ยังแนะนำให้เลี่ยงแดดเช่นกัน
ในอเมริกา ยังห้ามใช้ทาในสตรีมีครรภ์ แม้จากการศึกษาระดับยาในระดับเลือดหลังใช้ยาติดต่อกัน นาน 12 สัปดาห์ จะมีระดับความปลอดภัยสูงก็ตาม
ความเห็นของผู้เขียน คิดว่า Adapalene เป็นยาตัวใหม่ ที่พยายามมีการทดลองและพัฒนา เพื่อนำมารักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ ที่เป็นไม่มาก โดยเพื่อลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยากลุ่ม retinoids รุ่นก่อนๆ และแม้จะมีประสิทธิภาพ ไม่แตกต่างจากยารักษาสิวกลุ่มอื่นๆ มากนัก แต่ก็มีข้อเด่นในเรื่องความปลอดภัย และผลข้างเคียง แม้จะมีราคาแพง (830 บาทต่อหลอด 30 กรัม ) แต่ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วย

เรียบเรียงใหม่โดยนพ.จรัสพล รินทระ ..............10/5/2008 3

CREDIT: https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?col_id=11




5.Ratin-A



ข้อเสีย: ใช้ระยะแรกอาจสิวเห่อ แต่ทนใช้ไปนานๆจะดีขึ้นเองค่ะ และอาจไมดีขึ้นกับบางราย บางรายฝช้ครั้งแรกอาจไม่เห่อ
ผลข้างเคียงเป็นอันตรายต่อผิวอย่างมาก เนื่องจากเรติน-เอ ทำให้ผิวหน้าส่วนบนบางลง ริ้วรอยบนใบหน้าดูจางลง สิวหลุดลอก หากใช้ไปนาน ๆ ผิวหน้าจะไวต่อแสงแดด และรู้สึกระคายเคืองมากเมื่อเทียบกับ AHA

ข้อมูลเพิ่มเติม: เอื้อเฟื้อโดย https://www.geocities.com/manas_nim/vita6.htm

เรตินเอ คือครีมที่มีส่วนผสมของสาร Tretinoin ซึ่งเป็นกรดของวิตามินเอ อาจเรียกว่า Retinoic Acid

เรตินเอเป็นยาใช้ภายนอก เดิมรู้จักกันในนามยารักษาสิว แต่ต่อมานิยมใช้เพื่อลบริ้วรอยบนใบหน้า

เรตินเอช่วยเกลี่ยสีผิวให้กระจายสม่ำเสมอ ทำให้แลดูผิวเนียน ลดจุดด่างดำและลดริ้วรอยที่เกิดจากแสงแดดทำลายได้พอควร ทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น

การศึกษาบางชิ้นให้ผลว่า มันช่วยลดการสลายของคอลลาเจน และอีลาสตินจึงช่วยยับยั้งมิให้ผิวเสียก่อนวัยอันควร

แต่งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่ามันไปยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันที่ผิว ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังมากขึ้น

ถึงวันนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับกรดวิตามินเอ ยังมีไม่มากพอที่จะสรุปไปทางใดทางหนึ่ง

การกินวิตามินเอขนาดสูง อาจทำให้ทารกในท้องพิการ จึงไม่แนะนำให้ใช้เรตินเอในช่วงตั้งครรภ์

เรตินเอทำให้หน้าเป็นสีชมพูเหมือนเด็กๆ แต่ผิวตรงนั้นจะระคายเคืองอักเสบง่ายเมื่อโดนแสงแดด ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆใช้สารอีกตัวคือเรตินอล ซึ่งก็เป็นวิตามินเอเช่นกัน และใช้ได้ดีกว่าเพราะก่อผลข้างเคียงน้อยกว่า

การวิจัยในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า เมื่อทาเรตืนอล ๑ % ลงบนผิวหนังบางส่วนจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกรดเรติโนอิก ซึ่งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลบริ้วรอยลงได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางมักใส่เรตินอลในปริมาณที่ต่ำกว่าการทดลอง

เรตินอลและกรดวิตามินเออื่นๆทำงานโดยการลอกหนังด้านนอกออกเป็นแผ่น เมื่อเราอายุมากขึ้นผิวหนังใช้เวลานานขึ้นกว่าจะหลุดลอก และยอมให้ผิวข้างในผุดขึ้นแทนที่ แต่ในเด็กและคนหนุ่มสาว การหลุดลอกเกิดเร็วกว่า ผิวที่เห็นจึงเป็นผิวใหม่เสมอ

อายุของผิวในคนหนุ่มสาวคือ ๒๘ วัน หลังจากนั้นจะหลุดลอกและผิวใหม่ปรากฏแทนที่ แต่ในคนสูงวัยอาจใช้เวลานานถึง ๖๐ วัน

หากคุณซื้อหาครีมบำรุงผิวผสมวิตามินเอติดมือกลับบ้าน ลองพิจารณาชนิดที่มีคำว่าเรตินอล (Retinol) เรตินีล อะซีเตท (Retinyl Acetate) เรตินีล ไลโนลิเอต (Retinyl Linoleate) หรือ เรตินีล พาลมิเตท (Retinyl Palmitate)

ผู้ใช้เรตินเอส่วนใหญ่จะเจอกับปัญหาผิวแดงระคายเคือง แสบรอบจมูก ผิวลอกไหม้ คัน หลังใช้ยาตัวนี้ ๓-๕ วัน และอาจเป็นเช่นนี้นานหลายเดือนหากไม่หยุดใช้ยา ยิ่งใช้ยาความแรงสูง(๐.๑%) ยิ่งระคายเคือง

ขนาด ๐.๐๒๕% ช่วยให้ระคายเคืองน้อยลง แต่เห็นผลช้าลงด้วย

แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรซ์ หรือครีมไฮโดรคอร์ติโซน ๑ % หรือครีมกันแดดเพื่อลดผลข้างเคียง

ผลิตภัณฑ์ผสมวิตามินเอ ทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น โดนแดดเพียงชั่วครู่อาจทำให้ผิวไหม้ แสบร้อนใบหน้า จึงควรทาทับด้วยครีมกันแสงแดดเสมอไม่ว่าจะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้ง

บางคนใช้เรตินเอทาลำคอ แขน มือ เพื่อลบริ้วรอยด้วยซึ่งใช้ได้ผล พบว่ายิ่งเป็นบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดยิ่งได้ผลเร็ว

ต้องทาเรตินเออย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และทานาน ๒-๖ เดือน จึงจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง


ข้อควรระวัง

--ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ Ratin-A ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Vitamin C ในเวลาเดียวกันหรือใช้ร่วมกัน ผิวหนังอาจเกิดการอักเสบได้ ควรหลีกเลี่ยงโดยการใช้ Vitamin C ในตอนเช้า และ Ratin-A ในตอนกลางคืนค่ะ


--ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ Ratin-A ร่วมกับผลิตภัณฑ์ AHA Treatment และสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA ในเวลาเดียวกันหรือใช้ร่วมกัน เพื่อป้องกันการอักเสบของผิวค่ะ ควรเปลี่ยนการทำ AHA เป็นในเวลาระหว่างวัน และใช้ Ratin-A ในเวลากลางคืน


ปล.ได้รวบรวมทุกควารู้มาจากทีต่างๆน่ะค่ะ
ขอบคุณที่อนจนจบ
หรือเก็บไว้เป็นความรู้ลูกหลานน่ะค่ะ
เพราะรวมรวมาเยอะมาก แอบเหนื่อยแต่ไหวค่ะ


ติชมแนะนำโรดดค้า


waranya

waranya

ชึ๊กกะดื๊บบบบ

FULL PROFILE